หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 11

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 11
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 11
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเรา ก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเอง ต้องวิเคราะห์ต้องพิจารณาตัวเรา กะประมาณตัวเราตลอดเวลา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อากาศก็หนาวเย็นหนาวได้ 2 3 วันเย็นได้ 2 - 3 วัน อากาศเย็นๆ เขามีรายการๆ ให้อะไร เขาเรียกว่าให้ชีลอยน้ำ ฝึกชีลอยน้ำ ให้คนไปชม ที่ไหนนะ ที่วัดอะไรหนาวๆ เขาก็ให้ชีไปลอยน้ำ ให้คนไปนั่งชม อยู่ในเขตกรุงเทพฯ วัดเราน่าจะเอาทําตามนะ ฝึกชีมีสระใหญ่ๆ ไปลอยไว้กลางสระ ฝึกวิชาตัวเบาลอยน้ำ ฝึกโยคะ

ไม่รู้ว่าช่วงดึกๆ ตี4 ตี 5 ไม่รู้ว่าพระองค์ไหนแอบไปลงเล่นน้ำอยู่ในบ่อ เห็นเสียงดังตุ้มต้ำตื้มต้ำ หรือปลาก็ไม่รู้ พระก็ไม่ลง เดินเล่นลงไปเดินไปลงไปตอนดึกๆ เสียงดังอยู่ในน้ำ อย่าไปแอบลงเล่นน้ำนะน้ำลึก ปลาใหญ่ก็เยอะ ปลาดุกปลาช่อน ตะพาบน้ำตัวเบ้อเริ่มตัวเท่ากระด้งใหญ่ เวลาคนไม่อยู่เขาจะขึ้นมาตากแดดอยู่บนขอบบ่อ เวลาคนเดินผ่านไปคนไม่รู้ เขาก็จะรีบวิ่งกระโดดลงน้ำเสียงดังนึกว่าผีหลอก พากันวิ่ง เป็นตะพาบน้ำตัวใหญ่ๆ

วัดเราก็มีพระมาอยู่เยอะ ก็จะยังมีเพิ่มอีกเรื่อยๆ ยังจะบวชเพิ่มอีก อยู่ที่พักที่อาศัยก็หน้าแล้งก็ไม่เป็นไร ก็ที่จะได้อาศัยกันอยู่ตามร่มไม้ อยู่สองอยู่สาม อานิสงค์บุญแหล่งบุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดา พระสงฆ์องคเจ้าก็ย่อมจะหลั่งไหลมาก็เป็นธรรมดา อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด บางที่ก็ไม่มี แทบไม่มีพระก็มี

หลวงพ่อก็เป็นไข้หวัดมาหลายวันแล้วแหละ มา 2 3 วัน ก็เพิ่งจะคลายหน่อย เอาผ้าห่มกับเสื้อกันหนาว พระรูปใดที่ยังไม่มีก็เอาไว้ใช้นะ ผ้าห่มกับเสื้อกันหนาวอากาศเย็นๆ เอาไว้ใช้องค์ไหนมีแล้วก็ผ่านไป องค์ไหนที่ยังไม่มีก็เอาเก็บไว้ใช้ ญาติโยมท่านใดที่ยังไม่มีปฏิทินใช้ ก็ไปเอาไปเอา ปฏิทินอยู่ตรงกลางกันนะ ปฏิทินสามเคตัวเบ้อเริ่มใหญ่ เอาไปไว้ติดไว้ดูปฏิทินใหญ่ ตรวจเลขก็ใหญ่ เอาไปติดไว้บ้านไว้ดูวันดูเวลา

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องสักพัก ตามความเป็นจริงแล้วก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัว แล้วก็ทําความเข้าใจให้ได้ทุกเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อันนี้เป็นการย้ํา เป็นการเตือน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย

ทุกคนก็มีศรัทธาน้อมกายเข้ามาในการทําบุญ ในการให้ทานเป็นพื้นฐานกัน มีศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ฝักใฝ่ในบุญ แต่การเจริญสติไม่ค่อยจะทำกันเท่าไหร่ อาจจะทําอยู่เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว แล้วก็ไม่ทําความเข้าใจให้ต่อเนื่อง การสร้างความรู้สึกตัวรับรู้กับการหายใจเข้าออกของเรา ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พยายามทําบ่อยๆ ฝึกฝนบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้าหายใจออก หายใจอย่างไรเราถึงจะมีความรู้สึกรับรู้ หายใจออกอย่างไรเราถึงจะมีความรู้สึกรับรู้ อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัวลงที่กายของเราส่วนหนึ่ง ลมหายใจก็เป็นส่วนรูปกายของเรา ต้องพยายามฝึกฝนตนเอง แก้ไขตัวเอง พิจารณาตัวเราเองตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาเราก็วิเคราะห์เรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร ทําอย่างไรจิตของเราถึงจะคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ทําความเข้าใจกับอัตตา ทําความเข้าใจกับอนัตตา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ อะไรคือทุกข์ การดับทุกข์ การละทุกข์ การชำระสะสางกิเลสจากหยาบจากละเอียดเป็นอย่างไร

เราต้องมาศึกษาตัวเราเอง เราไม่เข้าใจแนวทางถึงได้แสวงหาแนวทาง สติปัญญาของเราทุกคนมีกันพร้อม แต่การลงมือที่จะเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผล ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุมีผลหมด ทางด้านจิต ทางด้านความคิด ทางด้านนามธรรมเขาก็มีเหตุมีผล มีการเกิดมีการดับตามปกติจิตของคน ในส่วนคนทั่วไปนั้นเกิดด้วย หลงด้วย แล้วก็ยึดด้วย บางทีก็หลงอยู่ในกองกุศล บางทีก็หลงอยู่ในกองอกุศล บางทีก็เป็นกลางๆ

ทําอย่างไรเราถึงจะรู้ต้นเหตุ เขาเริ่มเกิดอย่างไร อาการของขันธ์ห้าเขาก่อตัวอย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์เอานะ กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาทําหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูทําหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงผ่านเข้าไปถึงวิญญาณ หรือว่าดวงจิตของเรา

วิญญาณซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้า ตัวรับรู้ แต่เขาไม่รับรู้เฉยๆ เขาเข้าไปร่วม ไปยินดียินร้าย เขาไม่ได้ตั้งมั่นรับรู้อยู่ภายใน เพราะว่าเขายังหลงอยู่ เราอาจจะว่าเราไม่หลง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปสังเกตจนกว่าจิตคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะมาเปิดทางให้ ถ้าเรารู้แจ้งเห็นจริง ขาดการตามทําความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก

เราต้องตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง รอบรู้ในกองสังขารของตัวเอง รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในวิมุตติ แล้วก็รู้จักชำระสะสางกิเลส ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ไม่ละอายในสิ่งที่ควรไม่ละอาย ขยันหมั่นเพียรลงไป ทําลงไปตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนั่นแหละ ตายเป็นตาย ไม่ตายหรอกไม่ถึงเวลาไม่ตายหรอก เพราะว่าถ้าถึงวาระเวลาเขาก็จะเป็นของเขาเอง เพราะว่าเป็นกฏของไตรลักษณ์ ทุกคนเกิดมาก็ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็ย่อมจะแตกดับ ถ้ายังไม่ถึงวาระเวลาเขาก็ไม่แตกไม่ดับ เพราะว่ากฏไตรลักษณ์เป็นอยู่อย่างนั้น ความเป็นจริงก็เป็นอยู่อย่างนั้น ทางด้านรูปกาย ทางด้านรูปธรรม ทางด้านนามธรรมเขาก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอด

บางทีก็ขณะนั่งฟังอันนี้ เขาไปแล้วสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ บางทีก็ส่งไปเรื่องอดีตบ้าง เรื่องอนาคตบ้าง สารพัดเรื่อง เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างตบะ สร้างบารมี ความขยันหมั่นเพียร ความอดทนอดกลั้น ความเพ่งพินิจพิจารณาด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเราไม่ทําไม่มีใครเขาทําให้เราหรอก นอกจากตัวของเราเอง

อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา อยู่หลายคนเราก็วิเคราะห์เรา วิเคราะห์กายเรา วิเคราะห์จิตเรา ขณะนี้จิตของเรามีกิเลสหรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่านหรือไม่ จิตของเราสงบหรือไม่ มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง มีขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่งหรือไม่ จิตเราพลั้งเผลอมีนิวรณ์เข้าครอบงำหรือไม่ เราก็ต้องพยายามเอา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกคนก็ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาก่อนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติอยู่ในตัวเอง แต่อยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง เราก็ต้องเพียรเอานะ

ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทําจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โล่ง กายให้สบาย ทําใจให้สบาย มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้เด่นชัดกันให้ต่อเนื่องกันสักระยะนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างไปสานต่อ ทําความเข้าใจกันเอานะ นี่เป็นแค่เล่าให้ฟัง ให้ทุกคนได้รู้ตัวเองให้มากขึ้น

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง