หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 007

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 007
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 007
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน ถึงเรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็มาสร้างขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย

วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ให้หมดเสียก่อน ดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ต่อเนื่องกันสักพัก สักระยะนะ

ให้เราพยายามฝึกฝนตนเอง ให้เกิดความเคยชิน บางทีบางครั้งจิตของเราก็สงบอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัว รู้จิตที่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่เท่าทันจิต จิตเกิดส่งออกไปภายนอกเสียก่อน บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรารู้อยู่ แต่เรายังแยกไม่ได้คลายไม่ได้ นั่นแหละคือความหลง อวิชชา

ถ้าเราสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ พยายามหมั่นสังเกตบ่อยๆ อันนี้คือสติที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้คือจิต ความสงบ ความปกติ จิตที่สงบปราศจากกิเลส ปราศจากความโลภความโกรธ ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เขาก็สงบ จิตที่ไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง แต่เราไม่รู้ลักษณะของความว่างจริงๆ รู้ตั้งแต่ว่าเราคิด รู้ตั้งแต่ว่าเราทำ ก็เลยทำตามความคิดทำตามอารมณ์

ยังหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์ดูอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็น เห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นการเกิดการดับของจิต เห็นลักษณะของความว่างที่แท้จริง

ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาก่อน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่เคยปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาทั้งนั้น ตั้งแต่ภพก่อน จนกระทั่งได้มาเกิดเป็นมนุษย์ การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นเด็กเล็ก เด็กโต เด็กใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน จนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักกุศล อะไรคืออกุศล

อันนั้นคือหลักของการปฏิบัติธรรมระดับของโลกีย์ ของสมมติอยู่แล้ว เรามีความรับผิดชอบ เรามีพรหมวิหาร มีความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น รู้จักควบคุมจิต รู้จักควบคุมอารมณ์ได้เป็นบางช่วงบางครั้ง แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเกิดๆ ดับๆ คิดไปเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เราขาดการวิเคราะห์ดู

จิตส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร ทำไมจิตของเราถึงไปรวมกับความคิดจนเป็นสิ่งเดียวกัน คำว่าลักษณะอาการของขันธ์ห้า หรือว่ากองของธาตุขันธ์นั้นเป็นลักษณะอย่างไร ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองๆ เป็นขันธ์ๆ มีอะไรบ้าง

ตัววิญญาณนั่นแหละตัวขันธ์สุดท้าย ตัวรูปนี่แหละขันธ์แรก รูป กายของเรานี้ก็เป็นก้อนรูป ส่วนวิญญาณก็เป็นนาม ส่วนความคิดอีก ตัววิญญาณเข้าไปรวมกับอาการของความคิดอีก แต่เราขาดการสังเกตขาดการแยกก็เลยไม่รู้ ก็ไปหลงไปยึดเอา ยึดอัตตาตัวตน แล้วก็ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงว่าเราไม่ยึดแต่มันก็ยึดอยู่ในตัว นอกจากเราจะคลายได้ ถึงจะรู้ว่าตัวเองหลง ถ้าเราเจริญสติที่ต่อเนื่อง รู้ตัวที่ต่อเนื่องแล้วก็รู้จิต ถึงจะรู้ว่าเราไม่มีสติ

สติปัญญาในทางโลกีย์นั้นทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะสังเกต ที่จะวิเคราะห์ สังเกตไม่ทันรู้ไม่ทันก็ต้องดับ รู้ดับรู้จักควบคุมเอาไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าจะตามดูอย่างเดียว ถ้าดับได้แยกได้เมื่อไหร่ค่อยตามดู อาการของธาตุขันธ์ที่เกิดขึ้นเขาเรียกว่า รู้อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่มันเกิด ถ้าจิตจะเข้าไปร่วมก็ให้ดับ มันก็เป็นของละเอียดอยู่

ถ้าคนเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ ในการพิจารณา ขยันทั้งภายนอกขยันทั้งภายใน มีความเสียสละอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว เสียสละทั้งกำลังกายกำลังใจ แม้แต่กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา รู้จักเจริญพรหมวิหาร สร้างบารมีอยู่ตลอดเวลา

ความอดทนอดกลั้น ต่อการต่อเวลา อดทนอดกลั้นกับเหตุการณ์ต่างๆ รู้จักชำระสะสางกิเลสของตัวเอง ให้ได้วันละเล็กวันละน้อย มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็รีบดับรีบแก้ไข จิตของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักดับ รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่น เปลี่ยนจากความอยากให้เป็นความ…

ให้บริหารด้วยสติ บริหารด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ที่ไหนก็จะมีความสงบความสุข อยู่ที่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็เป็นวัด เพราะว่าเราทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ ถึงกายของเราจะอยู่ในเพศของฆราวาส เราก็ทำใจของเราให้เป็นพระ การปล่อยการละการวาง การทำจิตให้สะอาดให้บริสุทธิ์ได้มากเท่าไหร่ นั่นแหละจิตของเราก็เป็นองค์พระ

จิตของเรานี้ประภัสสร ผ่องใสอยู่แต่ก่อน เพราะความไม่รู้เท่านั้นเอง ทำให้เขาเกิดความทะเยอทะยานอยาก ทำให้เขาไปยึดในสิ่งต่างๆ เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล เข้าไปแยกเข้าไปคลาย เข้าไปหมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ท่านถึงบอกว่าตนแลเป็นที่พึ่งของตน ก็ตรงนี้ ทีนี้ตนภายนอกก็กายภายนอกก็อาศัยสมมติอยู่ มันมีหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน ก็ต้องค่อยพิจารณากันไป

แม้ตั้งแต่เรื่องการเจริญสติพวกเราก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่ครั้ง ส่งออกไปเรื่องอะไรบ้าง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง พวกเราก็ยังรู้ไม่ทัน เพราะว่าขาดการสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว พอรู้ตัวปุ๊บก็รู้จิตรู้กาย จะลุกจะก้าวจะเดิน เข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราก็รักษาความปกติ จะทำกับข้าวกับปลาก็ให้จิตรับรู้ เราจะเอาสิ่งไหนก็เป็นเรื่องของสติปัญญาเข้าไปแก้ไข จิตจะก่อตัวปุ๊บเราก็รู้จักควบคุม ความคิดผุดขึ้นมาเราก็สังเกต ตัวจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมถ้าเราสังเกตทันจิตก็จะดีดออก หรือว่าแยกออกจากความคิดนั้น เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม

นั่นแหละตัววิปัสสนาถึงจะเกิดขึ้น ปรากฏขึ้น เราก็จะมองเห็นทางในการดำเนิน ในการตามดูตามทำความเข้าใจ เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเปิดทางให้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องของหลักอริยสัจ เข้าใจในเรื่องทุกข์สมุทัย เข้าใจในเรื่องธรรม ในเรื่องโลก ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่นั่นแหละ ถึงวาระเวลากายแตกดับนั่นแหละ เราถึงจะได้วางโลกจริงๆ

ก็ต้องพยายามกัน ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ พยายามหมั่นสร้างคุณงามความดี คิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม แล้วก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย การประพฤติปฏิบัติธรรม จะว่ายากก็ยากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้าน แต่ง่ายสำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร สร้างบุญสร้างบารมีมาดี ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา มีโอกาสก็พากันมา ศึกษาค้นคว้า หลวงพ่อก็ขอเจริญธรรม พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง