หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 41
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 41
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เอาให้พอดีนะสามเณร สามเณรเอาให้พอดีกับพออิ่มของเรา ถ้าอยากแล้วก็ ถ้าจิตมันอยากแล้วก็หยุด ถ้าไม่อยากแล้วก็ค่อยเอา ค่อยกะประมาณในการขบฉัน ฝึกฝนให้ติดเป็นนิสัย โตขึ้นไปก็จะได้วิเคราะห์ได้พิจารณา ยิ่งสามเณร ยิ่งพระบวชใหม่อายุน้อยๆ อายุ 20 10 กว่า 20 จะต่อสู้กับเวทนาทางด้านเรื่องของความอยากนี้มาก เพราะว่ากายต้องการอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกายเพิ่มความเจริญเติบโต ไม่ใช่ว่าไม่ให้เอา แต่ไม่ให้เอาด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต ให้เอาด้วยสติ เอาด้วยปัญญา คนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ
ช่วงที่อายุกำลังเจริญวัยนี้ จะต่อสู้กับกิเลสของความอยากตัวนี้เยอะ ถ้าอายุมากขึ้นๆ ถ้าเราบั่นทอนความอยากตั้งแต่ตัวเล็กๆ เมื่อโตขึ้นความอยากก็จะเหือดแห้งไปได้เร็วได้ไว เอาด้วยสติ เอาด้วยปัญญามาหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา ไม่ให้เกิดทุกขเวทนา อันนี้เพียงแค่ความอยากของเรื่องอาหาร ต่อไปข้างหน้าก็ความอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ความอยาก อยากได้อยากมี ไม่อยากได้ไม่อยากมี
หาความเป็นกลาง เราต้องยืนอยู่จุดกลางๆ ทำอย่างไรจิตของเราถึงจะอยู่จุดกลางๆ ได้ เราก็ต้องคลายขันธ์ห้าเสียก่อน เจริญสติเข้าไปคลายขันธ์ห้า ดับความเกิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็สร้างตบะ สร้างบารมี สร้างกำลังสติ ความอดทน สัจจะ วิริยะความเพียร ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุ่มเท เป็นเครื่องประหัตประหารกิเลส ทุ่มเทเข้าไป รู้จักให้อภัยอโหสิกรรม มีความขยันชำระสะสางกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดลึกลงไปจนกว่าจะหมดจด
ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์จิต วิเคราะห์กายของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้เข้าวัด ได้ฟังธรรม เรารู้ไม่เท่าทันกลไกของกิเลส เราก็รู้จักดับเอาไว้ เราอย่ารู้แต่ชื่อของเขา เราต้องรู้จักลักษณะหน้าตาอาการเวลาเขาก่อตัว เวลาเขาเกิด ตื่นขึ้นมาจิตส่งออกไปข้างนอก นี่หรือที่เรียกว่า ‘สมุทัย‘ สาเหตุแห่งทุกข์ ส่งไปข้างนอกก็ยังไม่พอ ก็ยังไปรวมกับขันธ์ห้าอีก รวมกันนั่นแหละความหลง เขาเรียกว่า ‘หลง’ หลงความคิด หลงในอารมณ์ ภายนอกอาจจะว่าเราไม่หลง เราไม่หลงสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันนั้นมันเป็นภายนอก แต่ในส่วนลึกๆ แล้ว จิตของเราเข้าไปหลงความคิด หลงขันธ์ห้า เรื่องอดีตบ้าง เรื่องอนาคตบ้าง สารพัดเรื่องที่เขาจะมาปรุงมาแต่ง เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ถ้ากำลังสติของเราไม่ตามค้นคว้า ไม่หาเหตุหาผลจนจิตยอมรับความจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะถอย เขาถึงจะปล่อยจะวาง ถึงเขาแยกได้แล้วถ้ากำลังสติไม่ตามทำความเข้าใจอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าปฏิบัติ เขาพาปฏิบัติก็ปฏิบัติ เขาพานั่งก็นั่ง เขาพาเดินก็เดิน เขาพาทำบุญก็ทำ แต่ไม่รู้ความหมาย เราต้องรู้ความหมาย การทำบุญการให้ทานเพื่ออะไร เพื่อละกิเลส เพื่อนละความตระหนี่เหนียวแน่น เราต้องรู้ใจของเราด้วย ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์
ลักษณะของศีล ศีลเป็นลักษณะอย่างไร ความปกติของกาย ปกติวาจาก็ปกติ ลึกลงไปก็จิต ไม่มีเจตนา จิตที่ไม่เกิด จิตปกติ จิตสงบ อธิจิต อธิศีล ปัญญา ปัญญาประคับประคองกาย ประคับประคองอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในระดับของสังคม ปัญญาลึกลงไปอีก ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในการเกิดการดับของอารมณ์ ปัญญาละกิเลส ประหัตประหารกิเลส มันมีเป็นชั้นๆ เขาเยอะมากมาย แต่ก็อยู่ในวงแคบก็คืออยู่ที่กายกับใจของเรา
เราต้องกำจัดออกให้มันหมด ไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นทาสของเขาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์ เป็นทาสก็ยอมเป็นทาส เขามาอย่างไรก็ยอมเขาหมด กิเลสใช้การใช้งาน จิกหัวใช้งานอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้จัก บางทีก็ความดีก็ยังเป็นกิเลส กุศลก็เป็นกิเลสฝ่ายดีฝ่ายบุญ ถ้าจิตยังไม่หลุดพ้นก็ต้องยึดติดฝ่ายบุญเอาไว้สร้างคุณงามความดี ถึงจิตจะหลุดพ้นก็สร้างคุณงามความดีอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่ยึด ทำไปเพื่อให้เกิดประโยชน์
ท่านถึงบอกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องทำความเข้าใจให้หมด ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ตาก็มีหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูมีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ จมูกมีหน้าที่ดมกลิ่น เราก็ห้ามไม่ได้ เขาก็ทำงานแทนกันไม่ได้อีก แต่เขาก็อยู่ร่วมกัน มีวิญญาณมีใจดวงเดียวที่คอยรับรู้รับฟัง แต่มันไม่รับรู้รับฟังสิ มันกระโดดออกไปร่วมด้วย ไปเล่นงานด้วย เป็นตัวบงการด้วยกับขันธ์ห้ารวมกันสนุกสนานไปเลย
เราต้องเจริญสติเข้าไปยับยั้ง เข้าไปอด เข้าไปข่ม เข้าไปหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ จนกระทั่งทุกอิริยาบถ จนกระทั่งทุกลมหายใจเข้าออก เขาถึงเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ก็ต้องพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เราไปอย่างไร มาอย่างไร เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไรก็อยู่กับสมมติ บางคนบางท่านก็สร้างบุญมาดี มีแต่ความเสียสละ มีแต่พรมวิหารความเมตตา อันนี้เป็นตบะบารมีที่จะเกื้อหนุนให้เดินปัญญาได้เร็วได้ไว จิตก็จะไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย เพียงแค่มาควบคุม มาดับ มาละ มาวิเคราะห์ อะไรคือสติที่หาเหตุหาผลให้จิตยอมรับความจริง ความรู้ตัวเราต้องสร้างขึ้นมา ก็ต้องพากันทำ สมมติภายนอกเราก็ทำให้ดีเท่าที่โอกาสอำนวย เท่าที่โอกาสจะอนุเคราะห์ให้
เราจะทำสถานที่ให้เป็นป่าน่ารื่นรมย์น่าอาศัย ให้ทุกคนเข้ามาแล้วก็มีความสุข ญาติโยมเข้ามาแล้วก็สุขกายสุขใจ ใครเข้ามาแล้วก็อิ่มปีติ นี่แหละอานิสงส์แห่งบุญเพียงแค่ได้เดินก้าวเข้ามาในวัด จิตใจก็สบายขึ้น จิตใจก็เย็นขึ้น สถานที่ก็เอื้ออำนวย อยู่ใกล้อยู่ไกลคนละทิศละที่ละทางเข้ามา ทุกคนต้องการที่จะมาฝึกฝน เพื่อที่จะละกิเลส ไม่ใช่ว่าเข้ามาในวัดแล้วมาเพิ่มกิเลส ไม่ใช่นะ เข้ามาในวัดมาปฏิบัติ มาฝึกฝนตนเองแล้วก็อยู่ดีมีความสุข แล้วก็อคติกันเพ่งโทษกัน อย่างนั้นก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้จักพิจารณาตัวเอง ไปเพ่งโทษคนนั้น ไปเพ่งโทษคนนี้ อคติคนนั้น อคติคนนี้ เข้าห้ำหั่นแต่กัน ใช้การไม่ได้ อยู่ที่นี่คงไม่มีนะ ถ้ามีก็รีบกำจัดออกไป อย่าให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของทุกคน
มีอะไรให้ช่วยกัน อนุเคราะห์กัน ผิดถูกก็ค่อยแก้ไข ค่อยพิจารณาปรับปรุงตัวเอง หลวงปู่หลวงตาก็เป็นที่รักของลูกของหลานทุกๆคน ไม่ใช่เป็นหลวงปู่หลวงตาคอยบ่นให้คนนั้น คอยบ่นให้คนนี้ ต้องเป็นคนอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่บริวารมันถึงจะถูก คอยไปอคติ คอยไปเพ่งโทษ อันนั้นผิด อันนี้ถูก ก็ค่อยว่ากล่าว ค่อยพูดค่อยจา ไม่ใช่ว่าอยู่แล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ทั้งกูทั้งมึง ของกูของมึง นั่นก็ไม่ใช่ เป็นของทุกคน พระเณรเราก็ช่วยกัน มีอะไรก็ช่วยกันให้เกิดประโยชน์ ทำให้เกิดประโยชน์เท่าที่เราจะทำได้
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา เราพยายามสร้างความรู้ตัวแล้วก็รู้จักรู้ให้ต่อเนื่อง รู้กายแล้วก็รู้จิต แล้วก็รู้เท่าทันการเกิดของความคิด เราต้องรู้จักให้ชัดเจนว่าความรู้สึกตัวนี้ที่เราสร้างขึ้นมาพลั้งเผลอได้อย่างไร จิตก่อตัวได้อย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร ถ้าเราเข้าใจในเรื่อง 3 จุดนี้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องการดำเนิน ในเรื่องการพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เข้าใจในเรื่องการวิปัสสนา ถ้าเราแยกได้เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาในเรื่องอนัตตา เข้าใจในการเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ เราก็จะมองเห็นทาง ส่วนอื่นนั้นทุกคนก็พยายามพากันสร้างกันอยู่ ศรัทธานี้ก็มีกันเต็มเปี่ยม ความเสียสละก็มีกันเต็มเปี่ยม
ทีนี้เราพยายาม ถึงทำไม่ได้จริงๆ ทำไม่ได้ต่อเนื่องก็พยายามทำ ได้วันละเล็กละน้อยก็ยังดี จิตสงบวันละ 5 นาที 10 นาที หรือสร้างความรู้ตัว ระลึกนึกถึงเมื่อไหร่เราก็รีบดู สร้างความรู้ตัวสำรวจตรวจตราดู สักวันนึงก็จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไป จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นนั่นแหละ สร้างสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กะน ค่อยไปสร้างสานต่อกันเอานะ
ช่วงที่อายุกำลังเจริญวัยนี้ จะต่อสู้กับกิเลสของความอยากตัวนี้เยอะ ถ้าอายุมากขึ้นๆ ถ้าเราบั่นทอนความอยากตั้งแต่ตัวเล็กๆ เมื่อโตขึ้นความอยากก็จะเหือดแห้งไปได้เร็วได้ไว เอาด้วยสติ เอาด้วยปัญญามาหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา ไม่ให้เกิดทุกขเวทนา อันนี้เพียงแค่ความอยากของเรื่องอาหาร ต่อไปข้างหน้าก็ความอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ความอยาก อยากได้อยากมี ไม่อยากได้ไม่อยากมี
หาความเป็นกลาง เราต้องยืนอยู่จุดกลางๆ ทำอย่างไรจิตของเราถึงจะอยู่จุดกลางๆ ได้ เราก็ต้องคลายขันธ์ห้าเสียก่อน เจริญสติเข้าไปคลายขันธ์ห้า ดับความเกิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็สร้างตบะ สร้างบารมี สร้างกำลังสติ ความอดทน สัจจะ วิริยะความเพียร ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุ่มเท เป็นเครื่องประหัตประหารกิเลส ทุ่มเทเข้าไป รู้จักให้อภัยอโหสิกรรม มีความขยันชำระสะสางกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดลึกลงไปจนกว่าจะหมดจด
ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์จิต วิเคราะห์กายของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้เข้าวัด ได้ฟังธรรม เรารู้ไม่เท่าทันกลไกของกิเลส เราก็รู้จักดับเอาไว้ เราอย่ารู้แต่ชื่อของเขา เราต้องรู้จักลักษณะหน้าตาอาการเวลาเขาก่อตัว เวลาเขาเกิด ตื่นขึ้นมาจิตส่งออกไปข้างนอก นี่หรือที่เรียกว่า ‘สมุทัย‘ สาเหตุแห่งทุกข์ ส่งไปข้างนอกก็ยังไม่พอ ก็ยังไปรวมกับขันธ์ห้าอีก รวมกันนั่นแหละความหลง เขาเรียกว่า ‘หลง’ หลงความคิด หลงในอารมณ์ ภายนอกอาจจะว่าเราไม่หลง เราไม่หลงสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันนั้นมันเป็นภายนอก แต่ในส่วนลึกๆ แล้ว จิตของเราเข้าไปหลงความคิด หลงขันธ์ห้า เรื่องอดีตบ้าง เรื่องอนาคตบ้าง สารพัดเรื่องที่เขาจะมาปรุงมาแต่ง เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ถ้ากำลังสติของเราไม่ตามค้นคว้า ไม่หาเหตุหาผลจนจิตยอมรับความจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะถอย เขาถึงจะปล่อยจะวาง ถึงเขาแยกได้แล้วถ้ากำลังสติไม่ตามทำความเข้าใจอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าปฏิบัติ เขาพาปฏิบัติก็ปฏิบัติ เขาพานั่งก็นั่ง เขาพาเดินก็เดิน เขาพาทำบุญก็ทำ แต่ไม่รู้ความหมาย เราต้องรู้ความหมาย การทำบุญการให้ทานเพื่ออะไร เพื่อละกิเลส เพื่อนละความตระหนี่เหนียวแน่น เราต้องรู้ใจของเราด้วย ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์
ลักษณะของศีล ศีลเป็นลักษณะอย่างไร ความปกติของกาย ปกติวาจาก็ปกติ ลึกลงไปก็จิต ไม่มีเจตนา จิตที่ไม่เกิด จิตปกติ จิตสงบ อธิจิต อธิศีล ปัญญา ปัญญาประคับประคองกาย ประคับประคองอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในระดับของสังคม ปัญญาลึกลงไปอีก ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในการเกิดการดับของอารมณ์ ปัญญาละกิเลส ประหัตประหารกิเลส มันมีเป็นชั้นๆ เขาเยอะมากมาย แต่ก็อยู่ในวงแคบก็คืออยู่ที่กายกับใจของเรา
เราต้องกำจัดออกให้มันหมด ไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นทาสของเขาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์ เป็นทาสก็ยอมเป็นทาส เขามาอย่างไรก็ยอมเขาหมด กิเลสใช้การใช้งาน จิกหัวใช้งานอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้จัก บางทีก็ความดีก็ยังเป็นกิเลส กุศลก็เป็นกิเลสฝ่ายดีฝ่ายบุญ ถ้าจิตยังไม่หลุดพ้นก็ต้องยึดติดฝ่ายบุญเอาไว้สร้างคุณงามความดี ถึงจิตจะหลุดพ้นก็สร้างคุณงามความดีอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่ยึด ทำไปเพื่อให้เกิดประโยชน์
ท่านถึงบอกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องทำความเข้าใจให้หมด ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ตาก็มีหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูมีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ จมูกมีหน้าที่ดมกลิ่น เราก็ห้ามไม่ได้ เขาก็ทำงานแทนกันไม่ได้อีก แต่เขาก็อยู่ร่วมกัน มีวิญญาณมีใจดวงเดียวที่คอยรับรู้รับฟัง แต่มันไม่รับรู้รับฟังสิ มันกระโดดออกไปร่วมด้วย ไปเล่นงานด้วย เป็นตัวบงการด้วยกับขันธ์ห้ารวมกันสนุกสนานไปเลย
เราต้องเจริญสติเข้าไปยับยั้ง เข้าไปอด เข้าไปข่ม เข้าไปหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ จนกระทั่งทุกอิริยาบถ จนกระทั่งทุกลมหายใจเข้าออก เขาถึงเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ก็ต้องพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เราไปอย่างไร มาอย่างไร เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไรก็อยู่กับสมมติ บางคนบางท่านก็สร้างบุญมาดี มีแต่ความเสียสละ มีแต่พรมวิหารความเมตตา อันนี้เป็นตบะบารมีที่จะเกื้อหนุนให้เดินปัญญาได้เร็วได้ไว จิตก็จะไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย เพียงแค่มาควบคุม มาดับ มาละ มาวิเคราะห์ อะไรคือสติที่หาเหตุหาผลให้จิตยอมรับความจริง ความรู้ตัวเราต้องสร้างขึ้นมา ก็ต้องพากันทำ สมมติภายนอกเราก็ทำให้ดีเท่าที่โอกาสอำนวย เท่าที่โอกาสจะอนุเคราะห์ให้
เราจะทำสถานที่ให้เป็นป่าน่ารื่นรมย์น่าอาศัย ให้ทุกคนเข้ามาแล้วก็มีความสุข ญาติโยมเข้ามาแล้วก็สุขกายสุขใจ ใครเข้ามาแล้วก็อิ่มปีติ นี่แหละอานิสงส์แห่งบุญเพียงแค่ได้เดินก้าวเข้ามาในวัด จิตใจก็สบายขึ้น จิตใจก็เย็นขึ้น สถานที่ก็เอื้ออำนวย อยู่ใกล้อยู่ไกลคนละทิศละที่ละทางเข้ามา ทุกคนต้องการที่จะมาฝึกฝน เพื่อที่จะละกิเลส ไม่ใช่ว่าเข้ามาในวัดแล้วมาเพิ่มกิเลส ไม่ใช่นะ เข้ามาในวัดมาปฏิบัติ มาฝึกฝนตนเองแล้วก็อยู่ดีมีความสุข แล้วก็อคติกันเพ่งโทษกัน อย่างนั้นก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้จักพิจารณาตัวเอง ไปเพ่งโทษคนนั้น ไปเพ่งโทษคนนี้ อคติคนนั้น อคติคนนี้ เข้าห้ำหั่นแต่กัน ใช้การไม่ได้ อยู่ที่นี่คงไม่มีนะ ถ้ามีก็รีบกำจัดออกไป อย่าให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของทุกคน
มีอะไรให้ช่วยกัน อนุเคราะห์กัน ผิดถูกก็ค่อยแก้ไข ค่อยพิจารณาปรับปรุงตัวเอง หลวงปู่หลวงตาก็เป็นที่รักของลูกของหลานทุกๆคน ไม่ใช่เป็นหลวงปู่หลวงตาคอยบ่นให้คนนั้น คอยบ่นให้คนนี้ ต้องเป็นคนอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่บริวารมันถึงจะถูก คอยไปอคติ คอยไปเพ่งโทษ อันนั้นผิด อันนี้ถูก ก็ค่อยว่ากล่าว ค่อยพูดค่อยจา ไม่ใช่ว่าอยู่แล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ทั้งกูทั้งมึง ของกูของมึง นั่นก็ไม่ใช่ เป็นของทุกคน พระเณรเราก็ช่วยกัน มีอะไรก็ช่วยกันให้เกิดประโยชน์ ทำให้เกิดประโยชน์เท่าที่เราจะทำได้
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา เราพยายามสร้างความรู้ตัวแล้วก็รู้จักรู้ให้ต่อเนื่อง รู้กายแล้วก็รู้จิต แล้วก็รู้เท่าทันการเกิดของความคิด เราต้องรู้จักให้ชัดเจนว่าความรู้สึกตัวนี้ที่เราสร้างขึ้นมาพลั้งเผลอได้อย่างไร จิตก่อตัวได้อย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร ถ้าเราเข้าใจในเรื่อง 3 จุดนี้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องการดำเนิน ในเรื่องการพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เข้าใจในเรื่องการวิปัสสนา ถ้าเราแยกได้เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาในเรื่องอนัตตา เข้าใจในการเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ เราก็จะมองเห็นทาง ส่วนอื่นนั้นทุกคนก็พยายามพากันสร้างกันอยู่ ศรัทธานี้ก็มีกันเต็มเปี่ยม ความเสียสละก็มีกันเต็มเปี่ยม
ทีนี้เราพยายาม ถึงทำไม่ได้จริงๆ ทำไม่ได้ต่อเนื่องก็พยายามทำ ได้วันละเล็กละน้อยก็ยังดี จิตสงบวันละ 5 นาที 10 นาที หรือสร้างความรู้ตัว ระลึกนึกถึงเมื่อไหร่เราก็รีบดู สร้างความรู้ตัวสำรวจตรวจตราดู สักวันนึงก็จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไป จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นนั่นแหละ สร้างสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กะน ค่อยไปสร้างสานต่อกันเอานะ