หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 33
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 33
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำความสงบ สร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ พยายามฟังไปด้วยไม่ต้องไปคร่ำเคร่ง ไม่ต้องไปเพ่ง ไปจดจ่อ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 - 3 เที่ยว อันนี้เป็นอุบาย เป็นอุบายทำจิตของเราให้สงบอยู่กับการหายใจเข้าออก แล้วก็เพื่อที่จะกระตุ้นความรู้สึกให้เด่นชัด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี้ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละคือสติ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราต้องพยายามรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้ รู้กาย รู้ลมหายใจ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย รู้กายแล้วก็รู้ความปกติของจิต ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นใหม่ๆ นี่แหละเราอย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ทั้งๆ ที่จิตของเราก็เป็นบุญอยู่นั่นแหละ ทั้งที่จิตของเราบางทีก็สงบอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ส่วนมากปัญญาที่เกิดจากจิต เขาเกิดส่งออกไปภายนอกก่อน บางทีก็ขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของจิต เขาผุดขึ้นมา จิตของเราเข้าไปรวมไปด้วยกันเป็นตัวเดียวกัน แล้วก็ส่งออกไปภายนอก เราก็เลยรู้อยู่เพียงแค่นั้น ทั้งที่เขาก็หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
เราต้องมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอา ถ้าเราไปนึก ไปคิดเอานั้นไม่ใช่ ถึงจะคิดพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ จิตยังส่งไปภายนอกอยู่ แล้วก็การเจริญพรหมวิหาร การเจริญเมตตา สร้างตบะบารมี เรามีความเสียสละอย่างยิ่งยวดหรือไม่ เรามีความอดทนอดกลั้น เรารู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี รู้จักละกิเลส ละความโลภ ความโกรธ
ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตบ่อยๆ จิตของเราก็จะคลายความหลง หลง หลงความคิด หลงอารมณ์ เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ‘รอบรู้ในขันธ์ห้า’ ของเรา เราพยายามหมั่นวิเคราะห์สังเกตตัวเราอยู่บ่อยๆ อยู่คนเดียวเราก็พยายามสังเกตเรา สังเกตจิต สังเกตการเคลื่อนไหว การไปการมา การลุกการก้าวการเดิน การนั่งการนอน ลืมตาหลับตา
เวลาจะรับประทานอาหารขบฉัน เราก็ต้องวิเคราะห์ กายของเราหิว หรือว่าจิตของเราเกิดความอยากเข้าไปร่วม จิตของเราเข้าไปร่วมเขาเรียกว่า ‘ไปเสวย เสวยอารมณ์’ ไปยินดียินร้ายในรูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ แต่เขาก็ทำหน้าที่ของเขาทุกอย่าง ในกายของเรา ขันธ์ห้าเขาก็ทำหน้าที่ของเขา จิตของเราเข้าไปหลง เข้าไปยึดเป็นของเราจริงๆ
ในทางสมมติ ในทางหลักธรรม ถ้าเรามาจำแนกแจกแจง เราหมายถึงสตินะ หมายถึงการเจริญสติเข้าไปสังเกตจนกว่าจะแยกจิต แยกความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนามนาม’ ตามทำความเข้าใจได้ เราก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกัน ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองๆ เป็นขันธ์ๆ ดังที่พวกเราพากันทำวัตรเช้าวัตรเย็น ขันธ์ทั้งห้าเป็นของทุกข์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีสติคอยตรวจสอบ
จะว่ายากก็ยากอยู่ จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร ง่ายสำหรับบุคคลที่ขัดเกลาตัวเอง จิตของปุถุชนคนทั่วไปชอบจะสร้างสะสมกิเลสมาทับถมดวงจิตของตัวเอง แล้วก็ทะเยอทะยานอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากพูดอยากคิด สารพัดอยาก มันปิดกั้นเอาไว้ตั้งนาน ไม่ใช่ว่าจะมาปิดกั้นเอาไว้แค่ชั่วโมง 2 ชั่วโมง เรามาฝึกอย่างมากก็ได้แค่อดแค่ข่ม ก็เอาให้อยู่ก่อน เพียงแค่สร้างความรู้ตัว รู้จักเก็บ รู้จักอด รู้จักข่ม รู้จักคลาย ต่อไปคลายแล้วก็ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง มีไม่มากอยู่ในกายของเรา ถ้าจะเอาจริงๆ
ที่มันมีมากก็คือ การทำความเข้าใจกับสมมติ ละสมมติ ทำความเข้าใจกับความเป็นอยู่ของตัวเรา แล้วก็ส่วนรวม สังคม ศีลความปกติ หมู่คณะ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้หมด ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีฆราวาส ดำเนินเหมือนกันหมดถ้าเราเข้าใจ แต่การบวชเป็นพระอยู่ก็รู้สึกว่าจะไปได้เร็ว เพราะว่าถ้าเป็นร้อยก็ได้วางสมมติมาสักห้าสิบ ก็มาเหลือแต่เรื่องของการทำความเข้าใจกับจิต กับสมมติกายของเรา ถึงจะทำสมมติ ก็เป็นสมมติเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว
เราก็ต้องพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้ตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าเป็นคนเกียจคร้าน เราต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว จัดระบบระเบียบของจิตของเรา จัดระบบของสมมติให้น่าดู น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ เราทำให้มีให้เกิดขึ้น ความรู้ตัวไม่มี เราก็สร้างให้มีให้เกิด เราต้องทำความเข้าใจกับความหมายด้วยนะ ไม่ใช่ว่าฝึกสติยังไม่รู้จักสติ ฝึกจิตก็ยังไม่รู้จักจิต เราต้องเข้าถึงความหมาย เข้าถึงภาษา ภาษาธรรมภาษาโลก ลักษณะอาการของเขาต่างๆ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ทุกคนมีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็พยายาม บุญเก่าก็มี บุญใหม่เราก็พยายามสร้างเท่าที่กำลังของเรามี บางคนบางท่านก็สร้างมามาก บางคนบางท่านก็สร้างมาน้อย แต่ไม่เหลือวิสัย พยายามสร้างเอา ทำเอาให้มีให้เกิด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็รีบสำรวจเรา นั่นเราได้สร้างบุญแล้ว เราได้วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านเข้ามาวัด นั่นเราก็ได้ทำบุญ ถ้าเราวางไม่ได้ เราก็มาไม่ได้ มีโอกาสหลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณญาติโยมทุกคน แล้วก็ทั้งพระทั้งชี
การฝึกหัดปฏิบัติทำ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอก ทั้งภายใน มีความรับผิดชอบที่สูง ทำความเข้าใจกับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วเป็นคนเกียจคร้าน ต้องเป็นคนเร็วไว รับรู้เร็วไว แก้ไขทันสถานการณ์ทุกอย่างโดยที่จิตไม่เกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความทุกข์ ทั้งละกิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเราเอง ต้องวางอยู่ตลอดเวลา จิตต้องได้พักผ่อนทุกขณะ อยู่กลางโรงหนัง อยู่กลางตลาด จิตก็ต้องเป็นสมาธิ ปราศจากความหลง ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากความเกิด
ไม่ใช่ว่าฝึกหัดปฏิบัติธรรมแล้วทำอะไรไม่เป็น กายของเรายังอยู่กับสมมติอยู่ กายของเราก็ยัง ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำหน้าที่ของเขา เพียงแค่เราทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วรู้จักละ รู้จักคลาย รู้จักรับผิดชอบด้วยสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราต้องพยายามรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้ รู้กาย รู้ลมหายใจ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย รู้กายแล้วก็รู้ความปกติของจิต ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นใหม่ๆ นี่แหละเราอย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ทั้งๆ ที่จิตของเราก็เป็นบุญอยู่นั่นแหละ ทั้งที่จิตของเราบางทีก็สงบอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ส่วนมากปัญญาที่เกิดจากจิต เขาเกิดส่งออกไปภายนอกก่อน บางทีก็ขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของจิต เขาผุดขึ้นมา จิตของเราเข้าไปรวมไปด้วยกันเป็นตัวเดียวกัน แล้วก็ส่งออกไปภายนอก เราก็เลยรู้อยู่เพียงแค่นั้น ทั้งที่เขาก็หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
เราต้องมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอา ถ้าเราไปนึก ไปคิดเอานั้นไม่ใช่ ถึงจะคิดพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ จิตยังส่งไปภายนอกอยู่ แล้วก็การเจริญพรหมวิหาร การเจริญเมตตา สร้างตบะบารมี เรามีความเสียสละอย่างยิ่งยวดหรือไม่ เรามีความอดทนอดกลั้น เรารู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี รู้จักละกิเลส ละความโลภ ความโกรธ
ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตบ่อยๆ จิตของเราก็จะคลายความหลง หลง หลงความคิด หลงอารมณ์ เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ‘รอบรู้ในขันธ์ห้า’ ของเรา เราพยายามหมั่นวิเคราะห์สังเกตตัวเราอยู่บ่อยๆ อยู่คนเดียวเราก็พยายามสังเกตเรา สังเกตจิต สังเกตการเคลื่อนไหว การไปการมา การลุกการก้าวการเดิน การนั่งการนอน ลืมตาหลับตา
เวลาจะรับประทานอาหารขบฉัน เราก็ต้องวิเคราะห์ กายของเราหิว หรือว่าจิตของเราเกิดความอยากเข้าไปร่วม จิตของเราเข้าไปร่วมเขาเรียกว่า ‘ไปเสวย เสวยอารมณ์’ ไปยินดียินร้ายในรูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ แต่เขาก็ทำหน้าที่ของเขาทุกอย่าง ในกายของเรา ขันธ์ห้าเขาก็ทำหน้าที่ของเขา จิตของเราเข้าไปหลง เข้าไปยึดเป็นของเราจริงๆ
ในทางสมมติ ในทางหลักธรรม ถ้าเรามาจำแนกแจกแจง เราหมายถึงสตินะ หมายถึงการเจริญสติเข้าไปสังเกตจนกว่าจะแยกจิต แยกความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนามนาม’ ตามทำความเข้าใจได้ เราก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกัน ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองๆ เป็นขันธ์ๆ ดังที่พวกเราพากันทำวัตรเช้าวัตรเย็น ขันธ์ทั้งห้าเป็นของทุกข์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีสติคอยตรวจสอบ
จะว่ายากก็ยากอยู่ จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร ง่ายสำหรับบุคคลที่ขัดเกลาตัวเอง จิตของปุถุชนคนทั่วไปชอบจะสร้างสะสมกิเลสมาทับถมดวงจิตของตัวเอง แล้วก็ทะเยอทะยานอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากพูดอยากคิด สารพัดอยาก มันปิดกั้นเอาไว้ตั้งนาน ไม่ใช่ว่าจะมาปิดกั้นเอาไว้แค่ชั่วโมง 2 ชั่วโมง เรามาฝึกอย่างมากก็ได้แค่อดแค่ข่ม ก็เอาให้อยู่ก่อน เพียงแค่สร้างความรู้ตัว รู้จักเก็บ รู้จักอด รู้จักข่ม รู้จักคลาย ต่อไปคลายแล้วก็ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง มีไม่มากอยู่ในกายของเรา ถ้าจะเอาจริงๆ
ที่มันมีมากก็คือ การทำความเข้าใจกับสมมติ ละสมมติ ทำความเข้าใจกับความเป็นอยู่ของตัวเรา แล้วก็ส่วนรวม สังคม ศีลความปกติ หมู่คณะ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้หมด ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีฆราวาส ดำเนินเหมือนกันหมดถ้าเราเข้าใจ แต่การบวชเป็นพระอยู่ก็รู้สึกว่าจะไปได้เร็ว เพราะว่าถ้าเป็นร้อยก็ได้วางสมมติมาสักห้าสิบ ก็มาเหลือแต่เรื่องของการทำความเข้าใจกับจิต กับสมมติกายของเรา ถึงจะทำสมมติ ก็เป็นสมมติเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว
เราก็ต้องพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้ตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าเป็นคนเกียจคร้าน เราต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว จัดระบบระเบียบของจิตของเรา จัดระบบของสมมติให้น่าดู น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ เราทำให้มีให้เกิดขึ้น ความรู้ตัวไม่มี เราก็สร้างให้มีให้เกิด เราต้องทำความเข้าใจกับความหมายด้วยนะ ไม่ใช่ว่าฝึกสติยังไม่รู้จักสติ ฝึกจิตก็ยังไม่รู้จักจิต เราต้องเข้าถึงความหมาย เข้าถึงภาษา ภาษาธรรมภาษาโลก ลักษณะอาการของเขาต่างๆ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ทุกคนมีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็พยายาม บุญเก่าก็มี บุญใหม่เราก็พยายามสร้างเท่าที่กำลังของเรามี บางคนบางท่านก็สร้างมามาก บางคนบางท่านก็สร้างมาน้อย แต่ไม่เหลือวิสัย พยายามสร้างเอา ทำเอาให้มีให้เกิด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็รีบสำรวจเรา นั่นเราได้สร้างบุญแล้ว เราได้วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านเข้ามาวัด นั่นเราก็ได้ทำบุญ ถ้าเราวางไม่ได้ เราก็มาไม่ได้ มีโอกาสหลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณญาติโยมทุกคน แล้วก็ทั้งพระทั้งชี
การฝึกหัดปฏิบัติทำ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอก ทั้งภายใน มีความรับผิดชอบที่สูง ทำความเข้าใจกับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วเป็นคนเกียจคร้าน ต้องเป็นคนเร็วไว รับรู้เร็วไว แก้ไขทันสถานการณ์ทุกอย่างโดยที่จิตไม่เกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความทุกข์ ทั้งละกิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเราเอง ต้องวางอยู่ตลอดเวลา จิตต้องได้พักผ่อนทุกขณะ อยู่กลางโรงหนัง อยู่กลางตลาด จิตก็ต้องเป็นสมาธิ ปราศจากความหลง ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากความเกิด
ไม่ใช่ว่าฝึกหัดปฏิบัติธรรมแล้วทำอะไรไม่เป็น กายของเรายังอยู่กับสมมติอยู่ กายของเราก็ยัง ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำหน้าที่ของเขา เพียงแค่เราทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วรู้จักละ รู้จักคลาย รู้จักรับผิดชอบด้วยสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง