หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 112

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 112
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 112
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 112
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 กันยายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ท่านได้สำรวจกายของเราแล้วหรือยัง สำรวจใจของตัวเราเองแล้วหรือยัง เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องก็ยังขาดความเพียรตรงนี้มากทีเดียว ทั้งที่ใจก็ปรารถนาที่อยากจะได้บุญ ปรารถนาที่อยากจะรู้ธรรม ความปรารถนา ความอยากนั่นแหละปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด

ในหลักธรรมท่านให้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง มีศรัทธาแล้วก็น้อมกายเข้ามา เจริญสติลงที่กายของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นให้ต่อเนื่องจนรู้เท่าทัน ใจที่เกิด ใจที่ปกติ รู้เท่าทันความคิด จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามได้นั่นแหละ เราถึงจะเข้าใจคำว่า อัตตาอนัตตา เข้าใจคำว่า สมมติวิมุตติ มองเห็นความเป็นจริงในชีวิตของตัวเราเอง

คนเราเกิดมา เกิดมา ทำไมถึงเกิด เกิดมาแล้วทำไมถึงหลง เกิดมาแล้วทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส สภาวะเดิม จิตดั้งเดิมแท้ของมนุษย์ทุกรูปทุกนามนั้น เขาสะอาด เขาบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ทำให้เขาเกิดมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์ อย่าพึ่งไปคำนึงถึงตรงนั้น เรามาทำหน้าที่ของเราอยู่ปัจจุบัน สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะของคำว่า ปัจจุบันธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก

เรารู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้ว พยายามพากันไปสร้าง แล้วรู้จักเอาไปวิเคราะห์ใจของเรา วิเคราะห์ต้นเหตุตั้งแต่การเกิดของใจ ไม่ทันก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักกด รู้จักข่ม ซึ่งเรียกว่า สมถภาวนา ฝึกให้เกิดความเคยชิน หมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจ หมั่นวิเคราะห์ ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ เราจงเจริญสติ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน จงเจริญสติไปมันพร่ำสอนใจของเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ความเป็นจริงมีอยู่

แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละได้เดินตาม ท่านค้นพบเรื่องความทุกข์ เรื่องการดับทุกข์ เรื่องอัตตาอนัตตา เรื่องอนิจจังทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเรา เราจงพยายามวิเคราะห์ดู ทำไมท่านได้ว่าเป็นขันธ์ห้า ขันธ์ห้าทำไมถึงเป็นกองเป็นขันธ์ วิญญาณเข้ามาครอบครองเข้ามาสร้างขึ้นมาได้อย่างไร เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะมองเห็นความเป็นจริง

แต่เวลานี้กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่มีน้อย จะเอาไปใช้การใช้งานได้อย่างไร ปัญญาโลกียะ ปัญญาสมมติที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากตัววิญญาณนั้นเขาปกปิดเอาไว้หมด เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเข้าไปอบรมใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือกองรูป อันนี้คือกองนาม อันนี้คือตัวกองวิญญาณ กองความคิด กองอารมณ์ มีหมดทุกอย่างอยู่ในกายของเรา

ใจของเราจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักระงับ รู้จักให้ รู้จักเอาออก ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ใจของเราเกิดความโลภ เราพยายามละความโลภด้วยการเอาออก ด้วยการให้ ด้วยการคลาย เอาออกจนไม่เหลือที่ใจ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์นั่นแหละ จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน กายของเราทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ เราต้องพยายามรู้ใจของเรา รู้ฐานของใจของเรา

ปฏิบัติธรรมไม่รู้ธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร ความหมายของการปฏิบัติอยู่ที่ตรงไหน เราต้องดู ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องทำความเข้าใจให้หมดความสงสัย หมดความลังเล กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเรื่องดีๆ มาปกปิดเอาไว้ กำลังสติปัญญาของเราต้องแหลมคมเร็วไว เด็ดขาด ต่อเนื่อง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจของเราคลายออก มองเห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริงได้ แล้วก็ละกิเลส ดับความเกิดออกจากใจของเราให้มันหมดจด ถ้าเราไม่ทำ ใครจะทำให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง

การไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน่นที่นี่ก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างตบะสร้างบารมี ตราบใดที่เรายังเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผล แค่วันปลูกวันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องหมั่นดูแลหมั่นทำความเข้าใจ ให้น้ำให้ปุ๋ย ดูแลรักษาเขาให้ดี ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้เราก็ได้ เพราะการกระทำการดูแลของเรามี

การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราทำหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยัง ใจของเรามีศรัทธาน้อมเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วรู้จักวิเคราะห์เจริญสติ หาเหตุหาผล เหตุผลทางด้านสมมติก็มี เหตุผลทางด้านวิมุตติก็มี ต้องรู้ด้วย เห็นด้วย ไม่ใช่ว่าทำแบบงมงาย ทำแบบหลงๆ เราต้องรู้ เข้าถึง ทำความเข้าใจ ให้ถึงจุดหมายปลายทาง บุคคลเช่นนี้แหละ จะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว บุคคลเช่นนี้แหละ จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา ปัญญาจะสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ตากระทบรูปเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างไร เราละได้มากได้น้อยเท่าไร จะสำรวจตรวจตรารู้ใจอยู่ตลอดเวลา

แต่เวลานี้กำลังสติมันมีน้อย มีไม่เพียงพอ มีกระท่อนกระแท่น รู้จักควบคุมจิตได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่เรื่องการสังเกตตั้งแต่การก่อตัว การแยกการคลายออกจากขันธ์ห้า ตรงนั้นก็ ถ้าไม่มีความเพียรจริงๆ ถ้าไม่ถึงจังหวะโอกาสสมมติวิมุตติ หรือว่าสมมติไม่คลายให้จริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น แต่เราก็ต้องพยายาม ยังความเพียรของเราให้เต็มที่ ทั้งภายนอกทั้งภายใน ถ้าเรารู้ด้วย เห็นด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย ก็มีตั้งแต่จะจัดการกับชีวิตของเรา เรื่องของเรา ให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ก็ต้องพยายามกันนะ

วันนี้ก็เป็นวันพระ วันพระ ออกพรรษาก็ใกล้แล้ว ใกล้จะเข้ามา วันที่ 22 ที่จะถึงข้างหน้า ก็มีท่านผู้ใจบุญได้รวบรวมจตุปัจจัย ได้ไถ่ชีวิตโคแม่ลูก ก็ขอเชิญญาติโยมทุกคน มีโอกาสมาร่วมอนุโมทนาสาธุด้วยกัน มาร่วมสร้างบุญสร้างกุศลด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นบุญ เราอย่าไปทิ้ง การเริ่มตั้งแต่ความคิด คิดดี ทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม จะมาก จะน้อย คนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย อานิสงส์แห่งบุญก็บังเกิดขึ้นกับเรา เราไม่อยากจะกลับมาเกิด เราก็ต้องละกิเลส ดับความเกิดให้มันหมดจด เป็นเรื่องของเราทุกคน ก็ต้องพยายามกันนะ

วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง