หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 30
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 30
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารู้จักลักษณะของการเจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วย น้อมสังเกตวิเคราะห์ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน
เราหายใจตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสังเกตว่าความรู้สึกตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ เราอาจจะรู้สึกอยู่ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว แต่ความรู้สึกตัวไม่ต่อเนื่อง เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องทั้งลมเข้าลมออก เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จนรู้ตัวรู้กาย จนรู้จักเอาสติปัญญาของเราไปใช้ เอาไปรู้เท่าทันใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้เขาเรียกว่าอย่างนี้ ความคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนก็ไปรวมเขาเรียกว่าอย่างนี้ เราก็จะรู้เท่ารู้ทัน เห็น ทําความเข้าใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงปรากฏเปิดทางให้
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละก็จะกลายเป็นมหาสติ ตามดู ตามค้นคว้า ตามพิจารณาว่าอะไรถูก อะไรผิด ทําไมใจถึงเกิด ทําไมใจถึงหลงขันธ์ห้า ทําไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส ทําไมใจถึงส่งไปภายนอก เราก็มาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจของเราตั้งมั่นอยู่ในกาย มีความบริสุทธิ์ ตั้งมั่นอยู่ในกาย หนุนกําลังสติปัญญาไปทําหน้าที่แทน ทุกเรื่อง ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดําเนิน เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ทันทีเลยว่าท่านสอนเรื่องอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ เห็นการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้ ชี้แนะวิธีการขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียด
แต่ละวันตื่นขึ้นมาจิตใจของเราปกติ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ อันนี้สติปัญญาไปอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนเป็นอัตโนมัติ กายทําหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทําหน้าที่อย่างนี้ ภาษาธรรมที่เรียกว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร
การทําบุญ การให้ทาน ความหมายของการทําบุญหมายถึงอย่างไร การทําบุญ จุดหมายปลายทางก็เพื่อที่จะละกิเลส ขัดเกลา ความโลภ ความอยากออกจากจิตจากใจของเรา เป็นการอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
คําว่า ศีล คําว่าศีลเป็นลักษณะอย่างไร ศีลก็คือความปกติ ปกติระดับไหน ตัวใจปกตินั่นก็ศีลอยู่ที่ใจ กายปกติ วาจาปกติ ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ ไม่สร้างปัญหาอะไรต่างๆ เราก็ต้องทําความเข้าใจให้รู้เรื่อง ศีลสมมติเป็นอย่างไร ศีลวิมุตติเป็นอย่างไร เราต้องแก้ไขตัวเรา บอกตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา
การเจริญสติก็รู้จักลักษณะของของสติ แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนไม่ไม่มีอะไรที่จะไปค้นคว้าอยู่ในใจของเรา จนรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในโลกธรรม บริหารสมมติด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญาจนกว่าจะหมดลมหายใจ สนุกอยู่กับบุญ สร้างบุญ บุญภายนอกเราก็ทําให้เต็มเปี่ยม บุญภายในคือใจที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็ทำให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาเท่าเทียมกันหมด ทุกคนรู้จักสร้างตบะบารมี จะเดินช้าเดินเร็วถึงช้าถึงเร็วก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออก นั่นแหละมีค่ามากมายมหาศาล
ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ขณะที่ยังไม่ถึงเวลาเราพยายามรีบตักตวง พยายามรีบอบรมใจของเราให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย ให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ก็ต้องอาศัยอานิสงส์ผลบุญ อาศัยอานิสงส์ผลทานที่พวกเราเราทํามานี่แหละ เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป
วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มี ภพหน้ามี ภพนี้คือภพปัจจุบัน ภพของมนุษย์ ต่อไปในวันข้างหน้า ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล ก็เข้าสู่ภพของสวรรค์ เข้าสู่ภพของพรหมโลก เข้าสู่ภพของนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิด
นิพพานนี่คือว่าไม่เกิด กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความไม่เกิด ก็มีตั้งแต่ความสุข มีตั้งแต่ความสุขความเจริญ เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ใจของเราแก้ไขใจของเรา ถ้าเราแก้ไขเราไม่ได้ ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา
พระพุทธองค์ท่านก็เป็นบุคคลที่ประเสริฐ เกิดมาแล้วก็ชี้แนะแนวทางค้นพบ ค้นพบวิธีการแนวทางแล้วก็ชี้แนะเหตุชี้แนะผลให้ทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล เหตุภายใน การเกิดการดับของจิตวิญญาณ การเกิดการดับของขันธ์ห้า เหตุสมมติต่างๆ ของโลกธรรม ท่านก็ชี้เหตุชี้ผล บอกวิธีการแนวทางแล้ว พวกเราก็จงพากันทําให้เข้าถึงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านทั้งบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทํา
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
เราหายใจตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสังเกตว่าความรู้สึกตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ เราอาจจะรู้สึกอยู่ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว แต่ความรู้สึกตัวไม่ต่อเนื่อง เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องทั้งลมเข้าลมออก เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จนรู้ตัวรู้กาย จนรู้จักเอาสติปัญญาของเราไปใช้ เอาไปรู้เท่าทันใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้เขาเรียกว่าอย่างนี้ ความคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนก็ไปรวมเขาเรียกว่าอย่างนี้ เราก็จะรู้เท่ารู้ทัน เห็น ทําความเข้าใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงปรากฏเปิดทางให้
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละก็จะกลายเป็นมหาสติ ตามดู ตามค้นคว้า ตามพิจารณาว่าอะไรถูก อะไรผิด ทําไมใจถึงเกิด ทําไมใจถึงหลงขันธ์ห้า ทําไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส ทําไมใจถึงส่งไปภายนอก เราก็มาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจของเราตั้งมั่นอยู่ในกาย มีความบริสุทธิ์ ตั้งมั่นอยู่ในกาย หนุนกําลังสติปัญญาไปทําหน้าที่แทน ทุกเรื่อง ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดําเนิน เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ทันทีเลยว่าท่านสอนเรื่องอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ เห็นการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้ ชี้แนะวิธีการขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียด
แต่ละวันตื่นขึ้นมาจิตใจของเราปกติ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ อันนี้สติปัญญาไปอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนเป็นอัตโนมัติ กายทําหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทําหน้าที่อย่างนี้ ภาษาธรรมที่เรียกว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร
การทําบุญ การให้ทาน ความหมายของการทําบุญหมายถึงอย่างไร การทําบุญ จุดหมายปลายทางก็เพื่อที่จะละกิเลส ขัดเกลา ความโลภ ความอยากออกจากจิตจากใจของเรา เป็นการอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
คําว่า ศีล คําว่าศีลเป็นลักษณะอย่างไร ศีลก็คือความปกติ ปกติระดับไหน ตัวใจปกตินั่นก็ศีลอยู่ที่ใจ กายปกติ วาจาปกติ ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ ไม่สร้างปัญหาอะไรต่างๆ เราก็ต้องทําความเข้าใจให้รู้เรื่อง ศีลสมมติเป็นอย่างไร ศีลวิมุตติเป็นอย่างไร เราต้องแก้ไขตัวเรา บอกตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา
การเจริญสติก็รู้จักลักษณะของของสติ แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนไม่ไม่มีอะไรที่จะไปค้นคว้าอยู่ในใจของเรา จนรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในโลกธรรม บริหารสมมติด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญาจนกว่าจะหมดลมหายใจ สนุกอยู่กับบุญ สร้างบุญ บุญภายนอกเราก็ทําให้เต็มเปี่ยม บุญภายในคือใจที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็ทำให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาเท่าเทียมกันหมด ทุกคนรู้จักสร้างตบะบารมี จะเดินช้าเดินเร็วถึงช้าถึงเร็วก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออก นั่นแหละมีค่ามากมายมหาศาล
ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ขณะที่ยังไม่ถึงเวลาเราพยายามรีบตักตวง พยายามรีบอบรมใจของเราให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย ให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ก็ต้องอาศัยอานิสงส์ผลบุญ อาศัยอานิสงส์ผลทานที่พวกเราเราทํามานี่แหละ เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป
วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มี ภพหน้ามี ภพนี้คือภพปัจจุบัน ภพของมนุษย์ ต่อไปในวันข้างหน้า ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล ก็เข้าสู่ภพของสวรรค์ เข้าสู่ภพของพรหมโลก เข้าสู่ภพของนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิด
นิพพานนี่คือว่าไม่เกิด กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความไม่เกิด ก็มีตั้งแต่ความสุข มีตั้งแต่ความสุขความเจริญ เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ใจของเราแก้ไขใจของเรา ถ้าเราแก้ไขเราไม่ได้ ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา
พระพุทธองค์ท่านก็เป็นบุคคลที่ประเสริฐ เกิดมาแล้วก็ชี้แนะแนวทางค้นพบ ค้นพบวิธีการแนวทางแล้วก็ชี้แนะเหตุชี้แนะผลให้ทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล เหตุภายใน การเกิดการดับของจิตวิญญาณ การเกิดการดับของขันธ์ห้า เหตุสมมติต่างๆ ของโลกธรรม ท่านก็ชี้เหตุชี้ผล บอกวิธีการแนวทางแล้ว พวกเราก็จงพากันทําให้เข้าถึงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านทั้งบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทํา
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ