หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 101
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 101
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสลมหายใจของเราให้ชัดเจน วางกายให้สบายวางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ หลวงพ่อเพียงแค่พูดแค่ย้ำ แค่เตือน แค่ชี้แนะวิธีแนวทางเท่านั้นนะ
พวกท่านจงไปเจริญสติอบรมใจแก้ไขใจของตัวพวกท่านเอง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อันนี้เป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติรู้กาย เวลาหายใจเข้าให้เป็นธรรมชาติที่สุด หายใจออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆนี้ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ จะหยุดสงบระงับลงทันที กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละภาษาธรรมท่านว่ามีสติรู้กาย มีสติรู้ตัว
เราต้องสร้างสติตัวนี้แหละขึ้นมาใหม่ให้ต่อเนื่องทั้งลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องจาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ เราไม่สนใจดู เราก็หายใจอยู่แล้ว แต่เราขาดการสนใจดู ถ้าเราสนใจบ่อยๆเข้า บ่อยๆเข้า เราก็จะรู้ลมหายใจเข้าเป็นเป็นอย่างนี้ ลมหายใจออกเป็นอย่างนี้ ความรู้ที่ต่อเนื่องสืบเนื่องภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอย่างนี้ๆๆ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ถ้าเรามีสติที่ต่อเนื่องเข้มแข็ง
ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นเขามีมานาน บางทีก็เกิดจากใจโดยตรง บางทีก็เกิดจากอาการขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจกับอาการของใจซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมมีอยู่ 4 ส่วน เขาร่วมกันไปอยู่ นั่นแหละเขาหลงอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าเราคลายได้ คลายใจออก สังเกตความคิด ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมความคิด ถ้าเราสังเกตทัน ตัวสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ถ้ารู้ทัน การก่อตัวของอาการของความคิดกับใจ ใจจะกระโดดเข้าไปรวม ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ ใจจะดีดออกจากความคิดตรงนั้น หงายเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ท่านเรียกว่าเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจก็เลยว่าง กายก็เลยเบา ทั้งที่กายสมมติก็มีอยู่ ใจว่าง ความรู้ตัวของเราที่สร้างขึ้นมานี่ ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด ท่านเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ เห็น ตามดู เขาเกิดขึ้น เขาตั้งอยู่ก็ดับไป พอดับไปความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏนั่นแหละ อนัตตาเข้ามาปรากฏ อนัตตาในขันธ์ห้า ตัวใจของเราก็ยังว่าง รับรู้อยู่ เรื่องไหนเข้ามาตามดู เรื่องไหนเข้ามาตามดู จนลงไตรลักษณ์หมด เห็นความเป็นจริงตรงนั้น เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในแนวทาง
ทีนี้ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ มีกิเลส ชนิดไหนบ้าง เราก็มาละกิเลสที่ใจ แก้ไขปัญหาที่ใจของเรา หนุนกําลังสติปัญญาไปทําหน้าที่แทน จิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน จิตใจของเรามีความตระหนี่ เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา จิตใจของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามละความอาฆาตพยาบาท ด้วยการให้อภัยทาน อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ พยายามสักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย กําลังสติที่จะสร้างให้ต่อเนื่องนี้มีนิดหน่อย บางทีก็ควบคุมใจได้เป็นบางครั้งบางคราว บางเรื่องบางราว บางทีก็ นานๆ ทีถึงจะดูได้ทีหนึ่งก็เลยจะเอาไปขัดเกลากิเลสไปละกิเลสไปอบรมใจได้อย่างไร เพียงแค่สติก็ยังไม่รู้จักทําให้ต่อเนื่องทั้งใจ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากได้บุญ อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม การละกิเลสไม่มี การขัดเกลาไม่มี ความเพียรไม่มี มันจะถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร คนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ความเพียรเป็นเลิศ ความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ การขัดเกลากิเลสเป็นเลิศ อบรมใจของตัวเองอยู่ตลอดทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจที่ไม่ส่งไปภายนอกเขาก็สงบรับรู้อยู่ในกายของเรา พยายามแก้ไขปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งใจมองเห็นความเป็นจริงเขาไม่เอาหรอกทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด แต่เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมเสียก่อน เข้าไปอบรมทั้งขัดทั้งเกลาทั้งขนาบแล้วก็ขนาบอีก แก้ไขแล้วแก้ไขอีก นี่จะไปมัวเมาเล่น ไปมองตั้งแต่โทษคนโน้นโทษคนนี้ ไม่เคยโทษตัวเอง แก้ไขตัวเองซักที
บุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ นิวรณธรรมเครื่องกางกั้นจิต ไม่ให้ได้รับความสงบเป็นอย่างนี้ มลทินเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ การรอบรู้ในกองสังขาร การแยกแยะเป็นอย่างไร รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราจะเอาสติปัญญาไปใช้ได้อย่างไร ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายดับ ปัญญาฝ่ายละ ปัญญาไปดําเนินกับสมมติ จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ต้องพยายามนะ หลวงพ่อก็พูดของเก่าอยู่นี่แหละ ดําเนินให้พวกท่านได้เห็นตน เห็นเหตุ ชี้เหตุชี้ผลแยกแยะได้แล้วเราจะละได้อีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ถ้าเราทําความเข้าใจได้เต็มรอบ สติปัญญา สมาธิเขาจะรักษาเราเอง เราไม่จําเป็นต้องไปรักษาเขายากเลย ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ข้อวัตรปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ศีลสังคมเป็นอย่างไร ศีลสมมติเป็นอย่างไร ศีลวิมุตติที่หลุดพ้นภายในใจเป็นอย่างไร เราต้องศึกษาให้รู้ ให้เห็นให้เข้าถึง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจกันเอานะ
พวกท่านจงไปเจริญสติอบรมใจแก้ไขใจของตัวพวกท่านเอง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อันนี้เป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติรู้กาย เวลาหายใจเข้าให้เป็นธรรมชาติที่สุด หายใจออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆนี้ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ จะหยุดสงบระงับลงทันที กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละภาษาธรรมท่านว่ามีสติรู้กาย มีสติรู้ตัว
เราต้องสร้างสติตัวนี้แหละขึ้นมาใหม่ให้ต่อเนื่องทั้งลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องจาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ เราไม่สนใจดู เราก็หายใจอยู่แล้ว แต่เราขาดการสนใจดู ถ้าเราสนใจบ่อยๆเข้า บ่อยๆเข้า เราก็จะรู้ลมหายใจเข้าเป็นเป็นอย่างนี้ ลมหายใจออกเป็นอย่างนี้ ความรู้ที่ต่อเนื่องสืบเนื่องภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอย่างนี้ๆๆ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ถ้าเรามีสติที่ต่อเนื่องเข้มแข็ง
ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นเขามีมานาน บางทีก็เกิดจากใจโดยตรง บางทีก็เกิดจากอาการขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจกับอาการของใจซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมมีอยู่ 4 ส่วน เขาร่วมกันไปอยู่ นั่นแหละเขาหลงอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าเราคลายได้ คลายใจออก สังเกตความคิด ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมความคิด ถ้าเราสังเกตทัน ตัวสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ถ้ารู้ทัน การก่อตัวของอาการของความคิดกับใจ ใจจะกระโดดเข้าไปรวม ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ ใจจะดีดออกจากความคิดตรงนั้น หงายเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ท่านเรียกว่าเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจก็เลยว่าง กายก็เลยเบา ทั้งที่กายสมมติก็มีอยู่ ใจว่าง ความรู้ตัวของเราที่สร้างขึ้นมานี่ ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด ท่านเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ เห็น ตามดู เขาเกิดขึ้น เขาตั้งอยู่ก็ดับไป พอดับไปความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏนั่นแหละ อนัตตาเข้ามาปรากฏ อนัตตาในขันธ์ห้า ตัวใจของเราก็ยังว่าง รับรู้อยู่ เรื่องไหนเข้ามาตามดู เรื่องไหนเข้ามาตามดู จนลงไตรลักษณ์หมด เห็นความเป็นจริงตรงนั้น เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในแนวทาง
ทีนี้ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ มีกิเลส ชนิดไหนบ้าง เราก็มาละกิเลสที่ใจ แก้ไขปัญหาที่ใจของเรา หนุนกําลังสติปัญญาไปทําหน้าที่แทน จิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน จิตใจของเรามีความตระหนี่ เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา จิตใจของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามละความอาฆาตพยาบาท ด้วยการให้อภัยทาน อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ พยายามสักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย กําลังสติที่จะสร้างให้ต่อเนื่องนี้มีนิดหน่อย บางทีก็ควบคุมใจได้เป็นบางครั้งบางคราว บางเรื่องบางราว บางทีก็ นานๆ ทีถึงจะดูได้ทีหนึ่งก็เลยจะเอาไปขัดเกลากิเลสไปละกิเลสไปอบรมใจได้อย่างไร เพียงแค่สติก็ยังไม่รู้จักทําให้ต่อเนื่องทั้งใจ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากได้บุญ อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม การละกิเลสไม่มี การขัดเกลาไม่มี ความเพียรไม่มี มันจะถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร คนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ความเพียรเป็นเลิศ ความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ การขัดเกลากิเลสเป็นเลิศ อบรมใจของตัวเองอยู่ตลอดทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจที่ไม่ส่งไปภายนอกเขาก็สงบรับรู้อยู่ในกายของเรา พยายามแก้ไขปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งใจมองเห็นความเป็นจริงเขาไม่เอาหรอกทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด แต่เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมเสียก่อน เข้าไปอบรมทั้งขัดทั้งเกลาทั้งขนาบแล้วก็ขนาบอีก แก้ไขแล้วแก้ไขอีก นี่จะไปมัวเมาเล่น ไปมองตั้งแต่โทษคนโน้นโทษคนนี้ ไม่เคยโทษตัวเอง แก้ไขตัวเองซักที
บุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ นิวรณธรรมเครื่องกางกั้นจิต ไม่ให้ได้รับความสงบเป็นอย่างนี้ มลทินเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ การรอบรู้ในกองสังขาร การแยกแยะเป็นอย่างไร รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราจะเอาสติปัญญาไปใช้ได้อย่างไร ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายดับ ปัญญาฝ่ายละ ปัญญาไปดําเนินกับสมมติ จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ต้องพยายามนะ หลวงพ่อก็พูดของเก่าอยู่นี่แหละ ดําเนินให้พวกท่านได้เห็นตน เห็นเหตุ ชี้เหตุชี้ผลแยกแยะได้แล้วเราจะละได้อีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ถ้าเราทําความเข้าใจได้เต็มรอบ สติปัญญา สมาธิเขาจะรักษาเราเอง เราไม่จําเป็นต้องไปรักษาเขายากเลย ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ข้อวัตรปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ศีลสังคมเป็นอย่างไร ศีลสมมติเป็นอย่างไร ศีลวิมุตติที่หลุดพ้นภายในใจเป็นอย่างไร เราต้องศึกษาให้รู้ ให้เห็นให้เข้าถึง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจกันเอานะ