หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 019

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 019
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 019
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราน้อมเข้าไปสำรวจกายของเราแล้วหรือยัง เราเจริญสติสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เพียงแค่การสร้างกับการทำให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันกะปริบกะปรอย หรือว่าไม่ได้ทำกันเลย

ส่วนจิตนั้นของทุกคนก็เป็นบุญอยู่แล้ว ฝักใฝ่ในบุญในกุศลในการสร้างคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะเอาบุญ เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปดับความอยากที่เกิดจากตัวจิตเสีย จิตของเราก็จะนิ่ง

ธรรมชาติจิตของทุกคนนั้น ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง เดี๋ยวก็เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ปรุงแต่งไม่ธรรมดา แล้วก็หลงบ้าง หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ในระดับสติปัญญาทางสมมติเราอาจจะว่าเราไม่หลง แต่ในทางหลักธรรมแล้วถ้าเรายังแยกรูปแยกนาม หรือว่าจิตยังไม่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า นี่แหละคือหลง โมหะอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว

จิตของเราเข้าไปร่วมกับขันธ์ห้าจนทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนักจิตก็เลยหนัก ถ้าเราเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ รู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เขาถึงจะแยกออกจากกันได้ ถ้าแยกออกจากกันได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

แล้วก็รู้จักการสร้างบารมีให้กับตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ด้วยการทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับสิ่งแวดล้อม ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน การทำบุญให้กับตัวเรา ตื่นขึ้นมาเราก็รีบสำรวจตัวเรา นี่แหละเป็นการทำบุญให้กับตัวเรา

จิตของเราปกติดีอยู่หรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่านหรือไม่ จิตของเราเกิดความกังวลเกิดความลังเล เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตของเราหลงอะไรในส่วนลึกๆ เราก็ต้องพยายามเสาะแสวงด้วยการเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าจิตของเราจะแยกรูปแยกนามได้นั่นแหละ

เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงแสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธพระองค์ท่านก็ได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกก็พวกเรานี่แหละ ได้เดินตามแล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม ท่านสอนเรื่องอะไรล่ะ สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา อะไรคือคำว่าอัตตา อะไรคือคำว่าอนัตตา สอนเรื่องทุกข์ ลักษณะของทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างไร สอนเรื่องของหลักอริยสัจ อนิจจังทุกขังอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร

เราต้องพยายามทำความเข้าใจ ให้รู้ด้วยให้เห็นด้วย แล้วก็ตามทำความเข้าใจให้ได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย อันนี้มันเป็นปลายเหตุแล้ว ส่วนต้นเหตุนั้น การเจริญสติ การสังเกต การวิเคราะห์ การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ตรงนี้พวกเราต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมจิตของเรา ควบคุมอารมณ์ของเรา หรือว่าใช้สมถะเข้าไปดับนั่นแหละ

บารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนมีกันมาเพียบพร้อม แล้วก็ได้ประพฤติปฏิบัติกันมาแล้ว มาแต่ก่อนด้วย ถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติกันมา ถ้าไม่มีการสร้างบุญสร้างอานิสงส์กันมา ก็คงจะไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็นับว่ามีบุญ นับว่าเป็นบุญของทุกคน แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพร่างกาย จากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลเวลาผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว รู้จักผิดถูกชั่วดี อะไรคือกุศลอะไรคืออกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญ อันนี้เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับหนึ่ง

กายของเราก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความเสียสละ รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ อันนี้ก็เป็นการสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้กับตัวเราอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ส่วนการเจริญสติที่จะเข้าไปควบคุมจิต เข้าไปคลายจิตออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละที่ไม่ค่อยจะได้ทำกัน ก็เลยว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ

เราปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติกันมาในระดับหนึ่ง ส่วนสมมติของพวกเราอยู่ดีมีความสุขกัน แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกต จิตกับความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม พวกเราต้องขยันหมั่นเพียร รู้จักแนวทางรู้จักวิธีแล้วพยายามไปสร้างไปทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็รีบสำรวจ รู้กายรู้จิตของเรา จะลุกจะก้าวจะเดิน จิตของเราก็ต้องนิ่งรับรู้อยู่ ในองค์สมาธิอยู่ในความสงบ

ตาหูจมูกลิ้นกายของเรา เวลาตาหูจมูกลิ้นกายของเรากระทบรูปรสกลิ่นเสียง จิตของเราเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจ ภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเรายังแยกยังคลายไม่ได้ เราก็ยังมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นโลก หรือว่าโลกีย์อยู่ ยังเป็นสมมติ เรายังไม่เข้าใจสมมติ เรายังไม่เข้าใจวิมุตติ เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้าให้ถึงจุดหมายปลายทาง

แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว อย่าไปท้อถอย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ เราแสวงหาธรรมเราย่อมจะรู้ธรรม อะไรคือธรรม ก็จิตของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม จิตของเรานี้แหละ ถ้าไม่มีความโลภความโกรธ ถ้าเขาไม่หลง เขาไม่เกิดเขาไม่วิ่ง เขาก็จะนิ่งเขาก็จะว่าง นั่นแหละคือองค์ธรรม แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดด้วย ทั้งส่งไปภายนอกด้วย ทั้งหลงด้วย ในส่วนลึกๆ เขาก็หลงความคิดหลงอารมณ์อยู่

แม้ตั้งแต่การทำความเข้าใจให้ได้ทุกอิริยาบถก็ต้องพยายามนะ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนี้ก็เป็นแค่ปลายเหตุเท่านั้นเอง พวกท่านจงพยายามพากันไปสังเกต ไปวิเคราะห์ ตั้งแต่เริ่มเกิดเริ่มก่อตัว เรารู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้

ลักษณะอาการของจิตที่สงบเป็นอย่างไร ลักษณะอาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง

ถ้าเราทำความเข้าใจอยู่อย่างนี้ เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เรามีสติคอยตรวจสอบตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา การทำบุญการให้ทานพวกเรามีโอกาสได้ทำอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสได้ทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายของพวกเรานั่นแหละ

แต่การเจริญสติซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมตรงนี้ เราต้องพยายามเจาะชอนไชให้รู้ให้เห็นจริงๆ และเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ หมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเราเอง มีการแก้ไขปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา นี่แหละท่านถึงบอกว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน แล้วก็สร้างบารมีให้เข้มแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ

ความอดทนอดกลั้นของเรามีหรือไม่ อดทนอดกลั้นต่อกิเลสที่เกิดขึ้นจากภายใน รู้จักละรู้จักดับ อดทนอดกลั้นจากเหตุการณ์จากข้างนอกเข้ามากระทบ เราต้องพยายามดู ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อย่าปล่อยโอกาสอย่าปล่อยเวลาทิ้ง แม้ตั้งแต่เสี้ยววินาทีของทุกลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่เรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ กำลังสติของเราจะพลั้งเผลอมากทีเดียว

ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ จิตของเราก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอยู่นั่นแหละ เราต้องตามทำความเข้าใจแล้วค่อยละออกทีละเล็กทีละน้อย ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ

ไม่ใช่ว่าจะปล่อยปละละเลย จนกว่าเราจะทำความเข้าใจในหลักของธรรมชาติที่แท้จริงได้ ธรรมชาติภายในธรรมชาติภายนอก ธรรมชาติภายในคือจิตที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เขาก็สะอาดบริสุทธิ์ จิตที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง นั่นแหละคือ นิพพาน

สมมติโลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราเข้าไปร่วม เข้าไปอยู่กับสมมติอยู่กับสังคม เราก็อยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญา ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง