หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 46
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 46
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง นั่งให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย วางทุกเรื่อง ถึงเราวางไม่ได้เด็ดขาด ดับความคิด เพียงแค่สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นะ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ จิตของเราก็จะสงบตั้งมั่น มีความรู้สึกรับรู้ของลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เราพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
แต่คนเราขาดการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ความรู้ตัวสติก็เลยไม่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่เท่าทันจิต บางทีไม่ได้สร้างเลย คือความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็เลยนึกว่าเป็นสติว่าเป็นปัญญา อันนั้นก็เป็นสติเป็นปัญญาของโลกิยะที่จิตยังเกิด จิตยังวิ่ง จิตยังหลงความคิด หลงอารมณ์อยู่ จิตของเราเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งเกิดด้วย การเกิดตั้งแต่เช้าขึ้นมา เขาเกิดไม่รู้สักกี่เที่ยว สักกี่เรื่อง พอตื่นขึ้นมาปุ๊บก็คิดวิ่งไปเสียแล้ว บางทีความคิดก็มาปรุงแต่งจิตไปด้วยกัน ก็วิ่งตามความคิด วิ่งตามอารมณ์ หมุนไปอยู่อย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ วิบากกรรมหมุนไปๆ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ บางทีก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นกุศล ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมามันก็คิดพามาวัด มาทำบุญ มาให้ทาน ก็มาในกองบุญกองกุศลอยู่
แต่ในหลักธรรมจริงๆ แล้วท่านให้ละความอยาก เข้ามาวัดแล้วท่านก็ให้ละความอยาก ละความหวัง มาสร้างความรู้ตัว มาเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้จักควบคุมจิต รู้จักควบคุมอารมณ์ รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์ จิตของเราก็จะคลายออกจากความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ขณะเรารู้เท่าทันเขาก็จะดีดตัวออกจากความคิด เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เห็นอาการ เห็นอาการของจิตกับขันธ์ห้าเขาแยกออกจากกัน จิตก็จะว่าง กายก็จะโล่งโปร่ง เหมือนกับจะไม่มีกาย กายก็จะเบา สติก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่าเห็น ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นขันธ์ของใครขันธ์ของมัน บางทีก็เป็นอดีต เขาเรียกว่า ‘อาการของสัญญา’ นี่กองหนึ่ง ความคิดทุกชนิดเป็นกองสังขาร บางทีก็เป็นกุศล อกุศล บางทีจิตของเราก็ไปร่วม ถ้าเป็นกุศลเขาก็เสวยเป็นสุข ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นทุกข์ บางทีก็เป็นกลางๆ ไอ้ตัววิญญาณตัวสุดท้ายที่เขาเข้าไปร่วมนั่นแหละ เรียกว่า ‘เข้าไปเสวย’
ถ้ากําลังสติของเราไม่แหลมคมพอนี่ยากที่จะเห็นตรงนี้ ทั้งที่เรารู้อยู่นั่นแหละ ก็ยากที่จะเห็น นอกจากบุคคลที่สร้างตบะสร้างบารมีจริงๆ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยนะ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ขอให้เรามีศรัทธา มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามคําชี้แนะสั่งสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การควบคุมเป็นอย่างนี้ การละเป็นอย่างนี้ จิตที่จะปล่อยที่จะวางได้เร็วได้ไวคือ จิตที่ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เขาเรียกว่า ‘สร้างบารมี’
บารมีเหมือนกับที่เราได้ฟังธรรมฟังเทศน์กันช่วงที่ชาวบ้านเขาพากันทำบุญแห่ผ้าผะเหวด(พระเวส)นั่นแหละ ผะเหวด(พระเวส)กัณฑ์โน้นบ้างกัณฑ์นี้บ้าง จนถึงกัณฑ์สุดท้าย กัณฑ์ที่พระเวสสันดรทานทุกสิ่งทานทุกอย่างก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะมาชาติสุดท้าย มาเกิดเป็นสิทธัตถะกุมาร แล้วก็เติบโตขึ้นมาก็มีครอบครัว แล้วก็ออกบวช ออกบวชแล้วท่านก็บำเพ็ญผิดทางไปอยู่ช่วงหนึ่งในระยะ 5-6 ปี บำเพ็ญเพียรทางกาย ทำทุกรกิริยา บำเพ็ญเพียรหนักจนเหลือแต่โครงกระดูก เนื้อหนังนี่ลูบไปที่ไหนขุมขนต่างๆ ก็หลุดลุ่ยไปตามฝ่ามือที่ลูบที่คลำ เหมือนดังรูปภาพที่องค์ท่านที่อยู่ที่ศาลาหลังโรงครัว มีแต่โครงกระดูก บางคนบางท่านก็อาจจะไม่เข้าใจ นั่นแหละขณะที่พระพุทธองค์ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ ท่านได้บำเพ็ญเพียรหนัก ทำทุกรกิริยาจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ท่านเลยมาพินิจพิจารณาใหม่ มาแก้ไขใหม่ว่ามันไม่ใช่หนทาง ท่านถึงมาบำเพ็ญเพียรทางใจ มาทำนุบำรุงร่างกายใหม่ให้อุดมสมบูรณ์ แล้วก็มาบำเพ็ญเพียรทางกาย ถึงได้ตรัสรู้เรื่องอริยสัจ การเกิดการดับ จิตที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร การดับการละเป็นอย่างไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รอบรู้ในกองสังขาร เข้าสู่วิปัสสนาภูมิ ชำระสะสางกิเลส โลภ โกรธ หลงต่างๆ คลายออกให้หมด ท่านถึงได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ได้เอามาสั่งสอน ส่วนอภิญญาสมาบัติต่างๆ นั้น อันนั้นก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ ส่วนที่ดับทุกข์ได้ คือ ปัญญาวิมุตติ ละกิเลส คลายกิเลสต่างๆ ออกจากจิตจากใจ มองเห็นทางทะลุปุรุโปร่งว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
คนสมัยก่อนเขาพากันบำเพ็ญ บำเพ็ญเพียรทำกันมาก่อน ฝักใฝ่สนใจกันมาก่อน ไม่เหมือนกับคนสมัยนี้ คนสมัยนี้มีแต่ความโลภ มีแต่ความโกรธ แล้วก็มีแต่ความหลง ห้ำหั่นตั้งแต่การฆ่า ตั้งแต่การยิงกัน ตีกัน เหมือนกับในประเทศไทยทุกวันนี้แหละ พากันฆ่ากันตีกันเหมือนวัวเหมือนควาย ไล่ฆ่ากันกลางถนนหนทางต่างๆ รบราฆ่าฟันกัน อันนี้พระพุทธองค์ท่านบอกว่า วิญญาณพวกนี้เกิดมาจากสัตว์เดรัจฉาน มาห้ำหั่นกัน เกิดมาจากสัตว์ป่า เกิดมาจากยักษ์จากมาร มีแต่จะเอาชนะกัน ฆ่าห้ำหั่นกัน พวกเรายังเป็นบุคคลที่โชคดี ที่ไม่ได้ไปรวบรวมกับสังคมเหล่านั้น
มีโอกาส พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนั้น เราก็ต้องพยายามทำตามคำสั่งสอนของท่าน ให้รู้ให้เห็นเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ อย่าเพิ่งไปเชื่อนะ แม้แต่หลวงพ่อที่เล่าให้ฟังนี่ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ ให้ประพฤติ ให้ปฏิบัติ ให้รู้ ให้เห็น ให้เกิดขึ้นที่ใจของเราเสียก่อน ถ้าเห็นแล้ว ทำความเข้าใจได้แล้ว กําลังสติของเรามีความเพียงพอแล้ว เขาก็จะหมดความสงสัย เขาจะตามทำความเข้าใจจนชำระสางออกไปหมด จนหมดสิ่งที่จะเข้าไปแก้ไขนั่นแหละ จนจิตของเราอยู่เหนือหมดทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ จนจิตของเราไม่เกิดนั่นแหละ เราถึงจะมองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด อย่างน้อยๆ ก็ให้จิตของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้
จิตทุกดวงเกิดมาก็ปรารถนาเพื่อที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ก็มาเดินหลงทางกันเยอะมากมายก่ายกอง เพราะว่าไม่เข้าใจในแนวทาง แนวทางตรงจริงๆ นี่ยาก ยากที่บุคคลที่จะเข้าได้ตรงจริงๆ นอกจากบุคคลที่มีอานิสงส์ มีบุญ มีวาสนา ถึงจะไปได้ตรงกันจริงๆ บางทีก็ไปเจอครูบาอาจารย์ที่มันผิดทาง ก็ยิ่งห่างไกลไปอีก ก็เป็นวิบากกรรมของแต่ละบุคคล บางคนบางท่านก็ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ฝักใฝ่ในคุณศีลคุณธรรม เดินทางได้ตรง ก็ไปได้เร็วได้ไวขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละบุคคลที่สร้างสะสมมา บางคนก็สร้างสะสมมามาก บางคนก็สร้างสะสมมาน้อย ทุกคนก็มีบุญ ไม่ใช่ว่าไม่มีบุญ
ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก อันนี้มีบุญกันทุกคนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ทีนี้เราจะสร้างสะสมอานิสงส์ต่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ความเพียรของเรา อย่าไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ โทษสถานที่นั้นโทษสถานที่นี้ เราต้องโทษเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา สมมติต่างๆ นั้นเราก็เข้าไปรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ยังสมมติเพื่อให้เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุดในโลกนี้กับโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันนี้ให้ดีเสียก่อน ก็จะส่งผลถึงอนาคตได้เอง อย่าพากันประมาทนะ
วันนี้มีโอกาสก็ขอเชิญทุกคนมาร่วมกัน ช่วยกันหล่อ ช่วยกันเทพระ ก็ประมาณช่วงบ่ายๆ ช่วงเช้านี้หลังจากฉันข้าวเสร็จ พระเราหลวงพ่อก็จะพาไปปลูกต้นไม้สักชั่วโมงสองชั่วโมงนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ ให้ได้ทุกอิริยาบถ
แต่คนเราขาดการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ความรู้ตัวสติก็เลยไม่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่เท่าทันจิต บางทีไม่ได้สร้างเลย คือความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็เลยนึกว่าเป็นสติว่าเป็นปัญญา อันนั้นก็เป็นสติเป็นปัญญาของโลกิยะที่จิตยังเกิด จิตยังวิ่ง จิตยังหลงความคิด หลงอารมณ์อยู่ จิตของเราเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งเกิดด้วย การเกิดตั้งแต่เช้าขึ้นมา เขาเกิดไม่รู้สักกี่เที่ยว สักกี่เรื่อง พอตื่นขึ้นมาปุ๊บก็คิดวิ่งไปเสียแล้ว บางทีความคิดก็มาปรุงแต่งจิตไปด้วยกัน ก็วิ่งตามความคิด วิ่งตามอารมณ์ หมุนไปอยู่อย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ วิบากกรรมหมุนไปๆ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ บางทีก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นกุศล ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมามันก็คิดพามาวัด มาทำบุญ มาให้ทาน ก็มาในกองบุญกองกุศลอยู่
แต่ในหลักธรรมจริงๆ แล้วท่านให้ละความอยาก เข้ามาวัดแล้วท่านก็ให้ละความอยาก ละความหวัง มาสร้างความรู้ตัว มาเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้จักควบคุมจิต รู้จักควบคุมอารมณ์ รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์ จิตของเราก็จะคลายออกจากความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ขณะเรารู้เท่าทันเขาก็จะดีดตัวออกจากความคิด เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เห็นอาการ เห็นอาการของจิตกับขันธ์ห้าเขาแยกออกจากกัน จิตก็จะว่าง กายก็จะโล่งโปร่ง เหมือนกับจะไม่มีกาย กายก็จะเบา สติก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่าเห็น ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นขันธ์ของใครขันธ์ของมัน บางทีก็เป็นอดีต เขาเรียกว่า ‘อาการของสัญญา’ นี่กองหนึ่ง ความคิดทุกชนิดเป็นกองสังขาร บางทีก็เป็นกุศล อกุศล บางทีจิตของเราก็ไปร่วม ถ้าเป็นกุศลเขาก็เสวยเป็นสุข ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นทุกข์ บางทีก็เป็นกลางๆ ไอ้ตัววิญญาณตัวสุดท้ายที่เขาเข้าไปร่วมนั่นแหละ เรียกว่า ‘เข้าไปเสวย’
ถ้ากําลังสติของเราไม่แหลมคมพอนี่ยากที่จะเห็นตรงนี้ ทั้งที่เรารู้อยู่นั่นแหละ ก็ยากที่จะเห็น นอกจากบุคคลที่สร้างตบะสร้างบารมีจริงๆ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยนะ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ขอให้เรามีศรัทธา มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามคําชี้แนะสั่งสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การควบคุมเป็นอย่างนี้ การละเป็นอย่างนี้ จิตที่จะปล่อยที่จะวางได้เร็วได้ไวคือ จิตที่ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เขาเรียกว่า ‘สร้างบารมี’
บารมีเหมือนกับที่เราได้ฟังธรรมฟังเทศน์กันช่วงที่ชาวบ้านเขาพากันทำบุญแห่ผ้าผะเหวด(พระเวส)นั่นแหละ ผะเหวด(พระเวส)กัณฑ์โน้นบ้างกัณฑ์นี้บ้าง จนถึงกัณฑ์สุดท้าย กัณฑ์ที่พระเวสสันดรทานทุกสิ่งทานทุกอย่างก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะมาชาติสุดท้าย มาเกิดเป็นสิทธัตถะกุมาร แล้วก็เติบโตขึ้นมาก็มีครอบครัว แล้วก็ออกบวช ออกบวชแล้วท่านก็บำเพ็ญผิดทางไปอยู่ช่วงหนึ่งในระยะ 5-6 ปี บำเพ็ญเพียรทางกาย ทำทุกรกิริยา บำเพ็ญเพียรหนักจนเหลือแต่โครงกระดูก เนื้อหนังนี่ลูบไปที่ไหนขุมขนต่างๆ ก็หลุดลุ่ยไปตามฝ่ามือที่ลูบที่คลำ เหมือนดังรูปภาพที่องค์ท่านที่อยู่ที่ศาลาหลังโรงครัว มีแต่โครงกระดูก บางคนบางท่านก็อาจจะไม่เข้าใจ นั่นแหละขณะที่พระพุทธองค์ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ ท่านได้บำเพ็ญเพียรหนัก ทำทุกรกิริยาจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ท่านเลยมาพินิจพิจารณาใหม่ มาแก้ไขใหม่ว่ามันไม่ใช่หนทาง ท่านถึงมาบำเพ็ญเพียรทางใจ มาทำนุบำรุงร่างกายใหม่ให้อุดมสมบูรณ์ แล้วก็มาบำเพ็ญเพียรทางกาย ถึงได้ตรัสรู้เรื่องอริยสัจ การเกิดการดับ จิตที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร การดับการละเป็นอย่างไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รอบรู้ในกองสังขาร เข้าสู่วิปัสสนาภูมิ ชำระสะสางกิเลส โลภ โกรธ หลงต่างๆ คลายออกให้หมด ท่านถึงได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ได้เอามาสั่งสอน ส่วนอภิญญาสมาบัติต่างๆ นั้น อันนั้นก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ ส่วนที่ดับทุกข์ได้ คือ ปัญญาวิมุตติ ละกิเลส คลายกิเลสต่างๆ ออกจากจิตจากใจ มองเห็นทางทะลุปุรุโปร่งว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
คนสมัยก่อนเขาพากันบำเพ็ญ บำเพ็ญเพียรทำกันมาก่อน ฝักใฝ่สนใจกันมาก่อน ไม่เหมือนกับคนสมัยนี้ คนสมัยนี้มีแต่ความโลภ มีแต่ความโกรธ แล้วก็มีแต่ความหลง ห้ำหั่นตั้งแต่การฆ่า ตั้งแต่การยิงกัน ตีกัน เหมือนกับในประเทศไทยทุกวันนี้แหละ พากันฆ่ากันตีกันเหมือนวัวเหมือนควาย ไล่ฆ่ากันกลางถนนหนทางต่างๆ รบราฆ่าฟันกัน อันนี้พระพุทธองค์ท่านบอกว่า วิญญาณพวกนี้เกิดมาจากสัตว์เดรัจฉาน มาห้ำหั่นกัน เกิดมาจากสัตว์ป่า เกิดมาจากยักษ์จากมาร มีแต่จะเอาชนะกัน ฆ่าห้ำหั่นกัน พวกเรายังเป็นบุคคลที่โชคดี ที่ไม่ได้ไปรวบรวมกับสังคมเหล่านั้น
มีโอกาส พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนั้น เราก็ต้องพยายามทำตามคำสั่งสอนของท่าน ให้รู้ให้เห็นเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ อย่าเพิ่งไปเชื่อนะ แม้แต่หลวงพ่อที่เล่าให้ฟังนี่ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ ให้ประพฤติ ให้ปฏิบัติ ให้รู้ ให้เห็น ให้เกิดขึ้นที่ใจของเราเสียก่อน ถ้าเห็นแล้ว ทำความเข้าใจได้แล้ว กําลังสติของเรามีความเพียงพอแล้ว เขาก็จะหมดความสงสัย เขาจะตามทำความเข้าใจจนชำระสางออกไปหมด จนหมดสิ่งที่จะเข้าไปแก้ไขนั่นแหละ จนจิตของเราอยู่เหนือหมดทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ จนจิตของเราไม่เกิดนั่นแหละ เราถึงจะมองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด อย่างน้อยๆ ก็ให้จิตของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้
จิตทุกดวงเกิดมาก็ปรารถนาเพื่อที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ก็มาเดินหลงทางกันเยอะมากมายก่ายกอง เพราะว่าไม่เข้าใจในแนวทาง แนวทางตรงจริงๆ นี่ยาก ยากที่บุคคลที่จะเข้าได้ตรงจริงๆ นอกจากบุคคลที่มีอานิสงส์ มีบุญ มีวาสนา ถึงจะไปได้ตรงกันจริงๆ บางทีก็ไปเจอครูบาอาจารย์ที่มันผิดทาง ก็ยิ่งห่างไกลไปอีก ก็เป็นวิบากกรรมของแต่ละบุคคล บางคนบางท่านก็ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ฝักใฝ่ในคุณศีลคุณธรรม เดินทางได้ตรง ก็ไปได้เร็วได้ไวขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละบุคคลที่สร้างสะสมมา บางคนก็สร้างสะสมมามาก บางคนก็สร้างสะสมมาน้อย ทุกคนก็มีบุญ ไม่ใช่ว่าไม่มีบุญ
ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก อันนี้มีบุญกันทุกคนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ทีนี้เราจะสร้างสะสมอานิสงส์ต่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ความเพียรของเรา อย่าไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ โทษสถานที่นั้นโทษสถานที่นี้ เราต้องโทษเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา สมมติต่างๆ นั้นเราก็เข้าไปรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ยังสมมติเพื่อให้เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุดในโลกนี้กับโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันนี้ให้ดีเสียก่อน ก็จะส่งผลถึงอนาคตได้เอง อย่าพากันประมาทนะ
วันนี้มีโอกาสก็ขอเชิญทุกคนมาร่วมกัน ช่วยกันหล่อ ช่วยกันเทพระ ก็ประมาณช่วงบ่ายๆ ช่วงเช้านี้หลังจากฉันข้าวเสร็จ พระเราหลวงพ่อก็จะพาไปปลูกต้นไม้สักชั่วโมงสองชั่วโมงนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ ให้ได้ทุกอิริยาบถ