หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 072

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 072
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 072
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย ไม่ต้องไปเกร็งร่างกาย นั่งให้เป็นระเบียบ แล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกสบายขึ้นเยอะ

สัมผัสของลมหายใจ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละความรู้สึกตัว นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ความรู้ตัวเวลาลมวิ่งเข้าก็รู้ครั้งหนึ่ง ลมวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็รู้ เขาเรียกว่า ‘รู้ต่อเนื่อง’ พยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกตัวพลั้งเผลอไป เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาแรงๆ ความรู้สึกตัวก็จะตั้งมั่นขึ้น เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

เราต้องพยายามทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นสติว่าเป็นปัญญา อันนั้นเป็นสติปัญญาอยู่ในระดับของโลกิยะ ของโลกีย์ ที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้แหละ คิดก็รู้ทำก็รู้ กุศลก็รู้อกุศลก็รู้ แต่เรารู้อยู่เพียงแค่ในภาพรวม เราต้องสร้างความรู้สึกตัว ให้รู้ลักษณะของการเกิดของจิต รู้ความปกติของจิต รู้ลักษณะของความคิดกับจิตเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร

เพียงแค่ความรู้สึกตัวพวกเรายังสร้างกันไม่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่ทันจิต รู้ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดแล้ว แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ ทั้งที่จิตกับความคิดหรือว่าจิตกับขันธ์ห้าเขารวมกันอยู่ นั่นแหละอัตตาตัวตนเกิดอยู่ตรงนี้ แล้วก็สมมติกับวิมุตติเขาก็รวมกันอยู่ตรงนี้

ถ้าเรารู้ไม่ทันตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัวเราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ เขาเรียก ‘สมถะ’ สร้างความรู้สึกอยู่กับลมหายใจ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ ถ้าคิดไปแล้วเราก็กระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาใหม่ ใหม่ๆ นี่จะฉุดจะรั้งกันมากทีเดียว เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง แล้วก็หลงด้วยเป็นทาสของอารมณ์ด้วย เขาอยู่ด้วยกันกับขันธ์ห้า เป็นทาสของอารมณ์มาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เราจะมาจับเขาแยกเขาคลายเพียงแค่เวลาวันสองวันเป็นไปไม่ได้

เราก็ต้องพยายามเจริญสติ แล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้เต็มบริบูรณ์ ความเสียสละของเรามีเต็มบริบูรณ์หรือไม่ ความเสียสละ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอดทนอดกลั้น รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราเอง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร เรามีสัจจะความจริงใจกับตัวเราเองหรือไม่ เรามีความบริสุทธ์ใจให้กับตัวเราเองหรือไม่ เราก็ต้องมาวิเคราะห์พิจารณาแก้ไขตัวเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่สังคม ล้นออกไปสู่สมมติภายนอก ถ้าการกระทำของเราไม่มี มันก็ยากที่จะเข้าถึง

การสร้างสติ การสร้างความรู้สึกตัวของเราไม่ต่อเนื่อง มันก็ยากที่จะเห็น แม้ตั้งแต่การอยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิตเราก็ต้องดับ เกิดจากตัวจิตเกิดจากขันธ์ห้า เราก็ต้องดับต้องควบคุมจนกว่าจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ได้นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ถึงจะปรากฏ ถึงจะเปิดทางให้ เราก็จะเห็นหนทาง จิตก็จะว่าง กายก็จะโล่งโปร่งเบาสบาย เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของจิตที่ชัดเจน เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าที่ชัดเจน

อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของวิปัสสนา ถ้าเราตามทำความเข้าใจ ความรู้ตัวรู้เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ ถึงกลางเหตุ ถึงปลายเหตุทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เข้าใจในเรื่องหลักของอริยสัจ ความจริงที่เกิดดับอยู่ในกายของเรา นี่แหละเขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ รอบรู้ในโลก รอบรู้ในดวงวิญญาณของเรา

กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง ทำไมจิตถึงเป็นทาสของกิเลส ถ้าตามทำความเข้าใจ ค้นคว้าให้จิตยอมรับความเป็นจริง เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่าง จิตก็จะเกิดความเบื่อหน่ายแล้วอยากจะคลาย มันหนีไม่พ้นก็จะอยู่อุเบกขาเอง แต่กำลังสติของเราไม่ได้ตามค้นคว้าทุกอย่าง อาจจะควบคุมจิตได้เป็นบางครั้งได้เป็นบางเรื่อง นอกนั้นก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่

ทุกเรื่องเราต้องทำความเข้าใจหมดในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย อันนี้บังคับกันไม่ได้หรอก แล้วแต่อานิสงส์ แล้วแต่บุญบารมีของแต่ละบุคคลที่สร้างมาไม่เหมือนกัน แล้วแต่ความขยันหมั่นเพียรให้ถูกทาง ถ้าขยันหมั่นเพียรไม่ถูกทางก็ยากที่จะเข้าถึง ถ้ายิ่งไม่รู้จักการเจริญสติก็ยิ่งยากที่จะเข้าถึง

เราก็ต้องพยายาม แต่ละวันตื่นขึ้นมา จิตของเราสงบ สงบได้ยาวนานไหม จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตของเราเกิดสักกี่อย่าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล สมมติภายนอก ภาระหน้าที่การงานที่เราอาศัยอยู่เรียบร้อยแล้วหรือยัง หรือว่ายังลำบากอยู่ อันโน้นก็ยังติดขัดอันนี้ก็ยังติดขัด นั่นแหละอันนั้นเราเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ ยังฉุดยังรั้งเอาไว้

เราก็ต้องพยายามทำสมมติให้ดี เราก็พลอยได้อาศัยสมมตินั้นด้วย เพราะกายเป็นก้อนสมมติ กายของเรายังกินอยู่ขับถ่ายอยู่ตลอดเวลา ยังอาศัยโลกธรรมอยู่ เราต้องทำความเข้าใจ หมดลมหายใจนั่นแหละ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน วิมุตติกับสมมติก็อยู่ด้วยกัน ให้เราทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย เราก็จะอยู่ดีมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณาแก้ไขปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสสร้างบุญได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา คิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ การกระทำของเรามีถึงพร้อม นั่นแหละบุญก็เกิดขึ้นตลอดเวลา อะไรเป็นอกุศลเราก็พยายามละเสีย อะไรเป็นกุศลเราก็เจริญเสีย เราก็จะเข้าใจในการดำเนินชีวิตของเราทั้งโลกทั้งธรรม ทั้งวิมุตติทั้งสมมติ เราไม่เข้าใจเราถึงแสวงหาแนวทาง แสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์

ตามความเป็นจริงนั้น ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาก่อนจึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เด็ก โตกระทั่งถึงทุกวันแล้ว ก็เรียกปฏิบัติธรรมกันมาได้ 70-80% ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปคลายความหลง หรือว่าไปแยกรูปแยกนามตรงนี้ไม่มี ก็เลยว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ

แต่การปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในระดับกองบุญทุกคนมีกันมาไม่มากก็น้อย แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปคอยสังเกตดูรู้ลักษณะของจิต ควบคุมจิต จนจิตยอมรับความเป็นจริงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง อันนี้เป็นตัวถึงขั้นปัญญาที่จะมาเจริญสติ หรือว่ามาสร้างความรู้สึกตามทำความเข้าใจ แล้วก็รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็รู้จักละกิเลส คลายกิเลส จากหยาบๆ ไปหาละเอียด ออกให้หมดจากจิตจากใจของเรา ตรงนี้แหละที่ยังทำกันไม่ต่อเนื่องกัน เพราะว่าวิบากกรรมยังปิดกั้นเอาไว้อยู่ ถึงวาระเวลาก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง

อย่าพากันทิ้งในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการสร้างบารมี แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็พยายามทำให้เกิดประโยชน์ มีความรับผิดชอบที่สูง มีความรับผิดชอบกับตัวเรา มีความรับผิดชอบต่อสถานที่ มีความรับผิดชอบต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุขถ้าเราขยันหมั่นเพียร ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง