หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 040

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 040
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 040
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริงเราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกว่าเราจะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด

นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกที่รับรู้ที่เด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกรับรู้ของสัมผัสของลมหายใจ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’

พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้ากระทบปลายจมูก ตรงปลายจมูกของเรานั่นแหละ ไม่ต้องตามเข้าไปถึงในท้อง แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคล การเจริญอานาปานสติ การหายใจเข้าหายใจออกมีกันทุกคน เพราะว่าคนเราอยู่เนื่องด้วยลมตั้งแต่เกิด ออกจากท้องพ่อท้องแม่มาก็หายใจ ถ้าหยุดหายใจเมื่อไหร่สภาพกายสมมติก็แตกดับ

ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นของง่ายๆ แต่พวกเราขาดการสนใจก็เลยไม่รู้เท่าทันจิต ไม่รู้เท่าทันความคิด หรือว่าไม่รอบรู้ในกองสังขาร ทั้งที่จิตของทุกคนก็เป็นบุญอยู่ อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาหมด ตั้งแต่ภพก่อนๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะว่าถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมกันมา ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เกิดมาก็มีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นเด็กโตขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข จนได้ทำการทำงาน บางคนบางท่านก็มีครอบครัว นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติโดยธรรมชาติ ของทางด้านร่างกาย ของทางด้านรูปธรรม

บางคนบางท่านก็มีความรับผิดชอบที่สูง บางคนบางท่านก็มีความรับผิดชอบพอประมาณ บางคนบางท่านก็ไม่มีความรับผิดชอบเลย เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ อย่าไปปิดกั้นตนเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ ผิดถูกชั่วดีก็รู้อยู่ อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล

จิตของทุกดวงก็ฝักใฝ่ในการสร้างบารมีในการสร้างบุญ มีกันทุกคน ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละ การบริจาคการให้ เป็นการสร้างตบะบารมี ความอดทนอดกลั้นอยู่ในระดับหนึ่ง การควบคุมกายการควบคุมวาจา แล้วก็ลึกลงไปก็ควบคุมใจ แต่การเจริญสติสร้างความรู้สึกตัวจะมีการไม่ค่อยจะมากเท่าไร จะมีเฉพาะผู้สนใจผู้ฝักใฝ่

เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าถึงวาระเวลาเราก็คงจะสังเกตรู้การก่อตัวของจิตการก่อตัวของความคิดได้ทัน ไม่ทันเราก็เริ่มใหม่ จนกว่ากำลังสติของเราจะมีมาก ถ้ากำลังสติของเรามีมาก เราก็ย่อมจะเข้าใจในแนวทางของชีวิตของเรา เราจะดำเนินอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร

เราไม่เข้าใจแนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การสร้างบารมีเป็นอย่างนี้นะ ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอดทนอดกลั้น ความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นแก่ตัว มีความเพียร มีพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดีคิดดี มีสัจจะกับตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความกตัญญูกตเวที อันนี้เป็นตบะบารมี เป็นการสร้างบารมีโดยตรงเลยทีเดียว

ถ้าคนเราไม่มีอานิสงส์ไม่มีบารมี ไปเจริญสติเข้าไปเดินปัญญาตัวขั้นสูงนี้ยาก ยาก ต้องมีอานิสงส์ก่อนมีบารมีก่อน แล้วก็เจริญสติก็ไปได้เร็วได้ไว ก็ต้องพยายามกัน

เราไม่เข้าใจวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องเข้าใจ ตราบใดที่เราหมั่นสนใจ หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต อันนี้กายนะอันนี้จิตนะ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา อะไรคำว่าอัตตา อะไรคำว่าอนัตตา ลักษณะของความว่างเป็นอย่างไร จิตที่ว่างจากการเกิดว่างจากกิเลส จิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร ทำไมจิตถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมจิตถึงเกิดทิฏฐิเกิดมานะ

เราต้องมาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา พร่ำสอนเขาอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ เอาชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมด ไม่จำเป็นต้องชนะคนนั้นชนะคนนี้

จิตเกิดความโลภเราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากใจของเรา จิตเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ เราก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตส่งไปภายนอกเราก็ดับ ควบคุม หนุนกำลังสติเข้าไปส่งไปทำหน้าที่แทน มีความสุขในการปฏิบัติ มีความสุขในการรอบรู้ดวงใจของตัวเราเอง

งานภายนอกเราก็ทำให้ดี เพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ มีความรับผิดชอบที่สูง อย่าพากันเกียจคร้าน ถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเราแล้ว อยู่คนเดียวก็หนัก อยู่หลายคนก็หนักหมู่หนักคณะ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณากายพิจารณาจิต เราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา

รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เราก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด จิตของเราก็มีความสุข อยู่กลางป่ากลางดงกลางเขา จิตก็มีความสุข มองเห็นทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด สนุกสร้างบุญ เราพยายามทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญ อานิสงส์บุญนี้ก็จะแผ่ไพศาลมากมายมหาศาล เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาทั้งหลายก็มาคอยอนุโมทนาสาธุอยู่ตลอดเวลา

พวกเราก็เหมือนกัน บุญก็มีอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จักรักษาไม่รู้จักสร้างให้ได้ตลอดเวลา จนเป็นบุญโดยอัตโนมัติ ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น จิตที่สะอาดปราศจากกิเลส นั่นแหละคือตัวบุญ บุญเป็นตัวเลยทีเดียว เราต้องพยายาม เวลาเราทำบุญให้ทานรู้สึกว่าจิตใจเกิดปีติเกิดสุขเกิดอิ่ม นั่นแหละคือตัวบุญ ไอ้ตัวรู้ตัวปีตินั่นแหละคือสติ

เราพยายามหมั่นพิจารณาหมั่นวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา เหมือนอย่างเช่นเราทำบุญให้พ่อให้แม่ ทำบุญให้พี่ให้น้อง รู้สึกว่ามีความอิ่ม มีความปีติมีความสุข บางครั้งรวมญาติมิตรรวมพี่รวมน้อง ทำบุญให้กับพ่อให้กับแม่ ถ้าไม่ได้ทำแล้วจิตเกิดความกังวลว่าตัวเราไม่ได้ทำ ขาดอะไรสักอย่าง พอเวลาได้ทำแล้วรู้สึกว่าอิ่ม กายก็ไม่หิวไม่ได้ทานอาหาร วันสองวันสามวันก็ไม่หิว เพราะว่าจิตเกิดความอิ่ม นั่นแหละคือบุญ พอทำบุญเสร็จ 2-3 วัน กายเริ่มหิว จิตเริ่มปรุงเริ่มแต่ง เราไม่รู้จักรักษาควบคุมเอาไว้ แล้วก็รู้จักหนุนกำลังสติเข้าไปทำหน้าที่แทน

จิตของคนเราก็บริสุทธิ์สะอาดอยู่เดิม ความไม่เข้าใจอวิชชา ความหลงเท่านั้นแหละ มาปิดกั้นครอบงำเอาไว้ ทุกเรื่องในชีวิตเราต้องพิจารณาดู แก้ไขให้ได้ ก่อนที่จะหมดลมหายใจ หรือว่าก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ทุกคนเดินเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางคือความแตกดับ เพราะว่าอนิจจังทุกขัง ความไม่เที่ยงของร่างกาย เดี๋ยวก็แก่เดี๋ยวก็เจ็บ

กายของเราไม่ได้อยู่ในอำนาจของจิต ให้รีบสร้างคุณงามความดีเสียขณะยังมีลมหายใจ เท่าที่กำลังของเรามี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม คิดดีทำดี ส่วนการเจริญสติต้องขึ้นอยู่กับตัวของเรา เรารู้จักแนวทางแล้ว เราต้องรีบเร่งทำความเพียร ไม่ต้องไปให้คนนั้นบังคับคนนี้บังคับ คนมีสติปัญญามีบุญจะแก้ไขตัวเอง พิจารณาตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา อะไรควรเจริญอะไรควรละ บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข พยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง