หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 23

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 23
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 23
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเราก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง พยายามหัดกะพิจารณา กะประมาณในการขบฉันของเรา ยิ่งพระบวชใหม่ ยิ่งกายก็หิว เพราะว่าตั้งแต่ก่อนยังไม่บวชก็เคยรับประทานมื้อ 2 มื้อ 3 มื้อ บางทีก็ 4 มื้อ 5 มื้อ เรามาอด เรามางด ลดลงเหลือ 2 มื้อ หรือมื้อหนึ่ง กายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กายก็เกิดความหิว เมื่อเกิดความหิวขึ้นมาแล้วจิตก็จะปรุงแต่งเกิดความอยาก เราต้องมาดับความอยาก มาควบคุมจิต ดับความอยาก ถ้าเราไม่ดับเราปล่อยให้เกิด กําลังของความอยากก็มากขึ้นๆ ก็เอาไม่อยู่ เราต้องดับความอยาก ดับความอยากให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเอาอาหารมาให้กายด้วยสติด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อยก็พิจารณาด้วยสติด้วยปัญญา ต้องการอาหารสิ่งไหนก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา เขาเรียก ‘ปฏิสังขาโย’ อันนี้ปฏิสังขาโยเฉพาะหน้า เฉพาะเวลาจะขบจะฉัน

ถ้าปฏิสังขาโยให้ละเอียดลงไปอีก อาหารส่วนนี้ไปอย่างไร มาอย่างไร กว่าจะได้มาขบมาฉัน กว่าจะได้สําเร็จรูป ลําบากยากเข็ญถึงขนาดไหนกว่าจะได้มาใส่ถ้วยใส่ชาม กว่าจะได้มารับประทาน กว่าจะได้มาเคี้ยว มากิน มากลืน ก็ต้องดูตั้งแต่ต้นสายปลายเหตุ กว่าจะได้มาปรุงมาเข้า มาตกมาแต่งให้เข้ากัน ความลําบากยากเข็ญกว่าจะได้มาแต่ละชิ้น แต่ละอัน เป็นความลําบาก แม้แต่ข้าวกว่าจะได้แต่ละชิ้น แต่ละช้อน แต่ละเมล็ด เอามากว่าจะได้มา ก็เกิดจากการปักดำของชาวไร่ชาวนา กว่าจะได้มาเก็บมาเกี่ยว มาสี มาหุง มาต้ม นี่แหละมันลำบาก ไม่ใช่ว่าปฏิสังขาโยเฉพาะอยู่ในชามเฉพาะหน้า กินให้อิ่มท้องแล้วก็นั่นไปเลย ไม่ใช่ เราต้องรู้จักคุณของสมมติ รู้จักคุณของผู้มีคุณ

เราประพฤติปฏิบัติไม่ให้จิตของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก ความทะเยอทะยานอยากของจิต ความต้องการของจิต ไม่ใช่ว่าอยากเฉพาะอาหารอย่างเดียว อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง หลายเรื่องที่เราจะต้องพิจารณา แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกเป็นอย่างไร เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมไหม จิตของเราปกติดีอยู่หรือเปล่า เราต้องดู ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ปฏิบัติธรรมสติก็ยังไม่รู้ การเจริญสติเป็นอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ เราสร้างความรู้สึกตัว รู้กาย รู้จิต ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ลืมตา ก็ต้องให้มีความรู้ตัวอยู่ตลอด รู้จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้

ความรู้ตัวเรายังไม่ต่อเนื่อง เราก็สร้างขึ้นมา สติปัญญาของโลกิยะนั้นก็มีอยู่ มีอยู่กันทุกคน มีกันเต็มเปี่ยม บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง แล้วแต่กิเลสมาร ขันธมารก็จะมาลากมาจูง บางทีก็เกิดจากตัวจิตโดยตรง เราต้องพิจารณาให้ละเอียด ไม่ต้องไปกังวล ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปให้หมด ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน นอกจากจะนอนหลับเท่านั้นแหละ ตื่นขึ้นมาเอาใหม่

วันนี้อากาศก็รู้สึกว่าเช้าๆ อากาศก็สดชื่นดี กลางวันอากาศก็ร้อน ทุกวันนี้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงมากเลยทีเดียว เปลี่ยนแปลงมาก ชั้นบรรยากาศรั่ว เพราะว่าถูกมนุษย์ทำลายโอโซนตามที่ได้อ่านได้ฟังข่าว ถูกมนุษย์ของเราทำลายชั้นบรรยากาศก็เลยรั่ว รั่วแล้วแสงรังสีของแสงดวงอาทิตย์ก็หลุดลอดเข้ามาเยอะ เข้ามามากมาย มาทำลายมนุษย์เรา โลกมนุษย์ก็เลยเริ่มเปลี่ยนแปลง ร้อนก็ร้อนจัด หนาวก็หนาวจัด พายุก็รุนแรง เกิดแผ่นดินไหว เพราะว่าเกิดจากน้ำมือมนุษย์ พากันทำลายชั้นบรรยากาศด้วย ทำลายพื้นพิภพด้วย ทำลายธรรมชาติ เอามาเผามาผลาญ มาทำลาย ธรรมชาติก็เลยย้อนกลับมาทำลาย เหล่ามนุษย์เกิดน้ำท่วมหนักแทบทั่วโลกเลย น้ำท่วมหนัก ไฟไหม้ แผ่นดินไหว น้ำแข็งละลาย น้ำทะเลหนุนสูง อันนี้ก็เป็นเพราะน้ำมือของมนุษย์ในภาพรวม

บางคนบางท่านก็ทำรักษาอยู่ แต่เป็นการรักษาส่วนน้อย ก็เลยส่วนใหญ่ก็มีแต่ทำลาย​ ทำลายธรรมชาติยังไม่พอ มาทำลายคนรอบข้างอีก ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คนเราขาดการพิจารณา ถ้าคนเราทุกคนมีโอกาสมารักษาธรรมชาติ ช่วยกัน เพียงแค่ปลูกต้นไม้ช่วยกันในที่แต่ละที่ ​ไม่ทำลาย โลกก็จะมีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น แต่ส่วนมากก็มีแต่ทำลาย เพราะว่าประชากรก็มากขึ้น ก็มีแต่ทำลายขึ้นไปเรื่อยๆ แผ่นดินก็เท่าเดิม ถ้าอยากจะให้โลกกลับมาเย็น ก็ต้องรู้จักรักษา รู้จักสร้างสมดุลของธรรมชาติให้เข้ากลับคืนสู่สภาพเดิม เหมือนกับปณิธานของในหลวงของเรา คือให้รู้จักกลับคืนสู่สภาพเดิม กลับคืนสู่ภาคเกษตร ปลูกต้นไม้ หาเลี้ยงตัวเองด้วยธรรมชาติ ไม่ทำลายธรรมชาติ

เห็นตัวอย่างชัดเจน เวลาเราอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในป่า เวลาแดดร้อนๆ เราอยู่ภายนอกอากาศก็ร้อน เวลาเราก้าวเข้ามาในป่า เพียงแค่ก้าวผ่านประตูเท่านั้นแหละ อากาศก็เปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็น เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่จุดน้อยๆ เท่านั้นแหละ ถ้าคนเราช่วยกันปลูกป่ากันเยอะๆ ไปที่ไหนก็จะมีแต่ความร่มรื่นร่มเย็นไปทั่ว บรรยากาศก็กลับคืนสู่สภาพเดิม พวกเรามีโอกาสก็พากันปลูกป่านะ มีที่มีทางก็พากันปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้นก็ยังดี ต้นมะม่วง ต้นขนุน หรือต้นอะไรที่เป็นพืชทานได้ก็ปลูกกัน ต่อไปข้างหน้าในวัดเราหลวงพ่อก็จะพาปลูก ปลูกจนไม่มีที่ปลูกนั่นแหละ ปลูกจนไม่มีที่ปลูก

มีโอกาสบางทีก็ไปที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ไปซื้อที่เอาไว้ ที่เขาใหญ่หลวงพ่อก็ได้ซื้อเอาไว้ตั้ง 4 ไร่ ชายตีนเขา แล้วก็ได้ถวายมอบเอาไว้ให้กับวัดทางเขาใหญ่ ให้ปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่นร่มเย็น ทางศรีบุญเรือง ทางศรีชมภู ก็ได้ซื้อเอาไว้ตั้ง 11-12 ไร่ ให้ปลูกต้นไม้ถวายวัด มีโอกาสก็ได้พากันปลูก อยู่ในวัดเรานี่จนไม่มีที่ปลูก มีที่ใหม่จะได้ปลูกที่ใหม่ กําลังทำการเกษตร สวนเกษตร ปลูกผัก ปลูกพืช ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น ภายใน 2-3 เดือนจะร่มเย็นไปหมด เพราะว่าหลวงพ่อตอนต้นใส่กิ่งใหญ่เลย ไปปลูก

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา นั่งตามสบายนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ลองฟังไปด้วย แล้วก็น้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่าน ดับความคิดต่างๆ หยุดเอาไว้ ไม่ต้องพนมมือก็ได้ นั่งตามสบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบายที่ทำให้จิตของเราสงบ ทำให้จิตของเราตั้งมั่น กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ สัมผัสความรู้สึกรับรู้ที่กระทบปลายจมูกของเรา

นั่นแหละ ความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้เกิดความเคยชิน เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอานะ นึกเอาไม่ได้ คิดเอาไม่ได้หรอกของพวกนี้ เราต้องพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างได้ต่อเนื่อง จิตจะก่อตัว จิตจะเกิดส่งไปข้างนอก​ เราก็จะรู้เท่าทัน เราก็รู้จักควบคุม ใหม่ๆ ก็อาจจะฉุดกันไปฉุดกันมา เพราะว่าจิตชอบเที่ยว จิตชอบคิด

บางทีก็ขันธ์ห้า หรือว่าอาการของความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาผุดขึ้นมา ก่อตัวขึ้นมา จิตของเราก็จะกระโดดเข้าไปร่วมทันที นี่แหละเขาเรียกว่า ‘จิตเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า’ เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ หลงในความคิด หลงในอารมณ์ ถ้าเราสังเกตไม่ทัน ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะยากที่จะเข้าใจจุดนี้ ถ้าเราเจริญสติได้ต่อเนื่องจนรู้เท่าทันการเกิดของขันธ์ห้า การเกิดของจิต เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน จิตเขาก็จะคลายออกโดยอัตโนมัติ ถ้าเราเห็นตั้งแต่เขาก่อตัว เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เหมือนกับเราคอยสังเกตดูขโมยจะเข้าบ้าน ถ้าขโมยรู้ว่าเจ้าของบ้านเขารู้เท่าทัน เขาจะรีบเผ่นทันทีเลย

ลักษณะของจิตก็เหมือนกัน เขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ถ้าสติของเราสังเกตทันปุ๊บ ก็จะดีดตัวออกจากความคิดนั้น เขาก็จะหงาย เวลาเขาหงายขึ้นไปปุ๊บเนี่ย ความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง ความเย็น ก็จะปรากฏชัดเจน กายก็จะเบา จิตก็จะโล่ง เกิดปีติ เกิดสุข ความรู้ตัว หรือว่าสติก็จะตามเห็นการเกิดของความคิด เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป บางทีก็เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นเรื่องเป็นราว บางทีก็เป็นอดีต บางทีก็เป็นอนาคต เราตามดูให้ได้ทุกเรื่อง ตามดูเราก็จะเห็น เข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของตัวเอง ตรงนี้แหละสำคัญ เราต้องมาคลายความหลงตรงนี้ให้ได้ บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ บางทีจิตของเราก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นมากมาย แต่ก็ยังหลงความคิดตรงนี้อยู่ เราต้องพยายาม มาหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดจําแนกแจกแจง

จิตบางคนบางท่านก็สงบมีความสุขดีอยู่ แต่ส่วนลึกๆ เขาก็ยังหลงอยู่ เพราะว่าเขายังไม่ได้หงายขึ้นมา ที่พระพุทธองค์บอกว่าเหมือนกับของที่คว่ำอยู่ ถ้าหงายขึ้นมาเมื่อไร เขาเรียกว่า ‘หงายของที่คว่ำ’ ตามทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเรา เราก็ละกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากจิต อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากไปอยากมา อยากมี ไม่อยากไปไม่อยากมา ไม่อยากมี แม้แต่การเกิดของจิตเราก็ต้องดับ ต้องละ ตามดูขันธ์ห้า หนุนกําลังสติไปเกิดแทนเป็นปัญญา

ส่วนมากคนทั่วไปปัญญาเกิดจากจิตเกิด จากขันธ์ห้า เอาไปวิเคราะห์ เอาไปพิจารณา มันเก่ง เก่งนักจริงๆ นะปัญญาตัวนี้ มันเก่งแล้วก็ปิดบังตัวเองเอาไว้เลยแหละ ทั้งที่หลง ทั้งที่รู้ ก็หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นแหละ เราต้องพยายามมาจําแนกแจกแจงจิตออกจากขันธ์ห้า ออกจากนามด้วยกัน ส่วนร่างกายนี่ก็เป็นรูป ทุกคนก็มีบุญนะถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ถ้าไม่ฝักใฝ่ ไม่ได้มาเข้าถึงวัดถึงขนาดนี้หรอก ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ผิดถูกชั่วดีก็เข้าใจ

ทีนี้เรารู้จักต้นสายปลายเหตุ การประพฤติปฏิบัติ การเจริญสติ ลักษณะของสติที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร การควบคุมจิต เราควบคุมจิตของเราได้ระดับไหน ระดับต้นเหตุ กลางเหตุ หรือว่าออกมาแสดงออกมาทางกาย ทางวาจา เราก็ต้องพยายามสํารวจให้เรียบร้อย แล้วก็ทำความเข้าใจให้เรียบร้อย ต่อไปข้างหน้า สติ สมาธิ ปัญญา เขาก็จะรักษาเรา ใหม่ๆ เราเริ่มต้นให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วยเสียก่อน อย่าไปกังวลอะไร ว่าเราจะไม่รู้หรอก ว่าเราจะไม่เห็น ว่าเราจะไม่เข้าใจ มีโอกาสก็ขอเชิญมา มาสร้าง มาเจริญสติ มาสํารวจ มาทำความเข้าใจกันให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ก็เป็นการสร้างตบะสร้างบารมีให้กับตัวเราอยู่ตลอดเวลา พยายามกันนะ

ตั้งสติรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าขณะนี้ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสงบระงับลงไป ไม่ต้องไปวิเคราะห์อะไรขณะที่เราเจริญสติที่ต่อเนื่องกันอยู่นี้นะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อนไปสร้างไปสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง