หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 065
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 065
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว หรือว่าน้อมสำรวจกายสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็รีบทำเสีย ขณะนั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วย สร้างกระตุ้นความรู้สึกให้ชัดเจนที่ปลายจมูกของเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง อย่าเอาจิตไปจดจ่อ ถ้าเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็แน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายก็รู้สึกว่าสงบตั้งมั่นขึ้นมาทันที ความคิดต่างๆ ที่เกิดจากจิตก็จะหยุดไป ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกก็จะเด่นชัด
เราไม่ต้องตามดูให้ถึงทั่วท้อง เหมือนกับนายประตูทวารคอยนั่งดูอยู่ รถคันไหนวิ่งเข้าผ่านประตูก็มีความรู้อยู่ว่ารถเข้า รถคันไหนวิ่งออกผ่านประตูก็มีความรู้อยู่ว่าวิ่งออก ลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูก เราก็มีความรู้สึกรับรู้ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาไปคิดเอา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว
อย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้ตัว เราต้องขยัน ขยันทำ ความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างให้มี แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง ส่วนจิตของทุกคนนั้นศรัทธา มีความเชื่อ เชื่อบุญเชื่อบาป เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย การทำบุญให้ทานมีอยู่ การสำรวมกายอินทรีย์มีอยู่เป็นบางครั้ง การควบคุมกายควบคุมวาจาก็มีอยู่เป็นบางครั้ง
ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เวลาที่จะพูดเวลาที่จะคิด เรารู้ขณะที่เรากำลังพูดหรือไม่ อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด ลึกลงไปอะไรควรคิดไม่ควรคิด ความคิดเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต หรือว่าความคิดเกิดจากจิตปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก หรือว่าความคิดที่เกิดจากสติที่เราสร้างขึ้นมา เราต้องจำแนกแจกแจงให้ละเอียดเสียก่อนถึงจะรู้
ส่วนมากจิตของเราคิดไปเลย หรือว่าความคิดกับจิตเขารวมกันไปเลย ไปหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ ความคิดอาจจะเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง แต่เราไม่รู้ต้นเหตุ เราอาจจะรู้ตั้งแต่กลางแต่ปลาย นั่นแหละเขายังหลงอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปดูสำรวจจริงๆ ต้องเป็นคนขยัน หมั่นขัดเกลาหมั่นสังเกต แม้ตั้งแต่ความอยากที่จะได้ธรรม อยากที่จะรู้ธรรม ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิตเราต้องหยุดต้องดับ
คนเรานี่ขาดการหยุด ขาดการดับ ขาดการควบคุมจิต จิตก็เลยวิ่งส่งไปภายนอกตลอดเวลา นั่นแหละก็เข้าหลักของอริยสัจ สมุทัยจิตส่งไปภายนอก การดับ การควบคุม การแยก การตามทำความเข้าใจ การละ การคลายความหลงไม่มี มีตั้งแต่ปัญญาของโลกีย์ วิ่งตามอำนาจของความทะเยอทะยานอยาก วิ่งตามอำนาจของอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
เราก็รู้อยู่ในระดับนั้นแหละส่วนมากทั่วไป แต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ ก็ต้องพยายามพากัน คอยขวนขวาย คอยสร้างสะสมอานิสงส์บุญบารมี แม้เล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปมองข้าม คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดนั่นแหละ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็พาทำ วันนี้พระเราก็หลายๆ องค์หลายๆ ท่าน ก็ช่วยกันขนกระเบื้องที่ศาลาเมรุให้คุณโยมเรืองท่านเลือกสีสันเสียก่อน แล้วก็ช่วยกันขนมาที่ลานองค์หลวงปู่ใหญ่ข้างหน้า เพื่อที่จะได้ปูให้ทันงานวันที่ 28-29 มีอะไรเราก็ช่วยกัน
ช่วยกันงานหนักก็เป็นงานเบา งานเบาก็แทบจะไม่มี กว่าจะได้เป็นที่พักที่รื่นรมย์ได้ก็ต้องใช้ความเพียรอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งปลูกต้นไม้ ทั้งดูแลรักษา ทุกสิ่งทุกอย่างในสถานที่ตรงนี้ กว่าจะได้มาเป็นที่รื่นรมย์ กว่าจะได้มาเป็นแหล่งบุญให้กับทุกคนได้ ก็อาศัยความเพียรความเสียสละของรุ่นต่อรุ่นๆ มาเรื่อยๆ จนถึงพวกเรานี่แหละ พวกเราก็มาสร้างสานต่อกัน เพื่อที่จะให้รุ่นต่อไปในวันข้างหน้าได้เพิ่มอานิสงส์บุญมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นสมมติสมบัติของโลกทั้งนั้น เรามาอาศัยสมมติตรงนี้อยู่ เราก็พยายามสร้างความเป็นสิริมงคล สร้างความเจริญให้มีให้เกิดขึ้น อย่าพากันเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วใช้การไม่ได้ ต้องบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น โตกันทุกคน มีสติมีปัญญากันทุกคนไม่จำเป็นต้องบอกให้ ไม่จำเป็นต้องให้จ้ำจี้จ้ำไช
เรามาฝึกฝนตนเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เราเคยมีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้านเสีย เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้ตัวเอง เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็เพิ่มความรับผิดชอบให้กับตัวเราเอง ไม่ใช่ว่ายิ่งมาบวชเท่าไรแล้วก็ยิ่งเพิ่มความเกียจคร้านให้ตัวเอง แทนที่จะได้บุญได้อานิสงส์กลับแย่เข้าไปอีก เราก็ต้องพยายามหมั่นขัดเกลาตัวเราตลอดเวลา ทั้งภายนอกภายใน
ตั้งแต่ประตูปากทางเข้ามานั่นแหละ ตรงไหนไม่ดีเราก็รีบทำ เดินตามถนนหนทางมีเศษแก้วเศษขยะ เศษหนามเศษตะปูเราก็เก็บ เราไม่เหยียบคนอื่นก็อาจจะเหยียบ มองบนมองซ้ายมองขวามองกลางมองล่างให้มันรอบ ถึงไม่รอบก็พยายามทำให้ดี ห้องส้วมห้องน้ำเราก็ช่วยกันดูแล ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของฉัน เป็นของทุกคนที่จะต้องดูแล
นี่แหละการปฎิบัติ ไม่ได้ปฏิบัติที่ไหนหรอก ปฏิบัติลงอยู่ที่ความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ ทั้งภายในทั้งภายนอก ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดความสวยความงาม ใครไปใครมาก็มองเห็นก็มีความสบายใจ เราก็สบายใจ ถ้าเรามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน ตัวเราก็หนัก คนอื่นก็หนัก หนักทั้งสถานที่ เหนื่อย เหนื่อยที่จะมองเห็น เหนื่อยที่จะดู เราก็ต้องพยายามเพิ่มความขยันกัน
อยู่ที่วัดเรามีตั้งแต่คนขยันหมั่นเพียร ไม่มีใครเกียจคร้าน ไม่ว่าญาติว่าโยมว่าพระ มีอะไรก็ช่วยกัน เมื่อเราออกไปสู่โลกภายนอกเราก็จะรู้คุณค่าของความเสียสละ ของความอดทน ของความขยันหมั่นเพียร ของความรับผิดชอบ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ตกอับ อยู่คนเดียวก็ไม่ตกอับ อยู่หลายคนก็ไม่ตกอับ ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง อย่าเอาจิตไปจดจ่อ ถ้าเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็แน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายก็รู้สึกว่าสงบตั้งมั่นขึ้นมาทันที ความคิดต่างๆ ที่เกิดจากจิตก็จะหยุดไป ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกก็จะเด่นชัด
เราไม่ต้องตามดูให้ถึงทั่วท้อง เหมือนกับนายประตูทวารคอยนั่งดูอยู่ รถคันไหนวิ่งเข้าผ่านประตูก็มีความรู้อยู่ว่ารถเข้า รถคันไหนวิ่งออกผ่านประตูก็มีความรู้อยู่ว่าวิ่งออก ลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูก เราก็มีความรู้สึกรับรู้ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาไปคิดเอา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว
อย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้ตัว เราต้องขยัน ขยันทำ ความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างให้มี แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง ส่วนจิตของทุกคนนั้นศรัทธา มีความเชื่อ เชื่อบุญเชื่อบาป เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย การทำบุญให้ทานมีอยู่ การสำรวมกายอินทรีย์มีอยู่เป็นบางครั้ง การควบคุมกายควบคุมวาจาก็มีอยู่เป็นบางครั้ง
ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เวลาที่จะพูดเวลาที่จะคิด เรารู้ขณะที่เรากำลังพูดหรือไม่ อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด ลึกลงไปอะไรควรคิดไม่ควรคิด ความคิดเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต หรือว่าความคิดเกิดจากจิตปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก หรือว่าความคิดที่เกิดจากสติที่เราสร้างขึ้นมา เราต้องจำแนกแจกแจงให้ละเอียดเสียก่อนถึงจะรู้
ส่วนมากจิตของเราคิดไปเลย หรือว่าความคิดกับจิตเขารวมกันไปเลย ไปหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ ความคิดอาจจะเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง แต่เราไม่รู้ต้นเหตุ เราอาจจะรู้ตั้งแต่กลางแต่ปลาย นั่นแหละเขายังหลงอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปดูสำรวจจริงๆ ต้องเป็นคนขยัน หมั่นขัดเกลาหมั่นสังเกต แม้ตั้งแต่ความอยากที่จะได้ธรรม อยากที่จะรู้ธรรม ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิตเราต้องหยุดต้องดับ
คนเรานี่ขาดการหยุด ขาดการดับ ขาดการควบคุมจิต จิตก็เลยวิ่งส่งไปภายนอกตลอดเวลา นั่นแหละก็เข้าหลักของอริยสัจ สมุทัยจิตส่งไปภายนอก การดับ การควบคุม การแยก การตามทำความเข้าใจ การละ การคลายความหลงไม่มี มีตั้งแต่ปัญญาของโลกีย์ วิ่งตามอำนาจของความทะเยอทะยานอยาก วิ่งตามอำนาจของอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
เราก็รู้อยู่ในระดับนั้นแหละส่วนมากทั่วไป แต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ ก็ต้องพยายามพากัน คอยขวนขวาย คอยสร้างสะสมอานิสงส์บุญบารมี แม้เล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปมองข้าม คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดนั่นแหละ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็พาทำ วันนี้พระเราก็หลายๆ องค์หลายๆ ท่าน ก็ช่วยกันขนกระเบื้องที่ศาลาเมรุให้คุณโยมเรืองท่านเลือกสีสันเสียก่อน แล้วก็ช่วยกันขนมาที่ลานองค์หลวงปู่ใหญ่ข้างหน้า เพื่อที่จะได้ปูให้ทันงานวันที่ 28-29 มีอะไรเราก็ช่วยกัน
ช่วยกันงานหนักก็เป็นงานเบา งานเบาก็แทบจะไม่มี กว่าจะได้เป็นที่พักที่รื่นรมย์ได้ก็ต้องใช้ความเพียรอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งปลูกต้นไม้ ทั้งดูแลรักษา ทุกสิ่งทุกอย่างในสถานที่ตรงนี้ กว่าจะได้มาเป็นที่รื่นรมย์ กว่าจะได้มาเป็นแหล่งบุญให้กับทุกคนได้ ก็อาศัยความเพียรความเสียสละของรุ่นต่อรุ่นๆ มาเรื่อยๆ จนถึงพวกเรานี่แหละ พวกเราก็มาสร้างสานต่อกัน เพื่อที่จะให้รุ่นต่อไปในวันข้างหน้าได้เพิ่มอานิสงส์บุญมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นสมมติสมบัติของโลกทั้งนั้น เรามาอาศัยสมมติตรงนี้อยู่ เราก็พยายามสร้างความเป็นสิริมงคล สร้างความเจริญให้มีให้เกิดขึ้น อย่าพากันเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วใช้การไม่ได้ ต้องบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น โตกันทุกคน มีสติมีปัญญากันทุกคนไม่จำเป็นต้องบอกให้ ไม่จำเป็นต้องให้จ้ำจี้จ้ำไช
เรามาฝึกฝนตนเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เราเคยมีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้านเสีย เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้ตัวเอง เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็เพิ่มความรับผิดชอบให้กับตัวเราเอง ไม่ใช่ว่ายิ่งมาบวชเท่าไรแล้วก็ยิ่งเพิ่มความเกียจคร้านให้ตัวเอง แทนที่จะได้บุญได้อานิสงส์กลับแย่เข้าไปอีก เราก็ต้องพยายามหมั่นขัดเกลาตัวเราตลอดเวลา ทั้งภายนอกภายใน
ตั้งแต่ประตูปากทางเข้ามานั่นแหละ ตรงไหนไม่ดีเราก็รีบทำ เดินตามถนนหนทางมีเศษแก้วเศษขยะ เศษหนามเศษตะปูเราก็เก็บ เราไม่เหยียบคนอื่นก็อาจจะเหยียบ มองบนมองซ้ายมองขวามองกลางมองล่างให้มันรอบ ถึงไม่รอบก็พยายามทำให้ดี ห้องส้วมห้องน้ำเราก็ช่วยกันดูแล ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของฉัน เป็นของทุกคนที่จะต้องดูแล
นี่แหละการปฎิบัติ ไม่ได้ปฏิบัติที่ไหนหรอก ปฏิบัติลงอยู่ที่ความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ ทั้งภายในทั้งภายนอก ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดความสวยความงาม ใครไปใครมาก็มองเห็นก็มีความสบายใจ เราก็สบายใจ ถ้าเรามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน ตัวเราก็หนัก คนอื่นก็หนัก หนักทั้งสถานที่ เหนื่อย เหนื่อยที่จะมองเห็น เหนื่อยที่จะดู เราก็ต้องพยายามเพิ่มความขยันกัน
อยู่ที่วัดเรามีตั้งแต่คนขยันหมั่นเพียร ไม่มีใครเกียจคร้าน ไม่ว่าญาติว่าโยมว่าพระ มีอะไรก็ช่วยกัน เมื่อเราออกไปสู่โลกภายนอกเราก็จะรู้คุณค่าของความเสียสละ ของความอดทน ของความขยันหมั่นเพียร ของความรับผิดชอบ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ตกอับ อยู่คนเดียวก็ไม่ตกอับ อยู่หลายคนก็ไม่ตกอับ ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง