หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 38
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 38
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเกิดจากอาการของขันธ์ห้าก็จะสงบลงไปทันที สัมผัสความรู้สึกรับรู้ลมกระทบปลายจมูกนั่นแหละที่ภาษาธรรมท่านเรียกว่า รู้กาย เราพยายามรู้ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงทั้งการหายใจเข้าหายใจออก หายใจยาวหายใจสั้น อันนี้เป็นการฝึกฝนสติให้อยู่กับกายให้รู้กาย ถ้ากําลังสติความรู้ตัวของเรามากขึ้นๆ เราก็จะได้เอาไปอบรมใจของเรา
การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเขามีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านถึงให้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ไปหมั่นพร่ำสอนใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน ใจของเราคลายออกภาษาธรรมะท่านเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจก็จะเบา กายก็จะเบา ใจก็จะโล่ง ความรู้ตัวก็จะตามดูเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีต เรื่องอนาคตเป็นกลางๆ เราก็จะเข้าใจ รูป อันนี้คือส่วนรูป อันนี้คือส่วนนาม เข้าใจเรื่องสมมติวิมุตติ เข้าใจเรื่องอัตตาอนัตตา
ตามแนวทางของพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แต่คนทั่วไปมีตั้งแต่ไปนึกไปคิดเอา บางทีใจก็เกิด บางทีขันธ์ห้ากับใจก็รวมกัน บางทีทั้งใจทั้งขันธ์ห้าทั้งปัญญารวมกันไปทั้งก้อน นั่นแหละหลงทั้งก้อน ความหลงนี้มีมานาน ใจนี้หลงเกิด หลงเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดในภพมนุษย์ หลงเกิดวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อยู่ในสังสารวัฏ อยู่ในสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง นรกบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง
ถ้าเรามาศึกษาดู รู้ให้ละเอียด เรามาเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่องด้วยพลังแรงบุญแรงศรัทธา น้อมกายน้อมใจเข้ามาแล้วก็ศึกษา การขัดเกลากิเลสของเราเป็นอย่างไรบ้าง ความโลภเป็นอย่างไร ความอยากเป็นอย่างไร ความโกรธเป็นอย่างไร นิวรณ์ธรรม ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัยต่างๆ เกิดจากใจของเรา เราก็พยายามเจริญสติหรือว่ามาสร้างผู้รู้ มาสร้างผู้รู้เข้าไปอบรมใจของเรา ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราทุกเวลา ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ใจของเรานี่เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งหลงทั้งเกิด เกิดหลายสิ่งหลายอย่าง เขาสร้างโมหะ ‘ความหลง’ มาปิดกั้นตัวเอง มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็เป็นทาสของกิเลสปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาเกิดหรือว่ามานึกคิดปรุงแต่งปิดกั้นตัวของเขาเอง
ในหลักธรรมแล้วท่านให้เจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มีมากมาย ถ้าเราฝึกเจริญสติที่เข้มแข็งแล้วเราก็จะเห็น
ถ้ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอเราก็จะไม่เห็น ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ มันไม่อยู่เหนือความพยายาม ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา เราต้องจําแนกแจกแจงให้ได้ว่าอันนี้เป็นส่วนสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ อันนี้ความเกิดความดับของใจเขามีอยู่เดิม ไม่ใช่ว่าไปทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ก็คอยสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างสะสมบุญบารมี สร้างสะสมกําลังสติปัญญาหาเหตุหาผลจนเห็นต้น ต้นของการเกิด การเกิด ใจเกิดอย่างไร ขันธ์ห้าเกิดอย่างไร เข้าไปรวมกันได้อย่างไร
ส่วนการทำบุญสร้างอานิสงส์สร้างบารมีนั้นมีกันทุกคน จะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับการเสียสละของแต่ละบุคคล บุญสมมติเราก็ทำ บุญวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็ขัดเกลากิเลสให้ถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ใจที่ไม่มีกิเลสใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเขาก็จะสงบนิ่ง เขารู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เขารู้ว่าการเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา
ทุกคนนั้นไม่มีกิเลสมาแต่เดิม ความไม่รู้ถึงมาสร้างสะสมกิเลสเข้าปิดกั้นตัวเรา จงเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมทุกเวลา ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต ก่อนที่จะเป็นทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต กําลังสติต้องตามค้นคว้าทุกอย่างจนใจของเรารับรู้เห็นตามความเป็นจริงหมด แล้วก็ดับความเกิดของใจ แล้วก็วางใจให้เป็นอิสรภาพจากสิ่งต่างๆ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
อย่าปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาส สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม ความคิดเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร ความอยากความหิว เราจำแนกแจกแจงได้แล้วหรือยัง กายทวารทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง เข้าไปถึงตัววิญญาณ ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณนั้นเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ เกิดกิเลสหรือไม่เราก็จัดการที่ใจของเรา
สตินี้จะเป็นเพื่อนใจอบรมใจ ช่วงใหม่ๆ นี้ใจจะเป็นเพื่อนกับขันธ์ห้า เขาเกิดด้วยกัน รวมกันไปเป็นเพื่อนของกิเลสส่งเสริมกันไป เราจงเจริญสติให้เข้มแข็งแล้วก็ไปอบรมใจเป็นที่พึ่งของใจ ท่านถึงบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกก็ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ‘ตน’ ตัวที่สองก็คือตัวใจนั่นแหละ ท่านถึงเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน
สมมติหมดภายนอกเราก็พยายามยังประโยชน์ทางสมมติให้เกิดประโยชน์ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติปัญญา กายของเราก็จะอยู่ดีมีความสุข เพราะคนเราเกิดมาก็ต้องอาศัยปัจจัยสี่ อยู่เนื่องด้วยโลกธรรม แต่เราต้องทำความเข้าใจไม่ให้ใจของเราเข้าเป็นหลงเข้าไปยึด ใจต้องคลายจากขันธ์ห้าในกายของเราให้ได้เสียก่อน ใจวางขันธ์ห้าในกายแล้วก็วางได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ถ้าปิดกั้นตัวเองมันก็หมดโอกาส ถ้าไม่ศึกษาภายในกายของเรามันก็ยากที่จะเข้าถึง จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ง่ายสำหรับบุคคลที่เข้าใจแล้ว จะยากสำหรับบุคคลที่ยังไม่เข้าใจ ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแสกิเลส เพราะว่าใจของเราชอบเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก เกิดแล้วก็ยังไม่พอก็มายึดอีก มาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ก็มายึดอยู่ในขันธ์ห้าในภพมนุษย์
พระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่าให้จําแนกแจกแจงในขันธ์ห้าในร่างกายของเราให้รู้แจ้งเห็นจริงขณะมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจไปแล้วก็มีตั้งแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป ถ้าตราบใดที่ใจยังปล่อยวางไม่ได้ก็ขอให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์เขาเรียกว่า สร้างบารมี สร้างมากก็เป็นของเราทำน้อยก็เป็นของเรา มีโอกาสทำไม่ว่าอยู่ที่ไหน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็พยายามรีบทำ คิดดี ทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด มีจิตวิญญาณเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะดำเนินให้ถูกที่ถูกทางขยันหมั่นเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าเราปล่อยวันเวลาทิ้งเราก็อาจจะไม่ถึง เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างหมั่นขวนขวาย หมั่นฝักใฝ่ในสิ่งที่เรามีในสิ่งที่เราเป็นในสิ่งที่เราทำ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็วตราบใดที่เรายังเดินอยู่
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย การเจริญสติ การเจริญปัญญา การแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะนี้ การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ กิเลสก็มีหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน กิเลส ความโลภ ความหลงตัวใหญ่ๆ ความหลงนี่ถ้าไม่เจริญสติเข้าไปแยกไปคลายมันก็หลงอยู่ แต่ถ้าความโลภ ความโกรธ ความทะยานทะยานอยาก อันนี้เราก็ค่อยละค่อยดับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกิเลสตัวละเอียดๆ ที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของเราพยายามถอนรากถอนโคนให้มันหมดจด เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ใจที่ปราศจาก ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สะอาดเขาก็บริสุทธิ์
ความเกิดแม้แต่นิดหนึ่งก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าความเกิดเป็นทุกข์เขารู้ความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่เกิด ถึงเกิดก็ใช้ปัญญาเข้าไปดับ ดับความเกิดวางกิเลส แยกรูปแยกนามวางกิเลส ดับความเกิด ใจไม่เกิดแล้วก็ให้ปล่อยเป็นอิสรภาพอยู่ในความบริสุทธิ์ ความว่างความบริสุทธิ์นั่นแหละคือ เครื่องอยู่ของใจ ไม่ใช่อะไร ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ เราก็จงพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเกิดจากอาการของขันธ์ห้าก็จะสงบลงไปทันที สัมผัสความรู้สึกรับรู้ลมกระทบปลายจมูกนั่นแหละที่ภาษาธรรมท่านเรียกว่า รู้กาย เราพยายามรู้ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงทั้งการหายใจเข้าหายใจออก หายใจยาวหายใจสั้น อันนี้เป็นการฝึกฝนสติให้อยู่กับกายให้รู้กาย ถ้ากําลังสติความรู้ตัวของเรามากขึ้นๆ เราก็จะได้เอาไปอบรมใจของเรา
การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเขามีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านถึงให้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ไปหมั่นพร่ำสอนใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน ใจของเราคลายออกภาษาธรรมะท่านเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจก็จะเบา กายก็จะเบา ใจก็จะโล่ง ความรู้ตัวก็จะตามดูเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีต เรื่องอนาคตเป็นกลางๆ เราก็จะเข้าใจ รูป อันนี้คือส่วนรูป อันนี้คือส่วนนาม เข้าใจเรื่องสมมติวิมุตติ เข้าใจเรื่องอัตตาอนัตตา
ตามแนวทางของพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แต่คนทั่วไปมีตั้งแต่ไปนึกไปคิดเอา บางทีใจก็เกิด บางทีขันธ์ห้ากับใจก็รวมกัน บางทีทั้งใจทั้งขันธ์ห้าทั้งปัญญารวมกันไปทั้งก้อน นั่นแหละหลงทั้งก้อน ความหลงนี้มีมานาน ใจนี้หลงเกิด หลงเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดในภพมนุษย์ หลงเกิดวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อยู่ในสังสารวัฏ อยู่ในสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง นรกบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง
ถ้าเรามาศึกษาดู รู้ให้ละเอียด เรามาเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่องด้วยพลังแรงบุญแรงศรัทธา น้อมกายน้อมใจเข้ามาแล้วก็ศึกษา การขัดเกลากิเลสของเราเป็นอย่างไรบ้าง ความโลภเป็นอย่างไร ความอยากเป็นอย่างไร ความโกรธเป็นอย่างไร นิวรณ์ธรรม ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัยต่างๆ เกิดจากใจของเรา เราก็พยายามเจริญสติหรือว่ามาสร้างผู้รู้ มาสร้างผู้รู้เข้าไปอบรมใจของเรา ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราทุกเวลา ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ใจของเรานี่เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งหลงทั้งเกิด เกิดหลายสิ่งหลายอย่าง เขาสร้างโมหะ ‘ความหลง’ มาปิดกั้นตัวเอง มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็เป็นทาสของกิเลสปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาเกิดหรือว่ามานึกคิดปรุงแต่งปิดกั้นตัวของเขาเอง
ในหลักธรรมแล้วท่านให้เจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มีมากมาย ถ้าเราฝึกเจริญสติที่เข้มแข็งแล้วเราก็จะเห็น
ถ้ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอเราก็จะไม่เห็น ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ มันไม่อยู่เหนือความพยายาม ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา เราต้องจําแนกแจกแจงให้ได้ว่าอันนี้เป็นส่วนสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ อันนี้ความเกิดความดับของใจเขามีอยู่เดิม ไม่ใช่ว่าไปทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ก็คอยสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างสะสมบุญบารมี สร้างสะสมกําลังสติปัญญาหาเหตุหาผลจนเห็นต้น ต้นของการเกิด การเกิด ใจเกิดอย่างไร ขันธ์ห้าเกิดอย่างไร เข้าไปรวมกันได้อย่างไร
ส่วนการทำบุญสร้างอานิสงส์สร้างบารมีนั้นมีกันทุกคน จะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับการเสียสละของแต่ละบุคคล บุญสมมติเราก็ทำ บุญวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็ขัดเกลากิเลสให้ถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ใจที่ไม่มีกิเลสใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเขาก็จะสงบนิ่ง เขารู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เขารู้ว่าการเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา
ทุกคนนั้นไม่มีกิเลสมาแต่เดิม ความไม่รู้ถึงมาสร้างสะสมกิเลสเข้าปิดกั้นตัวเรา จงเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมทุกเวลา ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต ก่อนที่จะเป็นทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต กําลังสติต้องตามค้นคว้าทุกอย่างจนใจของเรารับรู้เห็นตามความเป็นจริงหมด แล้วก็ดับความเกิดของใจ แล้วก็วางใจให้เป็นอิสรภาพจากสิ่งต่างๆ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
อย่าปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาส สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม ความคิดเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร ความอยากความหิว เราจำแนกแจกแจงได้แล้วหรือยัง กายทวารทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง เข้าไปถึงตัววิญญาณ ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณนั้นเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ เกิดกิเลสหรือไม่เราก็จัดการที่ใจของเรา
สตินี้จะเป็นเพื่อนใจอบรมใจ ช่วงใหม่ๆ นี้ใจจะเป็นเพื่อนกับขันธ์ห้า เขาเกิดด้วยกัน รวมกันไปเป็นเพื่อนของกิเลสส่งเสริมกันไป เราจงเจริญสติให้เข้มแข็งแล้วก็ไปอบรมใจเป็นที่พึ่งของใจ ท่านถึงบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกก็ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ‘ตน’ ตัวที่สองก็คือตัวใจนั่นแหละ ท่านถึงเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน
สมมติหมดภายนอกเราก็พยายามยังประโยชน์ทางสมมติให้เกิดประโยชน์ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติปัญญา กายของเราก็จะอยู่ดีมีความสุข เพราะคนเราเกิดมาก็ต้องอาศัยปัจจัยสี่ อยู่เนื่องด้วยโลกธรรม แต่เราต้องทำความเข้าใจไม่ให้ใจของเราเข้าเป็นหลงเข้าไปยึด ใจต้องคลายจากขันธ์ห้าในกายของเราให้ได้เสียก่อน ใจวางขันธ์ห้าในกายแล้วก็วางได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ถ้าปิดกั้นตัวเองมันก็หมดโอกาส ถ้าไม่ศึกษาภายในกายของเรามันก็ยากที่จะเข้าถึง จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ง่ายสำหรับบุคคลที่เข้าใจแล้ว จะยากสำหรับบุคคลที่ยังไม่เข้าใจ ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแสกิเลส เพราะว่าใจของเราชอบเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก เกิดแล้วก็ยังไม่พอก็มายึดอีก มาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ก็มายึดอยู่ในขันธ์ห้าในภพมนุษย์
พระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่าให้จําแนกแจกแจงในขันธ์ห้าในร่างกายของเราให้รู้แจ้งเห็นจริงขณะมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจไปแล้วก็มีตั้งแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป ถ้าตราบใดที่ใจยังปล่อยวางไม่ได้ก็ขอให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์เขาเรียกว่า สร้างบารมี สร้างมากก็เป็นของเราทำน้อยก็เป็นของเรา มีโอกาสทำไม่ว่าอยู่ที่ไหน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็พยายามรีบทำ คิดดี ทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด มีจิตวิญญาณเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะดำเนินให้ถูกที่ถูกทางขยันหมั่นเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าเราปล่อยวันเวลาทิ้งเราก็อาจจะไม่ถึง เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างหมั่นขวนขวาย หมั่นฝักใฝ่ในสิ่งที่เรามีในสิ่งที่เราเป็นในสิ่งที่เราทำ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็วตราบใดที่เรายังเดินอยู่
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย การเจริญสติ การเจริญปัญญา การแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะนี้ การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ กิเลสก็มีหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน กิเลส ความโลภ ความหลงตัวใหญ่ๆ ความหลงนี่ถ้าไม่เจริญสติเข้าไปแยกไปคลายมันก็หลงอยู่ แต่ถ้าความโลภ ความโกรธ ความทะยานทะยานอยาก อันนี้เราก็ค่อยละค่อยดับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกิเลสตัวละเอียดๆ ที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของเราพยายามถอนรากถอนโคนให้มันหมดจด เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ใจที่ปราศจาก ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สะอาดเขาก็บริสุทธิ์
ความเกิดแม้แต่นิดหนึ่งก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าความเกิดเป็นทุกข์เขารู้ความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่เกิด ถึงเกิดก็ใช้ปัญญาเข้าไปดับ ดับความเกิดวางกิเลส แยกรูปแยกนามวางกิเลส ดับความเกิด ใจไม่เกิดแล้วก็ให้ปล่อยเป็นอิสรภาพอยู่ในความบริสุทธิ์ ความว่างความบริสุทธิ์นั่นแหละคือ เครื่องอยู่ของใจ ไม่ใช่อะไร ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ เราก็จงพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา