หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 126

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 126
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 126
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 126
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 ตุลาคม 2556

พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ดู รู้เรื่องใจของเราให้ทัน เอาเรื่องของเราให้จบ ค่อยล้นออกไปสู่หมู่ สู่คณะ สู่สังคม วันนี้อากาศก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นมาสักหน่อย อากาศหนาวคงลงมาแล้ว อีกสักหน่อยผู้เฒ่าผู้แก่ก็ได้แต่งตัวใส่เสื้อหนาวแข่งกัน อากาศเริ่มเย็นมาทุกปีไม่ค่อยหนาวเท่าไร ปีนี้หนาวมาเร็ว ทุกปีอากาศก็มีปีเดียว ปี 51 หรือ 52 ปีที่สร้างธรรมจักร สวนมะลิวัลย์ เดือนเมษาหนาว 2-3 วัน หนาวถึงจับขั้วหัวใจ ไม่แต่เคยเกิดปรากฏการณ์อย่างนั้น ปี 52 มั้ง 52 เพราะว่าอากาศเปลี่ยนแปลง อากาศของโลกเปลี่ยนแปลง คนเราทำลายสมมติ ทำลายโลกกัน อากาศก็เลยเปลี่ยนแปลงไปมาก ฤดูกาลก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะว่าคนทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติขาดความสมดุล ธรรมชาติก็มีอยู่ ธรรมชาติก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ

ธรรมชาติภายในคือใจของเรา เราไม่เข้าใจ เลยให้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งวิ่ง ทั้งหลงอยู่ตลอดเวลา ใจหรือว่าวิญญาณทุกดวงนั้นสะอาด ความไม่เข้าใจเขาถึงหาเหตุมาปกปิดตัวเอง แล้วก็ทะเยอทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าขาดการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจก็ยากที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้เลยทีเดียว มีโอกาสเราก็พยายามค่อยสร้างบารมีกันไป อย่างมาวัด มาทำบุญนี่ก็เป็นการสร้างบารมี การทำบุญให้ทาน มีความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น เราทำบุญไปเพื่ออะไร เราต้องให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ ทำบุญไปเพื่อละกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความเห็นแก่ตัว เป็นการอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำความเข้าใจให้ได้ทุกอย่าง

คำว่าปกติเป็นอย่างไร วิญญาณที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร วิญญาณที่สะอาดเป็นอย่างไร ต้องมีผู้รู้ คือสร้างหรือว่าเจริญสติเข้าไปรู้ใจของตัวเรา ส่วนมากมีแต่ใจวิ่งไปเลย รู้ก็ทั้งรู้ทั้งหลง ก็วิ่งไป มันหลงอยู่ในความรู้ เพราะว่าการเกิดของใจมีอยู่ แต่ละวันลูกหลานก็มากันเยอะ พี่น้องเราก็มากันเยอะ ความเป็นสิริมงคลอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมา อยากจะดับทุกข์ได้ ละทุกข์ได้ ก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา สอนเรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องหลักของอริยสัจซึ่งอยู่ในกายของเรา เราจะเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจให้ได้เต็มรอบหรือไม่เท่านั้นเอง

ท่านก็ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกหรือว่าพวกเราได้ปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามระดับของสมมติระดับของวิมุตติ แล้วแต่ภูมิปัญญาของแต่ละบุคคล แล้วแต่แรงบุญแรงศรัทธาของแต่ละบุคคลจะเข้าถึง บางคนก็เข้าถึงเร็ว บางคนก็เข้าถึงช้า บางคนก็เข้าไม่ถึง ที่ท่านบอกว่าดอกบัวสี่เหล่า ดอกบัวที่บานแล้วก็มี ที่โผล่พ่นน้ำกำลังจะบานก็มี ดอกบัวที่อยู่กลางน้ำก็มี ดอกบัวที่อยู่ในโคลนก็มี ส่วนที่อยู่ในโคลนนั้นก็อาจจะโดนเต่าโดนปลา กว่าจะหลุดรอดขึ้นมาได้ก็โดนเต่าโดนปลากัดแทะกิน บางทีก็ไม่โผล่น้ำ ก็เรียกว่า บัวใต้น้ำ

พวกเราก็มีโอกาสมีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กันแล้ว เราก็ทำความเข้าใจในชีวิตของเรา ลักษณะของสติที่การเจริญขึ้นมาทำความเข้าใจได้อย่างไร อะไรคือใจ เราต้องให้รู้ ให้เห็น ให้เข้าถึง มันถึงจะเข้าถึงคำสอนของท่าน รู้ลักษณะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ ก็ค่อยทำ ค่อยเป็น ค่อยไป จากวันเป็นเดือน เป็นปีเป็นหลายปี จนกว่าจะหมดลมหายใจ สอนอะไรเนี่ยมันก็สอนได้หมดนั่นแหละ แต่สอนใจของเรานี่มันสอนยากถ้าไม่มีความเพียรจริงๆ ก็ต้องพยายามเอานะ เอาพยายามเอา อย่าไปทิ้งบุญ พยายามสร้างบุญสร้างกุศลกัน ทำทุกอย่างนั่นแหละอะไรที่จะเป็นประโยชน์

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้หัดวิเคราะห์ใจของเราแล้วหรือยัง ตอนนี้เวลานี้ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันก่อนนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจกัน ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ปรารถนาอยากจะได้บุญ บุญก็คือความสุขของใจนั่นแหละ เราได้มาทำบุญแล้วเราก็รู้สึกว่าสบายใจ แต่เราขาดผู้รู้ตัวใหม่หรือว่า ‘สติ’ ความรู้ตัวใหม่ที่จะเข้าไปทำความเข้าใจ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เราอาจจะควบคุมใจของเราได้เป็นบางเรื่อง บางครั้งบางคราว เราอาจจะสอนใจของเราได้เป็นบางครั้ง แต่ส่วนมากตัวใจ ตัวขันธ์ห้า ความคิดเก่า ปัญญาสมมติ ปัญญาโลกีย์ ตรงนี้เราเคยชินตรงนี้มาแต่ก่อน เขาก็เลยไปก่อน เขาก็เลยเกิดก่อน

ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปหมั่นอบรมใจ สังเกตวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม แล้วก็ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณของเราเกิดอย่างไร ทำไมวิญญาณถึงเกิด ทำไมวิญญาณถึงหลง นี่แหละสติที่เราสร้างขึ้นมานี้จะไปดูไปรู้เท่าทัน แล้วตามดูทุกอย่างให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริง มองเห็นความเป็นจริง ถึงจะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในเรื่องของความว่าง เข้าใจในภาษาธรรมภาษาโลก

ทวารทั้งหกก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเขาทำหน้าที่ของเขาหมด แต่วิญญาณของเราเป็นตัวบงการ เป็นตัวเกิด เข้าไปหลงเข้าไปยึด เราต้องพยายามหัดสังเกตจนกว่าวิญญาณจะคลายออก ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นการเกิดการดับ รู้ลักษณะของใจ อยู่ในกายของเรานี่แหละ พยายามดูรู้ให้ชัดเจน ใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักละกิเลส จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญา บริหารทำหน้าที่แทนให้ได้ทุกเรื่อง ได้บ้างไม่ได้บ้าง เราก็พยายามทำนะ

อย่าไปทิ้ง อย่าไปทิ้งในการวิเคราะห์ใจของเรา ในการทำบุญ ในการให้ทาน เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยแรงกรรม เราจะให้มันบริสุทธิ์หมดจด ทุกคนก็ต้องอาศัยความเพียรของตัวเรานั่นแหละ อาศัยความเพียร ความถูกต้อง ได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าใครมีความเพียรมาก ความเพียรที่ต่อเนื่อง ความเพียรรู้เห็นสภาพความเป็นจริงทุกอย่าง ก็จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วเร็วไวขึ้น

ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราเองใหม่ ตำหนิตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ถ้าเราเข้าใจชีวิตของเราแล้ว เราก็จะทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด ทำความเข้าใจกับสมมติ อยู่กับสมมติ ไม่ให้สมมติเขาครอบงำ บริหารสมมติให้ดี ก็จะมีตั้งแต่ความสุขจากข้างในล้นออกไปสู่พี่สู่น้อง สู่เพื่อนแก่เจ็บตายด้วยกัน โดยที่ไม่ปล่อยเวลาทิ้งได้เลย

พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือนพวกท่านเท่านั้นเอง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง