หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 34
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 34
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
การมาฝึกหัดปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เพียรทำความเข้าใจ เพียรละกิเลส เพียรทำสมมติให้บริบูรณ์ ถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ว่าเข้ามาปฏิบัติแล้วก็มีแต่ความเกียจคร้าน สร้างสะสมแต่ความเกียจคร้าน สร้างสะสมแต่ความทะเยอทะยานอยาก อย่างนั้นใช้การไม่ได้
ต้องเป็นบุคคลผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ฝึกฝนตนเองทั้งภายนอกภายในให้เร็วไว สติปัญญาเร็วไวเฉียบขาดตลอดเวลา ขณะตื่นตัวอยู่ปัจจุบันมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ช้าประโยชน์เร็ว ประโยชน์ในโลกปัจจุบันประโยชน์ในโลกหน้า ต้องมองให้เต็มรอบ ถึงจะเป็นบุคคลที่เป็นที่พึ่งให้ตนเองได้ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้
ถ้ามีแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความรับผิดชอบ อยู่คนเดียวก็เลี้ยงตัวเองไม่ไหว อยู่หลายคนก็เลี้ยงตัวเองไม่ได้ เป็นหมู่เป็นคณะ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ไม่ได้ เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ เราต้องพยายามเข้มแข็ง หัดเป็นคนเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา การสร้างคุณงามความดี ไม่ต้องไปกลัวอดกลัวลำบาก เทวดาท่านไม่ให้ลำบากหรอก ญาติโยมก็จะมีโอกาสได้มาฝึกหัดปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ มีกายอยู่ก็ปฏิบัติที่นั่นแหละ ปฏิบัติที่กายของเรา ที่ใจของเรานี่แหละ อย่าไปถามจะให้ปฏิบัติที่ไหน จะให้ทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร กินอย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดพิจารณาตัวเรา แก้ไขตัวเราถึงจะถูก ปฏิบัติธรรมมา 10 20 ปี ยังมาถามอยู่ว่าจะให้ปฏิบัติที่ไหน ใส่ชุดอะไร ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องเลย ใจเป็นบุญอยู่นะ แต่การทำความเข้าใจไม่มี
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ต้องรู้ใจ รู้กาย กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็ละเราก็ดับ ใจของเราเกิด เราก็ดับถึงจะถูก ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไม่อย่างนั้นก็จะให้แต่คนอื่นเขาบังคับผ่านนั่ง พาเดิน พาใส่ชุดนั้นใส่ชุดนี้ 3 วัน 7 วัน ได้รับใบประกาศสำเร็จ มันก็สำเร็จกันหมดประเทศ หมดโลกเท่านั้นแหละ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละเขาถามอย่างนั้น คนฉลาดไม่ถามอย่างนั้นหรอก จะให้ปฏิบัติที่ไหน อยู่อย่างไร กินอย่างไร เป็นภาระให้ตัวเอง เป็นภาระกับสถานที่ ต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะอยู่พร้อมที่จะไปมันถึงถูก
การปฏิบัติ กิเลสขึ้นเมื่อไรตัดหัวมันทิ้งทันที อันนี้เรื่องกายนะ เรื่องจิต การแยกรูปแยกนาม พรมวิหาร ศีล สมาธิ ปัญญา ทำความเข้าใจให้เรียบร้อย ถ้าใช้ตัวเองบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็มีแต่ไปพาลให้คนอื่นเขาหนักเขาลำบาก เราต้องพยายามให้มันเก่งทั้งภายใน เก่งทั้งภายนอก ต้องรอบรู้ให้มันเรียบร้อย อย่างนี้เราก็ว่ากันไม่ได้ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังนะ ไม่ได้ไปว่าใครนะ เล่าให้ฟังๆ ไปทำเอา
วิบากของแต่ละบุคคลก็สร้างมาไม่เหมือนกัน เราจะไปบังคับว่าคุณจะต้องทำให้ได้ เราต้องทำให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ไปทำมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียร ถ้าไม่รู้จักสร้างตบะ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น มันก็เหมือนเดิม จะบังคับเท่าไหร่มันก็ไม่เอา ถ้าจะไม่เอา ถ้าคนจะเอา เพียงแค่ได้ยินได้ฟังเพียง แค่สำเหนียกนิดเดียวเท่านั้นแหละ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละ การดับ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ ความเสียสละเป็นอย่างนี้ เต็มเปี่ยมมาตั้งแต่ภพก่อนๆ นั้น ก็ไปได้เร็วได้ไว หมั่นสำเหนียกหมั่นน้อมดู ใครไปถึงหลักชัยก่อนจะให้รางวัล รางวัลข้ามภพข้ามชาติเลย
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมดนะ ถ้าดับไม่ได้เราก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้น สบายเยอะ ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็ชัดเจน
นั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้ไม่ต่อเนื่อง ยังรู้ไม่ชำนาญ ทั้งที่หายใจมาตั้งแต่เกิด ความรู้ตัวต่อเนื่องก็เลยไม่มี มีแต่ความรู้ตัวส่งออกไปข้างนอก ไม่ได้ส่งเข้าไปดูรู้รู้จิต รู้ฐานของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด เข้าไปจุดเดิม เขาก่อตัวตรงไหน ส่วนมากก็มีแต่นึกคิดปรุงแต่ง เอาความนึกคิดปรุงแต่ง กำลังของกิเลสเข้าไปปกปิดดวงจิตฐานเดิมเขาเอาไว้ กำลังจิต กำลังความคิดก็เลยมีมาก ก็เลยเอาไม่อยู่ ทั้งที่รู้นั่นแหละ
เราก็ต้องพยายามกัน ได้มากได้น้อยได้เล็กได้น้อยเราก็พยายามทำ อย่าว่าไม่ทำ การทำบุญให้ทาน ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยทุกคนมีกันอยู่แล้ว แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปละ เข้าไปดับ ขยันหมั่นเพียร ตรงนี้ต้องทำให้มากๆ แล้วก็พยายามสร้างตบะบารมีให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรามีโอกาสเราได้สร้างประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราก็รีบทำกัน
หลวงพ่อก็พาทำทั้ง 2 อย่างนั่นแหละ ทั้งการเจริญภาวนา ทั้งการละกิเลส ทั้งการทำบุญให้ทาน ทั้งทำอานิสงส์ภายนอก ฝากเอาไว้ให้กับโลกไว้ให้กับสมมติ เป็นสะพานบุญให้กับทุกคนได้มาช่วยกันทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของพวกเรา มาช่วยกันทำ หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่มีโอกาสได้มาช่วยกัน ใครมาช้าก็เสร็จก่อน ใครมาไม่ทันก็เสร็จก่อน ก็อนุโมทนาร่วมกันก็ได้บุญร่วมกันเหมือนกัน มีโอกาสก็ได้มาทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ หลวงพ่อก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังกาย กำลังใจ กำลังความสามารถที่จะมีอยู่ ทำให้ทุกคนได้มารับอานิสงส์ด้วยกันไม่มากก็น้อย จะทำให้เป็นแหล่งบุญฝากฝังเอาไว้ให้กับแผ่นดิน ให้กับโลก
เรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาก็ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป จากน้อยๆ ไปหามากๆ เดี๋ยวก็เต็มรอบเอง เทวดาคนนั้นก็มาช่วย คนนี้ก็มาช่วย คงจะไม่ได้ลำบากเรื่องทุนทรัพย์เท่าไหร่ ก็มีมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ มีมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ บางทีก็มีมากบ้างน้อยบ้าง ก็พอได้ทำไป แต่ละวันๆ ก็ไม่ถึงกับลำบาก ก็คงจะจบอยู่เสร็จอยู่ให้บริบูรณ์ได้จริงๆ ก็คงจะเป็นปีหน้า หรือภายในสองปีนี้ต้องบริบูรณ์ ทางด้านสมมุติภายในปีนี้ก็กะว่าจะทำให้สำเร็จอยู่ แต่อาจจะยังไม่บริบูรณ์ดี ถ้าจะบริบูรณ์จริงๆ ก็คงจะต้นไม้ให้ร่มเงาหมดทุกสิ่งทุกอย่างได้อานิสงส์เต็มที่ นั่นแหละต่อไปคนทั่วสารทิศก็จะมาตักตวงอานิสงส์ตรงนี้ ก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ให้กับมหาชน คนที่อยู่รุ่นหลังก็สร้างสานต่อ เรามาช่วยกันร่วมกัน อย่าไปคิดว่าการสร้างสะสมบุญทีละเล็กทีละน้อยมันไม่มีค่า มีค่ามากมาย เดี๋ยวก็เต็มอิ่มเต็มเปี่ยมเอง
มีโอกาสก็มา มีเวลาก็มา อยากจะมาตั้งโรงทานก็มา อยากจะมาช่วยก็มา หลวงพ่อก็เปิดโอกาสให้กับทุกคน หรือว่าไม่มีโอกาสจะเอาข้าวของมาเข้าโรงครัวก็ได้ พริกเขือเกลือปลาร้าอะไร เรามีอย่างไรเราก็มาช่วยกัน นี่แหละบุญด้วยเกิดขึ้น ทำบุญให้ตัวเอง ทำบุญให้พ่อให้แม่ ให้พี่ให้น้อง ให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ทำบุญให้กับพระสงฆ์องค์เจ้า ทำบุญให้กับสถานที่ เป็นบุญหมถ้าคนเรารู้จักบุญ ก็ต้องพยายามกัน ตั้งสติความรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ต้องเป็นบุคคลผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ฝึกฝนตนเองทั้งภายนอกภายในให้เร็วไว สติปัญญาเร็วไวเฉียบขาดตลอดเวลา ขณะตื่นตัวอยู่ปัจจุบันมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ช้าประโยชน์เร็ว ประโยชน์ในโลกปัจจุบันประโยชน์ในโลกหน้า ต้องมองให้เต็มรอบ ถึงจะเป็นบุคคลที่เป็นที่พึ่งให้ตนเองได้ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้
ถ้ามีแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความรับผิดชอบ อยู่คนเดียวก็เลี้ยงตัวเองไม่ไหว อยู่หลายคนก็เลี้ยงตัวเองไม่ได้ เป็นหมู่เป็นคณะ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ไม่ได้ เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ เราต้องพยายามเข้มแข็ง หัดเป็นคนเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา การสร้างคุณงามความดี ไม่ต้องไปกลัวอดกลัวลำบาก เทวดาท่านไม่ให้ลำบากหรอก ญาติโยมก็จะมีโอกาสได้มาฝึกหัดปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ มีกายอยู่ก็ปฏิบัติที่นั่นแหละ ปฏิบัติที่กายของเรา ที่ใจของเรานี่แหละ อย่าไปถามจะให้ปฏิบัติที่ไหน จะให้ทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร กินอย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดพิจารณาตัวเรา แก้ไขตัวเราถึงจะถูก ปฏิบัติธรรมมา 10 20 ปี ยังมาถามอยู่ว่าจะให้ปฏิบัติที่ไหน ใส่ชุดอะไร ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องเลย ใจเป็นบุญอยู่นะ แต่การทำความเข้าใจไม่มี
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ต้องรู้ใจ รู้กาย กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็ละเราก็ดับ ใจของเราเกิด เราก็ดับถึงจะถูก ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไม่อย่างนั้นก็จะให้แต่คนอื่นเขาบังคับผ่านนั่ง พาเดิน พาใส่ชุดนั้นใส่ชุดนี้ 3 วัน 7 วัน ได้รับใบประกาศสำเร็จ มันก็สำเร็จกันหมดประเทศ หมดโลกเท่านั้นแหละ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละเขาถามอย่างนั้น คนฉลาดไม่ถามอย่างนั้นหรอก จะให้ปฏิบัติที่ไหน อยู่อย่างไร กินอย่างไร เป็นภาระให้ตัวเอง เป็นภาระกับสถานที่ ต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะอยู่พร้อมที่จะไปมันถึงถูก
การปฏิบัติ กิเลสขึ้นเมื่อไรตัดหัวมันทิ้งทันที อันนี้เรื่องกายนะ เรื่องจิต การแยกรูปแยกนาม พรมวิหาร ศีล สมาธิ ปัญญา ทำความเข้าใจให้เรียบร้อย ถ้าใช้ตัวเองบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็มีแต่ไปพาลให้คนอื่นเขาหนักเขาลำบาก เราต้องพยายามให้มันเก่งทั้งภายใน เก่งทั้งภายนอก ต้องรอบรู้ให้มันเรียบร้อย อย่างนี้เราก็ว่ากันไม่ได้ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังนะ ไม่ได้ไปว่าใครนะ เล่าให้ฟังๆ ไปทำเอา
วิบากของแต่ละบุคคลก็สร้างมาไม่เหมือนกัน เราจะไปบังคับว่าคุณจะต้องทำให้ได้ เราต้องทำให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ไปทำมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียร ถ้าไม่รู้จักสร้างตบะ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น มันก็เหมือนเดิม จะบังคับเท่าไหร่มันก็ไม่เอา ถ้าจะไม่เอา ถ้าคนจะเอา เพียงแค่ได้ยินได้ฟังเพียง แค่สำเหนียกนิดเดียวเท่านั้นแหละ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละ การดับ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ ความเสียสละเป็นอย่างนี้ เต็มเปี่ยมมาตั้งแต่ภพก่อนๆ นั้น ก็ไปได้เร็วได้ไว หมั่นสำเหนียกหมั่นน้อมดู ใครไปถึงหลักชัยก่อนจะให้รางวัล รางวัลข้ามภพข้ามชาติเลย
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมดนะ ถ้าดับไม่ได้เราก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้น สบายเยอะ ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็ชัดเจน
นั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้ไม่ต่อเนื่อง ยังรู้ไม่ชำนาญ ทั้งที่หายใจมาตั้งแต่เกิด ความรู้ตัวต่อเนื่องก็เลยไม่มี มีแต่ความรู้ตัวส่งออกไปข้างนอก ไม่ได้ส่งเข้าไปดูรู้รู้จิต รู้ฐานของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด เข้าไปจุดเดิม เขาก่อตัวตรงไหน ส่วนมากก็มีแต่นึกคิดปรุงแต่ง เอาความนึกคิดปรุงแต่ง กำลังของกิเลสเข้าไปปกปิดดวงจิตฐานเดิมเขาเอาไว้ กำลังจิต กำลังความคิดก็เลยมีมาก ก็เลยเอาไม่อยู่ ทั้งที่รู้นั่นแหละ
เราก็ต้องพยายามกัน ได้มากได้น้อยได้เล็กได้น้อยเราก็พยายามทำ อย่าว่าไม่ทำ การทำบุญให้ทาน ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยทุกคนมีกันอยู่แล้ว แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปละ เข้าไปดับ ขยันหมั่นเพียร ตรงนี้ต้องทำให้มากๆ แล้วก็พยายามสร้างตบะบารมีให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรามีโอกาสเราได้สร้างประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราก็รีบทำกัน
หลวงพ่อก็พาทำทั้ง 2 อย่างนั่นแหละ ทั้งการเจริญภาวนา ทั้งการละกิเลส ทั้งการทำบุญให้ทาน ทั้งทำอานิสงส์ภายนอก ฝากเอาไว้ให้กับโลกไว้ให้กับสมมติ เป็นสะพานบุญให้กับทุกคนได้มาช่วยกันทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของพวกเรา มาช่วยกันทำ หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่มีโอกาสได้มาช่วยกัน ใครมาช้าก็เสร็จก่อน ใครมาไม่ทันก็เสร็จก่อน ก็อนุโมทนาร่วมกันก็ได้บุญร่วมกันเหมือนกัน มีโอกาสก็ได้มาทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ หลวงพ่อก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังกาย กำลังใจ กำลังความสามารถที่จะมีอยู่ ทำให้ทุกคนได้มารับอานิสงส์ด้วยกันไม่มากก็น้อย จะทำให้เป็นแหล่งบุญฝากฝังเอาไว้ให้กับแผ่นดิน ให้กับโลก
เรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาก็ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป จากน้อยๆ ไปหามากๆ เดี๋ยวก็เต็มรอบเอง เทวดาคนนั้นก็มาช่วย คนนี้ก็มาช่วย คงจะไม่ได้ลำบากเรื่องทุนทรัพย์เท่าไหร่ ก็มีมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ มีมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ บางทีก็มีมากบ้างน้อยบ้าง ก็พอได้ทำไป แต่ละวันๆ ก็ไม่ถึงกับลำบาก ก็คงจะจบอยู่เสร็จอยู่ให้บริบูรณ์ได้จริงๆ ก็คงจะเป็นปีหน้า หรือภายในสองปีนี้ต้องบริบูรณ์ ทางด้านสมมุติภายในปีนี้ก็กะว่าจะทำให้สำเร็จอยู่ แต่อาจจะยังไม่บริบูรณ์ดี ถ้าจะบริบูรณ์จริงๆ ก็คงจะต้นไม้ให้ร่มเงาหมดทุกสิ่งทุกอย่างได้อานิสงส์เต็มที่ นั่นแหละต่อไปคนทั่วสารทิศก็จะมาตักตวงอานิสงส์ตรงนี้ ก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ให้กับมหาชน คนที่อยู่รุ่นหลังก็สร้างสานต่อ เรามาช่วยกันร่วมกัน อย่าไปคิดว่าการสร้างสะสมบุญทีละเล็กทีละน้อยมันไม่มีค่า มีค่ามากมาย เดี๋ยวก็เต็มอิ่มเต็มเปี่ยมเอง
มีโอกาสก็มา มีเวลาก็มา อยากจะมาตั้งโรงทานก็มา อยากจะมาช่วยก็มา หลวงพ่อก็เปิดโอกาสให้กับทุกคน หรือว่าไม่มีโอกาสจะเอาข้าวของมาเข้าโรงครัวก็ได้ พริกเขือเกลือปลาร้าอะไร เรามีอย่างไรเราก็มาช่วยกัน นี่แหละบุญด้วยเกิดขึ้น ทำบุญให้ตัวเอง ทำบุญให้พ่อให้แม่ ให้พี่ให้น้อง ให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ทำบุญให้กับพระสงฆ์องค์เจ้า ทำบุญให้กับสถานที่ เป็นบุญหมถ้าคนเรารู้จักบุญ ก็ต้องพยายามกัน ตั้งสติความรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง