หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 025
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 025
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง หรือว่าเจริญสตินั่นแหละ ถ้าพูดตามหลักธรรมก็คือการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา การมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย
นั่งตามสบายๆ ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบายๆ วางดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง ลองดูสิ เพียงแค่การสูดลมหายใจ การหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ตรงนี้ ให้เกิดความเคยชิน
เป็นงาน เป็นการทำงาน ทำงานระลึกรู้ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ วันทั้งวันเราพยายามสร้างตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ลองดูสิ ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้นก็มีอยู่แล้ว การเกิดการดับของความคิดนั้นก็มีอยู่แล้ว อันนั้นเราอย่าพึ่งไปสนใจเขา ให้สนใจในสิ่งที่เราทำตรงนี้ดีกว่า
ขณะที่เราสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องพวกเราก็ยังทำกันไม่เคยชิน บางทีก็หายใจอึดอัดบ้าง บางทีก็แน่นหน้าท้องบ้าง บางทีสมองก็ตึงบ้าง
เราก็พยายามฝึกฝน หัดสังเกต การหายใจธรรมชาติ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ก็เพื่อที่จะระงับดับความคิดต่างๆ เอาไว้เสียก่อน กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ใจก็รู้สึกว่าจะโล่งโปร่งขึ้น ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ หลวงพ่อก็จะย้ำตั้งแต่ของเก่าอยู่นี่แหละ เพราะว่าพวกท่านยังไม่ได้ทำให้ต่อเนื่องกัน
แต่จิตของทุกคนก็เป็นบุญ จิตของทุกคนก็สร้างบารมีมา มาดีแล้ว ถ้าเราไม่มีความรู้ตัวตรงนี้เราก็จะไม่รู้ฐานของจิต เวลาจิตเกิด จิตก่อตัว เวลาความคิดก่อตัว ซึ่งไม่ใช่ตัวจิต หรือว่าอาการของจิต ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’
ขันธ์ทั้งห้ามีอะไรบ้าง นี่แหละ ตรงนี้แหละ ถ้าเราเห็นตรงนี้เราก็จะเข้าใจ ส่วนวิญญาณ หรือว่าตัวใจของเราเป็นตัวสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้า เขาปรุงแต่งส่งออกไปข้างนอกรวมกันได้อย่างไร บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศล
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว แต่จะถึงช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับการสร้างบารมี ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ถ้าเราไม่มีความเพียรที่ถูกทางก็ยากที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าเรามีความเพียรที่ไม่ถูกทาง ปฏิบัติอย่างไร คร่ำเคร่งอย่างไรก็ไปไม่ถึงจุดหมาย
จุดหมายของการประพฤติการปฏิบัติเพื่อที่คลายความหลง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด การเจริญสติ การสร้างสมาธิ การแยกแยะ เดินปัญญา เพื่อที่จะทำความเข้าใจ เพื่อที่จะละความหลง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด จิตที่สงบเขาเรียกว่า ‘สมาธิ’ จิตที่ปกติเขาเรียกว่า ‘ศีล’ ศีลสมาธิ เรามีสติรู้จิต คลายความหลง ละกิเลส เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’
นี่แหละ สติสมาธิปัญญา เราต้องสร้างขึ้นมา ถ้าเราทำความเข้าใจได้ชำนาญแล้ว สติสมาธิความว่างเขาจะรักษาเราเอง ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ น้อยคนที่จะขยันหมั่นเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทาง นอกจากบุคคลที่ขยันจริงๆ หมั่นชำระสะสางกิเลส หมั่นวิเคราะห์ หมั่นแก้ไข ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ยังเดินด้วยสติด้วยปัญญาอยู่ ถึงช้าก็พยายามอดทนอดกลั้นเอา ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ สติความระลึกรู้ตัวเราพลั้งเผลอ เราก็สร้างขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
นิวรณธรรมจะมาครอบงำจิตของเราได้อย่างไร ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราให้ไม่ได้รับความสงบ ขณะนี้ ขณะที่ตื่นตัวอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในราคะรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ เราก็ต้องพยายามดู ถ้าจิตก่อตัว จิตเกิด เราก็รีบดับเสีย จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท หรือโกรธให้ใคร เราก็พยายามให้อโหสิกรรมให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามระลึกขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาใหม่ มันจะขาดช่วงอย่างไรเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่
จิตของเราเกิดความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตเกิดความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็ดับ ดับแล้วก็วาง การดับเขาเรียกว่า ‘สมถภาวนา’ ดับขณะที่จิตเกิด ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาถึงจะเป็นสมถภาวนา ขณะที่ลืมตาอยู่นี่แหละ จิตเกิดเราก็รีบดับเสีย เราก็จะรู้ เราก็จะมองเห็น จากน้อยๆ ไปหามากๆ จะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็พยายามประคับประคองความรู้ตัวเอาไว้ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราก็พยายามประคับประคอง จนกำลังความรู้ตัวของเรา หรือว่าสติ เป็นมหาสติ เอาไปใช้ทำหน้าที่แทนจิตได้ แต่เวลานี้จิตของเราทั้งคิด ทั้งปรุงทั้งแต่ง ทั้งส่งทั้งหลง สารพัดอย่าง เราก็ต้องมากำจัด มาคลาย มาละ
เรารู้แนวทางแล้วเราก็ไปทำความเพียรกันเอา ยืนเดินนั่งนอนขอให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุง การสร้างสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ จิตของเราสงบได้ยาวนานหรือไม่ สงบได้กี่นาที สติของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง จิตของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว วันนี้ นาทีนี้ ชั่วโมงนี้ เวลาตากระทบรูปหูกระทบเสียง จิตยังปกติดีอยู่หรือไม่ จะสนุกในการวิเคราะห์ในการพิจารณาตัวเราจนเป็นอัตโนมัติ ก็ต้องพยายามเอาขณะที่เรายังมีกำลังอยู่
สร้างความระลึกรู้ตัวการหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งนะ ทำจิตให้โล่ง สมองโปร่ง ใจให้ว่าง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง
นั่งตามสบายๆ ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบายๆ วางดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง ลองดูสิ เพียงแค่การสูดลมหายใจ การหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ตรงนี้ ให้เกิดความเคยชิน
เป็นงาน เป็นการทำงาน ทำงานระลึกรู้ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ วันทั้งวันเราพยายามสร้างตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ลองดูสิ ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้นก็มีอยู่แล้ว การเกิดการดับของความคิดนั้นก็มีอยู่แล้ว อันนั้นเราอย่าพึ่งไปสนใจเขา ให้สนใจในสิ่งที่เราทำตรงนี้ดีกว่า
ขณะที่เราสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องพวกเราก็ยังทำกันไม่เคยชิน บางทีก็หายใจอึดอัดบ้าง บางทีก็แน่นหน้าท้องบ้าง บางทีสมองก็ตึงบ้าง
เราก็พยายามฝึกฝน หัดสังเกต การหายใจธรรมชาติ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ก็เพื่อที่จะระงับดับความคิดต่างๆ เอาไว้เสียก่อน กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ใจก็รู้สึกว่าจะโล่งโปร่งขึ้น ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ หลวงพ่อก็จะย้ำตั้งแต่ของเก่าอยู่นี่แหละ เพราะว่าพวกท่านยังไม่ได้ทำให้ต่อเนื่องกัน
แต่จิตของทุกคนก็เป็นบุญ จิตของทุกคนก็สร้างบารมีมา มาดีแล้ว ถ้าเราไม่มีความรู้ตัวตรงนี้เราก็จะไม่รู้ฐานของจิต เวลาจิตเกิด จิตก่อตัว เวลาความคิดก่อตัว ซึ่งไม่ใช่ตัวจิต หรือว่าอาการของจิต ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’
ขันธ์ทั้งห้ามีอะไรบ้าง นี่แหละ ตรงนี้แหละ ถ้าเราเห็นตรงนี้เราก็จะเข้าใจ ส่วนวิญญาณ หรือว่าตัวใจของเราเป็นตัวสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้า เขาปรุงแต่งส่งออกไปข้างนอกรวมกันได้อย่างไร บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศล
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว แต่จะถึงช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับการสร้างบารมี ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ถ้าเราไม่มีความเพียรที่ถูกทางก็ยากที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าเรามีความเพียรที่ไม่ถูกทาง ปฏิบัติอย่างไร คร่ำเคร่งอย่างไรก็ไปไม่ถึงจุดหมาย
จุดหมายของการประพฤติการปฏิบัติเพื่อที่คลายความหลง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด การเจริญสติ การสร้างสมาธิ การแยกแยะ เดินปัญญา เพื่อที่จะทำความเข้าใจ เพื่อที่จะละความหลง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด จิตที่สงบเขาเรียกว่า ‘สมาธิ’ จิตที่ปกติเขาเรียกว่า ‘ศีล’ ศีลสมาธิ เรามีสติรู้จิต คลายความหลง ละกิเลส เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’
นี่แหละ สติสมาธิปัญญา เราต้องสร้างขึ้นมา ถ้าเราทำความเข้าใจได้ชำนาญแล้ว สติสมาธิความว่างเขาจะรักษาเราเอง ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ น้อยคนที่จะขยันหมั่นเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทาง นอกจากบุคคลที่ขยันจริงๆ หมั่นชำระสะสางกิเลส หมั่นวิเคราะห์ หมั่นแก้ไข ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ยังเดินด้วยสติด้วยปัญญาอยู่ ถึงช้าก็พยายามอดทนอดกลั้นเอา ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ สติความระลึกรู้ตัวเราพลั้งเผลอ เราก็สร้างขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
นิวรณธรรมจะมาครอบงำจิตของเราได้อย่างไร ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราให้ไม่ได้รับความสงบ ขณะนี้ ขณะที่ตื่นตัวอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในราคะรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ เราก็ต้องพยายามดู ถ้าจิตก่อตัว จิตเกิด เราก็รีบดับเสีย จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท หรือโกรธให้ใคร เราก็พยายามให้อโหสิกรรมให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามระลึกขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาใหม่ มันจะขาดช่วงอย่างไรเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่
จิตของเราเกิดความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตเกิดความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็ดับ ดับแล้วก็วาง การดับเขาเรียกว่า ‘สมถภาวนา’ ดับขณะที่จิตเกิด ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาถึงจะเป็นสมถภาวนา ขณะที่ลืมตาอยู่นี่แหละ จิตเกิดเราก็รีบดับเสีย เราก็จะรู้ เราก็จะมองเห็น จากน้อยๆ ไปหามากๆ จะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็พยายามประคับประคองความรู้ตัวเอาไว้ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราก็พยายามประคับประคอง จนกำลังความรู้ตัวของเรา หรือว่าสติ เป็นมหาสติ เอาไปใช้ทำหน้าที่แทนจิตได้ แต่เวลานี้จิตของเราทั้งคิด ทั้งปรุงทั้งแต่ง ทั้งส่งทั้งหลง สารพัดอย่าง เราก็ต้องมากำจัด มาคลาย มาละ
เรารู้แนวทางแล้วเราก็ไปทำความเพียรกันเอา ยืนเดินนั่งนอนขอให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุง การสร้างสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ จิตของเราสงบได้ยาวนานหรือไม่ สงบได้กี่นาที สติของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง จิตของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว วันนี้ นาทีนี้ ชั่วโมงนี้ เวลาตากระทบรูปหูกระทบเสียง จิตยังปกติดีอยู่หรือไม่ จะสนุกในการวิเคราะห์ในการพิจารณาตัวเราจนเป็นอัตโนมัติ ก็ต้องพยายามเอาขณะที่เรายังมีกำลังอยู่
สร้างความระลึกรู้ตัวการหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งนะ ทำจิตให้โล่ง สมองโปร่ง ใจให้ว่าง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง