หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 08

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 08
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 08
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ เวลาหายใจเข้าเวลาหายใจออกให้รู้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า สติรู้กาย ถ้าความรู้สึกตรงนี้พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ จนกำลังความรู้ตัวของเราเข้มแข็งต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ ใจที่เกิดส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจเป็นลักษณะอย่างนี้

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน แล้วก็จำแนกแจกแจงลักษณะของใจ ใจที่ปกติ ใจที่ไม่เกิด จนกว่าจะรู้เท่าทันใจคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม แล้วก็เรื่องอะไรบ้างเป็นกุศลหรือว่าอกุศล จงพยายามหัดสำรวจ หัดตรวจตราตัวเราตลอดเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ต้องทำความเข้าใจลักษณะของคำว่า ปัจจุบันธรรม ฝึกให้เกิดความเคยชินทุกอิริยาบถ

ใจเกิดกิเลสก็พยายามละกิเลส ใจเกิดความโกรธก็พยายามละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความโลภเราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี มองในส่วนที่ดี ส่วนไหนที่ไม่ดีเราก็ละทิ้ง ตัดทิ้ง ในหลักธรรมแล้วก็ทั้งดีทั้งไม่ดีก็ต้องหยุดหมด หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน พยายามเอา ฝักใฝ่เอา สนใจเอา จะไปแสวงหาธรรมะแสวงหาที่อื่นไม่เจอ ต้องลงที่กายที่ใจของเรา แล้วก็แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา

การทำบุญให้ทาน ศรัทธา เพิ่มบุญของสมมติ พวกเรามีโอกาสได้ทำตลอดเวลา ทำโน่นทำนี่ เพื่อยังประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในสมมติประโยชน์ในวิมุตติ มีหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะจัดการในตัวของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ ขัดเกลากิเลส เป็นงานของเรา งานของตัวเราเองทั้งนั้นไม่ใช่งานของคนอื่น งานทางด้านสติปัญญา งานทางด้านนามธรรม งานทางด้านรูปธรรม อยู่ในกายในใจของเราหมด พระพุทธองค์ก็อยู่ที่ใจ ใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเราตถาคต

เห็นธรรม หมายถึง เห็นใจ แล้วก็คลายใจออกจากความหลงของขันธ์ห้า แล้วก็ดับความเกิดของใจให้มันหมดจด ละกิเลสออกให้หมดจด การพูดง่าย การกระทำนี่ต้องอาศัยความเพียรอย่างยิ่งยวด ความเพียรในการขัดเกลากิเลสตัวเรา กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ สักวันหนึ่ง เราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน

พระเราที่บวชใหม่ก็พยายามเคี่ยวเข็ญตัวเราแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง เอาความเป็นกลาง ความว่างเป็นเครื่องตัดสิน คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลระดับสมมติ ศีลสมมติศีลวิมุตติก็เพื่อที่จะให้ถึงความบริสุทธิ์ของใจ ก็ต้องพยายามก่อนนะ ไม่มีอะไรมากหรอก

แต่ละวันๆ อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ละ อะไรที่เป็นกุศลเราก็เจริญให้มีให้เกิดขึ้น หลวงพ่อก็พาทำตลอดเวลา งานสมมติ บุญสมมติก็พาทำ ทั้งมหาเจดีย์ใหญ่ เดี๋ยวนี้ก็ทำลานจอดรถข้างหน้าก็คงอีก 2-3 วันหรืออาทิตย์หนึ่งก็คงจะเสร็จเรียบร้อย ทำอาคารโรงเรียนก็ประมาณเดือนนี้ก็คงจะเสร็จ ทำอาคารโรงเรียนหลายสิ่งหลายอย่างทั้งในวัด งานในวัด ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย

จงเป็นบุคคลที่ประหยัด มัธยัสถ์ ขยันหมั่นเพียร สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น สร้างความรับผิดชอบ ความเสียสละ ให้เกิดขึ้นในกายในใจของตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ท่านถึงได้ว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน คือสติปัญญาที่เราสร้างมานี้จะเป็นที่พึ่งของใจ ใจก็อาศัยขันธ์ห้าซึ่งเขาสร้างขึ้นมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แล้วก็เกิดต่อ เรามาดับความเกิด มาคลายความหลง มาดับเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด

ในส่วนละเอียด เราควบคุม หัดสังเกต หัดวิเคราะห์จนกว่าชี้เหตุชี้ผลได้ จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ ใจของเราหมดกิเลสอย่างราบคราบโน้นแหละ ถึงปล่อยให้ใจเป็นอิสรภาพ รับรู้อยู่ภายใน สติปัญญาแก้ไขผิดถูกชั่วดี คงไม่เหลือวิสัยหรอก ไม่ถึงวันนี้ ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ จะไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ในการทำคุณงามความดี ฝักใฝ่ในการเจริญสติปัญญา ให้มีเพียบพร้อมทั้งสติปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาเขาจะรักษาเราเอง

คำว่า ศีล คำว่า ปกติ ระดับไหน ระดับสมมติระดับวิมุตติ ศีลสังคมศีลวิมุตติ ถ้าไม่มีศีลสมมติ ศีลสังคมมันก็วุ่นวาย ท่านถึงให้ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลพระปาติโมกข์ก็เพื่อที่ละกิเลส ละกิเลสออกจากใจของเรา จนใจของเราเป็นศีล คือความปกติอยู่ตลอดเวลา ใจของเราสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส ใจของเราคลายจากขันธ์ห้า

ความสงบ เขาเรียกว่า สมาธิ ปัญญารู้เท่าทันใจ ใจเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจส่งไปภายนอกเราก็ดับความเกิด เขาถึงเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา จนชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลได้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ไปทำกันเถอะ อย่าว่าไม่ทำ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทำการทำงานอยู่เราก็สังเกตใจของเรา ละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน รับผิดชอบ เป็นคนมีระเบียบ ระเบียบทั้งสมมติภายนอก สมมติภายใน เห็นสมมติภายนอกวิมุตติภายในอยู่ตลอดเวลา

อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ยิ่งพระเราก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรสร้างความรับผิดชอบให้เป็นทวีคูณ อย่าเอาแต่งอมืองอเท้า อย่าเอาแต่ความเกียจคร้าน จงพยายามสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การบริหารกาย บริหารใจของเรา เราจะทำอย่างไรถึงจะมีความสุขทั้งสมมติทั้งวิมุตติ หมดลมหายใจนั่นแหละ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติก้อนนี้จริงๆ แต่เราวางด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ใจไม่เข้าไปหลงเข้าไปยึด มองหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ

สร้างความรู้ตัวให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง