หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 44
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 44
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบายนะ นั่งตามสบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย ไม่ต้องพนมมือ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราแล้วหรือยัง อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความรู้ตัว ให้รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก ฟังไปด้วยสำเหนียกความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องลองดูสิ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะได้คลายความเครียดลงได้เห็นได้ชัดเจน ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน ให้เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียวนะ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเรามีความรู้ตัวได้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้จิตรู้ลักษณะของจิต
แต่เวลานี้จิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอกได้เร็วได้ไว บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้ไว ความรู้ตัวของเรามันช้า หรือไม่ได้สร้างเลย เรามาสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกันเสียก่อน อย่าไปเกียจคร้าน อานิสงส์บารมีส่วนอื่นนั้นเขาส่งมาพร้อมมูลหมดแล้วแหละ มีความศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เกรงกลัวต่อบาป อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ เราก็ต้องพยายาม พยายามดับความอยากเสีย ละความอยากออกไป ถ้าเราละความอยากได้แล้วความสงบก็เกิดขึ้นเอง การสังเกต การวิเคราะห์ ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ทำความเข้าใจให้เห็น ให้รู้ให้เห็น และตามทำความเข้าใจให้รู้ได้ตลอด แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเองตลอดเวลา
ตื่นขึ้นมาจิตของเราเป็นกุศล หรือว่าอกุศล จิตของเราเกิดความกังวล หรือว่าเกิดความฟุ้งซ่าน เราต้องสร้างผู้รู้ตัวใหม่ หรือว่าสติเข้าไปตรวจสอบ ส่วนจิตของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ หลงอะไร ส่วนลึกๆ ก็คือหลงความคิด ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ เราก็จะเห็นความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง เห็นลักษณะตัวจิตที่แท้จริง เราก็จะเข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในหลักธรรมที่พระพุทธองค์ท่านได้สอนเอาไว้
แต่เวลานี้เรายังไม่เข้าใจในส่วนรายละเอียด เราอาจจะรู้อยู่ในระดับของโลกียะเท่านั้นเองว่า การทำบุญเป็นอย่างนี้ จิตเกิดความสุข เกิดความสงบเป็นอย่างนี้ แต่จิตยังไม่ได้แยก ยังไม่ได้คลายความหลงจริงๆ เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาตัวเรา โชคดีแล้วแหละที่พวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมีโอกาสได้เกิดมาในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอยู่ เกิดมาในประเทศที่เป็นครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฐิ ฝักใฝ่ในบุญในกุศล ให้เราพยายามรีบตักตวงเอา อย่าไปคิดว่าเวลานั้นจะปฏิบัติ เวลานี้จะปฏิบัติ
ตามความเป็นจริงแล้วเราก็ปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ แต่เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี มีความเสียสละ มีความอดทนอยู่ในระดับของโลกีย์ แต่ระดับของโลกุตระ เราต้องคลายจิต ละกิเลส ละความโลภ ความโกรธ ละออกให้หมดจดจากจิตจากใจของเราเลยทีเดียว แม้แต่การเกิดของจิตเราก็ไม่ให้เกิด
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือทำให้ต่อเนื่องตรงนี้แหละที่เรายังทำกันไม่ได้ต่อเนื่องกัน ท่านถึงบอกว่าให้พยายามวางภาระหน้าที่สมมติต่างๆ เอาไว้สักพักสักระยะหนึ่ง มาทำความเข้าใจกับจิตของเราให้ชัดเจนเสียก่อน ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาการงานของเราเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย จิตของเราเกิดกิเลสหรือไม่ เราก็ได้สำรวจจิตของเราไปด้วย แต่เวลานี้สติของเรายังไม่ต่อเนื่อง กำลังสติมีไม่มาก เราก็ต้องมาสร้างเสียก่อน มาสร้างแล้วก็มาควบคุมจิต ท่านถึงว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว จิตเป็นทาสของกิเลส ทาสของความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของขันธ์ห้า
ที่ว่าขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ซึ่งมีดวงวิญญาณเป็นตัวสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้า เราต้องจำแนกแจกแจงซึ่งเปรียบเสมือนกับ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเชือก มีเชือกใหญ่อยู่เส้นหนึ่งมันมีอยู่ห้าเกลียว แต่ละเกลียว ๆ เขาก็รวมกันอยู่ ก็เหมือนกับเป็นเส้นเดียวกัน แต่ถ้าเรามองให้ลึกๆ ก็จะเห็นเป็นเกลียวใครเกลียวมันอยู่ จิตของเราก็เหมือนกัน อาการของขันธ์ห้าที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นของหนัก ถ้าเรามาจำแนกแจกแจง ก็จะเป็นเกลียวนั้นบ้าง เกลียวนี้บ้าง อาการของสัญญาบ้าง สังขารบ้าง กองสังขารบ้าง วิญญาณบ้าง กองรูปบ้าง แต่เขาก็รวมกันอยู่ ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปแยกแยะจริงๆ เราจะไม่เข้าใจในเรื่องของพวกนี้
เราต้องเป็นคนละเอียด เป็นคนมีระเบียบมีวินัยในตัวเอง แก้ไขตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้เอาออก เป็นผู้คลาย เป็นผู้ให้ ให้จนคลายออกจนหมด แล้วสติปัญญา กิเลสมีมากมายที่จิตแล้วก็คลายออกจนจิตเหลืออยู่ที่ความว่าง ความว่างนั่นแหละคือดวงจิต ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ แต่การคลายการสำรอกมันยังไม่มี ก็ได้รับแค่ความสงบ จิตยังไม่หงาย จิตยังคว่ำอยู่
ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์จริงๆ ทำให้ต่อเนื่องจริงๆ จนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาไม่เอาหรอกทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เพราะว่าเขารู้ความจริง จะเอาอะไรมาฉุดมาลากเขาก็ไม่ไป เพราะว่าการเกิดเป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสเป็นทุกข์ แต่เราทำไม่ถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ กิเลสมารต่างๆเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะว่าเขาอยู่ร่วมกันมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ ให้ลองพยายามไปศึกษาไปค้นคว้าดู
แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พวกเราก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง อาจจะรู้อยู่เป็นบางครั้ง การควบคุมจิตมีเป็นบางเรื่องบางครั้ง แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้ดับทุกอย่าง ให้ละทุกอย่าง หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา ทำความเข้าใจ การเกิดของจิต จิตส่งออกไปภายนอกเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ เข้าหลักของอริยสัจสี่ทันทีเลยทีเดียว
ถ้าเราจำแนกแจกแจงได้ ทำความเข้าใจได้จะสนุก อยู่คนเดียวก็สนุก อยู่หลายคนก็สนุก ดูเรา ดูจิตของเรา กายของเราเข้าไปร่วมสมมติ ให้จิตรับรู้ ไม่ให้จิตของเราเกิดอคติ เกิดเพ่งโทษ กิเลสตัวไหนเราละได้แล้ว ตัวไหนเราละไม่ได้ เราก็พยายามละ เราชนะกิเลสแล้ว จิตของเราก็จะเกิดความภูมิใจ ตัวไหนมันยังละไม่ได้ มาเข้ามาเมื่อไหร่ เราก็พยายามละ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ดับกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แล้วก็ละออกให้หมด
ทำจิตของเราให้สงบ สงบอยู่ทุกสถานที่ สงบอยู่ทุกสถานการณ์ สงบอยู่กลางตลาด กลางโรงหนังก็ต้องให้สงบ ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้แหละเขาถึงเรียกว่าเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ก็ต้องพยายามกันนะ
อย่าปิดกั้นตัวเราเอง ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ลองดูสิ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกของเรา ถ้าสัมผัสไม่เด่นชัด เราก็หายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนออกมายาวๆ ฝึกหัดให้เกิดความเคยชิน ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ นี่แหละตรงนี้แหละ อย่าไปเกียจคร้าน เราพยามฝึกให้เกิดความเคยชิน จะยืนเดินนั่งนอน ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ตั้งสติรู้ให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะได้คลายความเครียดลงได้เห็นได้ชัดเจน ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน ให้เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียวนะ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเรามีความรู้ตัวได้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้จิตรู้ลักษณะของจิต
แต่เวลานี้จิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอกได้เร็วได้ไว บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้ไว ความรู้ตัวของเรามันช้า หรือไม่ได้สร้างเลย เรามาสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกันเสียก่อน อย่าไปเกียจคร้าน อานิสงส์บารมีส่วนอื่นนั้นเขาส่งมาพร้อมมูลหมดแล้วแหละ มีความศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เกรงกลัวต่อบาป อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ เราก็ต้องพยายาม พยายามดับความอยากเสีย ละความอยากออกไป ถ้าเราละความอยากได้แล้วความสงบก็เกิดขึ้นเอง การสังเกต การวิเคราะห์ ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ทำความเข้าใจให้เห็น ให้รู้ให้เห็น และตามทำความเข้าใจให้รู้ได้ตลอด แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเองตลอดเวลา
ตื่นขึ้นมาจิตของเราเป็นกุศล หรือว่าอกุศล จิตของเราเกิดความกังวล หรือว่าเกิดความฟุ้งซ่าน เราต้องสร้างผู้รู้ตัวใหม่ หรือว่าสติเข้าไปตรวจสอบ ส่วนจิตของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ หลงอะไร ส่วนลึกๆ ก็คือหลงความคิด ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ เราก็จะเห็นความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง เห็นลักษณะตัวจิตที่แท้จริง เราก็จะเข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในหลักธรรมที่พระพุทธองค์ท่านได้สอนเอาไว้
แต่เวลานี้เรายังไม่เข้าใจในส่วนรายละเอียด เราอาจจะรู้อยู่ในระดับของโลกียะเท่านั้นเองว่า การทำบุญเป็นอย่างนี้ จิตเกิดความสุข เกิดความสงบเป็นอย่างนี้ แต่จิตยังไม่ได้แยก ยังไม่ได้คลายความหลงจริงๆ เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาตัวเรา โชคดีแล้วแหละที่พวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมีโอกาสได้เกิดมาในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอยู่ เกิดมาในประเทศที่เป็นครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฐิ ฝักใฝ่ในบุญในกุศล ให้เราพยายามรีบตักตวงเอา อย่าไปคิดว่าเวลานั้นจะปฏิบัติ เวลานี้จะปฏิบัติ
ตามความเป็นจริงแล้วเราก็ปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ แต่เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี มีความเสียสละ มีความอดทนอยู่ในระดับของโลกีย์ แต่ระดับของโลกุตระ เราต้องคลายจิต ละกิเลส ละความโลภ ความโกรธ ละออกให้หมดจดจากจิตจากใจของเราเลยทีเดียว แม้แต่การเกิดของจิตเราก็ไม่ให้เกิด
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือทำให้ต่อเนื่องตรงนี้แหละที่เรายังทำกันไม่ได้ต่อเนื่องกัน ท่านถึงบอกว่าให้พยายามวางภาระหน้าที่สมมติต่างๆ เอาไว้สักพักสักระยะหนึ่ง มาทำความเข้าใจกับจิตของเราให้ชัดเจนเสียก่อน ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาการงานของเราเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย จิตของเราเกิดกิเลสหรือไม่ เราก็ได้สำรวจจิตของเราไปด้วย แต่เวลานี้สติของเรายังไม่ต่อเนื่อง กำลังสติมีไม่มาก เราก็ต้องมาสร้างเสียก่อน มาสร้างแล้วก็มาควบคุมจิต ท่านถึงว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว จิตเป็นทาสของกิเลส ทาสของความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของขันธ์ห้า
ที่ว่าขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ซึ่งมีดวงวิญญาณเป็นตัวสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้า เราต้องจำแนกแจกแจงซึ่งเปรียบเสมือนกับ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเชือก มีเชือกใหญ่อยู่เส้นหนึ่งมันมีอยู่ห้าเกลียว แต่ละเกลียว ๆ เขาก็รวมกันอยู่ ก็เหมือนกับเป็นเส้นเดียวกัน แต่ถ้าเรามองให้ลึกๆ ก็จะเห็นเป็นเกลียวใครเกลียวมันอยู่ จิตของเราก็เหมือนกัน อาการของขันธ์ห้าที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นของหนัก ถ้าเรามาจำแนกแจกแจง ก็จะเป็นเกลียวนั้นบ้าง เกลียวนี้บ้าง อาการของสัญญาบ้าง สังขารบ้าง กองสังขารบ้าง วิญญาณบ้าง กองรูปบ้าง แต่เขาก็รวมกันอยู่ ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปแยกแยะจริงๆ เราจะไม่เข้าใจในเรื่องของพวกนี้
เราต้องเป็นคนละเอียด เป็นคนมีระเบียบมีวินัยในตัวเอง แก้ไขตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้เอาออก เป็นผู้คลาย เป็นผู้ให้ ให้จนคลายออกจนหมด แล้วสติปัญญา กิเลสมีมากมายที่จิตแล้วก็คลายออกจนจิตเหลืออยู่ที่ความว่าง ความว่างนั่นแหละคือดวงจิต ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ แต่การคลายการสำรอกมันยังไม่มี ก็ได้รับแค่ความสงบ จิตยังไม่หงาย จิตยังคว่ำอยู่
ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์จริงๆ ทำให้ต่อเนื่องจริงๆ จนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาไม่เอาหรอกทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เพราะว่าเขารู้ความจริง จะเอาอะไรมาฉุดมาลากเขาก็ไม่ไป เพราะว่าการเกิดเป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสเป็นทุกข์ แต่เราทำไม่ถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ กิเลสมารต่างๆเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะว่าเขาอยู่ร่วมกันมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ ให้ลองพยายามไปศึกษาไปค้นคว้าดู
แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พวกเราก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง อาจจะรู้อยู่เป็นบางครั้ง การควบคุมจิตมีเป็นบางเรื่องบางครั้ง แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้ดับทุกอย่าง ให้ละทุกอย่าง หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา ทำความเข้าใจ การเกิดของจิต จิตส่งออกไปภายนอกเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ เข้าหลักของอริยสัจสี่ทันทีเลยทีเดียว
ถ้าเราจำแนกแจกแจงได้ ทำความเข้าใจได้จะสนุก อยู่คนเดียวก็สนุก อยู่หลายคนก็สนุก ดูเรา ดูจิตของเรา กายของเราเข้าไปร่วมสมมติ ให้จิตรับรู้ ไม่ให้จิตของเราเกิดอคติ เกิดเพ่งโทษ กิเลสตัวไหนเราละได้แล้ว ตัวไหนเราละไม่ได้ เราก็พยายามละ เราชนะกิเลสแล้ว จิตของเราก็จะเกิดความภูมิใจ ตัวไหนมันยังละไม่ได้ มาเข้ามาเมื่อไหร่ เราก็พยายามละ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ดับกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แล้วก็ละออกให้หมด
ทำจิตของเราให้สงบ สงบอยู่ทุกสถานที่ สงบอยู่ทุกสถานการณ์ สงบอยู่กลางตลาด กลางโรงหนังก็ต้องให้สงบ ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้แหละเขาถึงเรียกว่าเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ก็ต้องพยายามกันนะ
อย่าปิดกั้นตัวเราเอง ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ลองดูสิ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกของเรา ถ้าสัมผัสไม่เด่นชัด เราก็หายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนออกมายาวๆ ฝึกหัดให้เกิดความเคยชิน ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ นี่แหละตรงนี้แหละ อย่าไปเกียจคร้าน เราพยามฝึกให้เกิดความเคยชิน จะยืนเดินนั่งนอน ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ตั้งสติรู้ให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง