หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 124

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 124
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 124
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 124
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 ตุลาคม 2556

มีความสุขกันทุกคน วันเกิด ทุกคนรู้วันเกิดแต่ไม่ค่อยจะรู้วันตาย รู้ตั้งแต่วันเกิด วันตายมันเลือกไม่ได้ ภายในอาทิตย์หนึ่งไม่รู้ว่าวันไหน วนเวียนอยู่ตรงนี้แหละจันทร์ถึงอาทิตย์ ขณะยังไม่ถึงเวลาก็พากันสร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์ให้เต็มเปี่ยม ไม่อยากจะวนเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องละกิเลส ดับความเกิดให้หมดจด

แนวทางมี พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย มาชี้แนะมาแจกแจงให้สัตว์โลกก็พวกเรานี่แหละได้ดำเนินตาม ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติตามทางเช่นนี้นะ ให้ถึงจุดนี้ ถึงจุดหมายแล้วค่อยเชื่อ แต่พวกเราพากันดำเนินอยู่ บางคนก็ถึงบ้าง บางคนก็ไม่ถึงบ้าง บางคนก็ได้ชิม ได้รับความสงบ ได้รับความสุข

การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองนี้เราว่ามันยากแสนยาก เพราะว่าใจมันหลงมาตั้งนาน หลงเกิดมาตั้งนาน ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์ เพราะว่าเขาเกิด เขาหลงมาเกิด วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ความหลงปิดกั้นตัวใจเอาไว้ กำลังใจส่งเสริม ความทะยานทะยานอยาก หลายสิ่งหลายอย่างมา พาเป็นวงล้อหมุนอยู่ตลอดเวลา เขาเรียกว่า กงกรรมกงเกวียน ถ้าเราอยากจะรู้ตรงนี้ เราก็ต้องเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์

การสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง รู้เท่าทันใจ ใจคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขาร หรือที่พูดทั่วกันว่า วิปัสสนา ความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่รู้แจ้งเห็นจริงก็เพียงแค่เริ่มต้น การทำความเข้าใจ การละกิเลสอีก กิเลสนี้มันละได้ยาก มันต้องค่อยละ ค่อยขัด ค่อยเกลา อยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาปุ๊บเรามีความรู้ตัว รู้กาย เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ของเราหรือไม่ เรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักแก้ไข พูดง่าย แต่การลงมือจริงๆ เนี่ยมันยากถ้าไม่เอาจริงๆ แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งบุญ มีโอกาสเราทำบุญให้ตัวเรา ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ เพียงเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ไม่ให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำเข้าเกาะกุมดวงใจของเรา มีโอกาสเราก็ได้สร้างบุญสร้างกุศลกันมา ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย พาทำบุญมา

แต่การเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจ ใจเราเกิดอย่างไร ทำไมใจของเราเป็นทาสกิเลส ทำไมใจของเราส่งออกไปภายนอก กิเลสหน้าตาอาการเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร เราขาดการวิเคราะห์ที่ต่อเนื่อง เราอาจจะละได้เป็นบางช่วง บางขั้น บางตอนแต่มันก็ยังหลงอยู่ในภาพรวมอยู่ ตราบใดที่กำลังสติไม่ต่อเนื่องก็ว่าตัวเราไม่หลง ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่องก็จะบอกว่า แต่ก่อนเรานี้มีแต่สติปัญญาทางโลกีย์ทางโลกเท่านั้นเอง

สติปัญญาในทางธรรมต้องสร้าง ต้องรักษา ต้องเอาไปใช้ ไปหมั่นพร่ำสอนใจ ให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริงภายในกายของเราให้ได้เสียก่อน จนล้นออกไปสู่โลกธรรม มันถึงก็ถึงจุดหมายปลายทางได้

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ถึงเราสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ก็ขอให้ทำความเข้าใจขณะที่กำลังนั่งอยู่นี่แหละ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดภาระหน้าที่การงานต่างๆ พวกเราก็หยุดมาแล้ว ทีนี้เรามาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจของเรา แล้วก็มาสร้างความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สักแต่ว่าฟัง แต่มีความรู้สึกน้อมสำเหนียกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ

ลองสูดลมหายใจเข้าไปอย่างลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเขาเรียกว่า ‘รู้กาย มีความรู้ตัว’ รู้กาย เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน

ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง ลึกลงไปแล้วก็จะเห็นลักษณะของใจ เวลาใจเกิดอาการ เวลาใจจะเริ่มปรุง เริ่มแต่ง ความคิดอารมณ์ต่างๆ เวลาความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ หรือว่าอาการของขันธ์ห้าของเรานั่นแหละกับตัววิญญาณเขาร่วมกันได้อย่างไร ตัวนี้แหละตัวโมหะอย่างลุ่มหลงเลยทีเดียว หลงตรงนี้ก็ มันก็คิดไปๆๆ เราก็ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ มันหลงอยู่ตรงนั้นอยู่ หลงรวมกันจะเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นสิ่งเดียวกัน เราก็เลยไปเหมาเอาว่าเราคิด เราทำ ทำตามความคิด

ตัวใจกับขันธ์ห้ารวมกันไปอยู่ เหมือนกับเชือกมีหลายเกลียวรวมกันอยู่ แต่เป็นมองเห็นภายนอกเป็นเส้นเดียว ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัว ตัวที่หลวงพ่อชี้แนะอยู่นี่แหละทำให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ให้เกิดความเคยชิน จนรู้เท่าทันใจ จนรู้เท่าทันความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ แล้วใจก็จะคลายออกจากความคิด ออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหละที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง จะปรากฏขึ้นตรงนี้

เพียงแค่แยกได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจว่าเรื่องอะไรในขันธ์ห้าของเรา เป็นกุศลหรือว่าอกุศลอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้ากำลังสติของเราตามดูรู้เรื่องทุกอย่าง เราจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เพียงแค่ให้เข้าใจต้นเหตุให้ได้เสียก่อน แล้วก็ตามทำความเข้าใจถึงปลายเหตุ กลางเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่าง จนใจมองเห็นความเป็นจริงแล้ว เราก็ยังมาดับความเกิดของใจอีก ถ้าใจเกิดกิเลส เราก็มาละกิเลสที่ใจอีก

กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ พวกมลทินต่างๆ ที่เกิดจากจิตจากใจของเรามันสะสมมานาน เราก็ต้องพยายามมาละ มาดับ มาขัดมาเกลา จนใจของเรามาดับความเกิดของใจอีก จนใจไม่เกิดนั่นแหละ จนใจอิสระจากการเกิด จากกิเลส จากการแยก การคลาย ตามทำความเข้าใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปทำความเข้าใจในขันธ์ห้าของตัวเรา ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ทำความเข้าใจกับภาษาโลก ทำความเข้าใจกับโลกธรรม นี่แหละ

แล้วเราจะบริหารกายของเราอย่างไร บริหารใจของเราอย่างไรถึงจะเป็นบุญ เป็นประโยชน์ เป็นกุศล เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์พิจารณาดู เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุมีผล ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมีเหตุมีผลหมด ท่านบอกว่าให้ดำเนินอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จนปรากฏเห็นสิ่งๆ นี้ท่านถึงบอกให้เชื่อ จนกว่าเราจะละกิเลสหมด คลายกิเลสหมดออกจากจิตจากใจของเรา ดับความเกิดได้ ดับความเกิดได้ยังไม่พอ ยังให้วางอีก เขาไม่เกิดก็ยังวางใจอีก เขาเรียกว่า วางธรรม จนเป็นอิสรภาพ ยังเหลือตั้งแต่สมมติกับวิมุตติ รอให้กายแตกดับเท่านั้นแหละ กายแตกดับแล้วก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน อันนี้หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำไปดำเนิน ก็ยาก

เราต้องรู้จักบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยววิ่งให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน อย่างนั้นจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรารีบสำรวจกายสำรวจใจของเรา เราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็รีบแก้ไขทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ความคิดอารมณ์ต่างๆ อะไรควรดำเนิน อะไรควรละ มันมีหมดทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่า ความเพียรของเราจะเข้มข้นต่อเนื่องให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่เท่านั้นเอง

เพียงแค่การเจริญสติมันก็นั้นยากอยู่ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาปกปิดตัวเขาไว้เหมือนกัน แม้แต่ตัวใจก็ยังปกปิดตัวเองเอาไว้ เพราะว่าเขาชอบคิดชอบเที่ยว นอกจากกำลังสติจะชี้เหตุชี้ผล จนเขาจนปัญญาทุกอย่างนั่นแหละ เขาถึงจะยอมรับ ละความเกิด ละกิเลสให้มันหมดนั่นแหละ จนเหลือตั้งแต่ปัญญาล้วนๆ ไปบริหารชีวิตของเรา ถึงจะมีความสงบ ความสุข

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขนาดนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง