หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 039
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 039
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หยุดระงับยับยั้งความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้นจากใจของเรา เกิดขึ้นจากขันธ์ห้าของเราเอาไว้ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ
เพียงแค่ศิลปะของการหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะหาทางดับทุกข์ อยากหาทางหลุดพ้น ตรงนี้มันดับทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าใจยังเกิดอยู่ ใจยังแสวงหาอยู่ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เลยทีเดียว ความรู้สึกตัว ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ สติความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง
ส่วนใจของเรา จะเกิด จะก่อตัวเราจะเห็น ลักษณะการก่อตัว การเกิดของเขาทันที เราก็รู้จักควบคุม รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับ จนกว่าอาการของใจกับตัวใจจะคลายออกจากกันได้ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ รู้ด้วย เห็นด้วย ใจมันคลายออกด้วย แล้วก็ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามดูการเกิดการดับของความคิด ว่าเขาเกิดอย่างไร เรื่องอะไรที่เขาเกิด ถ้าเป็นเรื่องอดีต เขาเรียกว่า ‘อาการของสัญญา’ เป็นกองหนึ่ง เป็นสังขารความปรุงแต่ง จะเป็นกลาง หรือว่าเป็นกุศลอกุศล เขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’
กายนี้กองรูป ส่วนความคิด อารมณ์นั่นคือกองนาม เรายังแยกออกไปอีกว่าเป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต ตัววิญญาณมันเข้าไปร่วมได้อย่างไร ไปเสวยได้อย่างไร เขาเรียกว่าความยินดียินร้าย บางทีก็เกิดจากตัววิญญาณปรุงแต่งส่งออกไปโดยตรง เราต้องรู้ ต้องเห็น ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเองตลอดเวลา รู้จักการเจริญสติ ไม่ใช่ว่าเจริญเฉยๆ เราต้องรู้จักเอาไปใช้ด้วย รู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักระงับยับยั้งควบคุมใจของเราเอาไว้เสียก่อน ปัญญาของทุกคนนั้นมีกันเต็มเปี่ยม ปัญญาโลกิยะมีกันเต็มเปี่ยม
เราต้องเปลี่ยนปัญญาโลกิยะให้เป็นปัญญาโลกุตระ โดยที่มีสติของเราที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เข้าไปกำกับ เข้าไปดูแล เข้าไปทำความเข้าใจ จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง มองเห็นหนทางเดิน สนุกสร้างบุญ สร้างกุศล แต่ไม่ยึดติดในกุศลนั้น ถ้าเป็นอกุศลก็ละ เป็นกุศลก็เจริญ เราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจนั้นแหล่ะตัวบุญ กาย วาจา แล้วก็ใจของเรานั่นแหละคือบุญ ใจของเรานั่นแหละคือตัวธรรม
แต่เราต้องรู้จุดอยู่ของเขา อยู่กลางหทัย อยู่กลางใจของเรานั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้ให้เห็นชัดเจน เวลาเกิดความอยาก เกิดความนึกคิดปรุงแต่ง เขาเริ่มก่อตัวตรงไหน เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร ทำไมสติปัญญาของเราถึงไม่แหลมคม เพราะว่าเราขาดการสร้าง ขาดการทำความเข้าใจ ขาดการตามดู ทุกเรื่องในชีวิตของเรา ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียวเลยทีเดียว อยากมี อยากเป็น อยากไป ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าการเกิดของใจยังมีอยู่ เราก็ต้องควบคุม
ใจมันเกิด ยังปรุงยังแต่งอยู่ จะเป็นนิ่งได้อย่างไร ใจยังไม่คลาย มันก็เหมือนกับโดนครอบอยู่ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ คลายได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ในรายละเอียดทุกเรื่องอีก เขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บปั๊บมันจะได้ปั๊บ มันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจากน้อยๆ นี่แหละ ทำลงไปเถอะ ถ้าถึงวาระเวลา อย่างนี้พวกนี้เราเร่งกันไม่ได้ ไม่ค่อยจะได้ เพราะว่าแล้วแต่อานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคล เหมือนกับเราปลูกผลไม้สักต้น เราจะไปเร่งต้องออกดอกวันนี้นะ ออกผลวันนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย เราก็ต้องหมั่นดูแล หมั่นทำความเข้าใจ ให้น้ำให้ปุ๋ย
การปฏิบัติจิตของเราก็เหมือนกัน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ละวันๆ ใจของเราเป็นอย่างไร เราก็ค่อยละ ค่อยทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ค่อยวิเคราะห์ ค่อยพิจารณาหาเหตุหาผล จนใจของเราคลาย แล้วก็รู้จักละกิเลส ดับความเกิดทีละเล็กทีละน้อย ก็จะค่อยหมดจดไป ขอให้มีความเด็ดขาดด้วยสติด้วยปัญญาของเรา
ถ้ายังไม่ถึงกาลถึงเวลา จะบังคับเท่าไหร่มันก็ไม่รู้ ถ้าเราดำเนินให้ถูกที่ถูกทาง ถ้าถึงกาลถึงเวลาประจวบเหมาะ เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา นี่แหละเขาถึงเรียกว่าคนเราเกิดมาอยู่เนื่องด้วยกรรม มีกรรมแล้วถึงได้เกิดมา แต่ได้เกิดมาในภพของมนุษย์ แล้วมาสร้างมาสานต่อให้สูงขึ้นไปจนกว่าจะหลุดพ้น เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
ถ้าเราแยกรูปแยกนาม หรือว่าจิตคลายออกจากอาการของใจแล้ว หมดความสงสัย หมดความลังเล กำลังสติของเราถึงจะพุ่งแรง ตามทำความเข้าใจ ไม่ให้พลั้งเผลอด้วยสติด้วยปัญญาของเราได้เลย ตามดูทุกเรื่อง จนกระทั่งเรานอนหลับ บางครั้งบางคราวก็ทั้งวันทั้งคืน จนเอาไม่อยู่โน้นแหละ จนหมดความสงสัยนั่นแหละ เขาถึงจะหยุดได้ แต่คนทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ ส่วนมากก็อานิสงส์ในการทำบุญ ในการให้ทาน ตรงนี้ก็มีอยู่ ก็นับว่าเป็นอานิสงส์ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ที่ไหนก็ดี ทำไปเถอะ อยู่ที่บ้าน ที่ทำงานทำการ ที่ไร่ที่นา ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ ไม่มีมากเรื่องหรอก
หลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรมากมาย ก็พูดกันแต่เรื่องที่จะเข้าไปถึงตรงนี้แหละ ไม่พูดให้มันเยิ่นเย้อ ขอให้เรามีความเพียร แล้วก็ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา พูดมากมายนั้นมันน้ำท่วมทุ่ง หาสาระมันน้อย เราเอาสาระความจริงตรงนี้เข้ามาปรากฏ เข้ามาเปิดเผย แล้วก็พยายามเดินตาม ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน รู้ว่ารู้แล้วเห็นแล้ว ต้องทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ
ทุกคนก็มีบุญกันถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาอยู่ร่วมกันเป็นพี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ เรามาอาศัยสมมติอยู่ มาอาศัยกายก้อนนี้อยู่ กายก้อนนี้ก็มาอาศัยสถานที่แห่งนี้อยู่ แล้วก็เกี่ยวเนื่องกันด้วยพ่อด้วยแม่ ด้วยพี่ด้วยน้อง เราก็ทำความเข้าใจ เจริญอยู่ในพรหมวิหาร มีอะไรก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ พวกเราก็พลอยสบายด้วย
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
เพียงแค่ศิลปะของการหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะหาทางดับทุกข์ อยากหาทางหลุดพ้น ตรงนี้มันดับทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าใจยังเกิดอยู่ ใจยังแสวงหาอยู่ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เลยทีเดียว ความรู้สึกตัว ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ สติความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง
ส่วนใจของเรา จะเกิด จะก่อตัวเราจะเห็น ลักษณะการก่อตัว การเกิดของเขาทันที เราก็รู้จักควบคุม รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับ จนกว่าอาการของใจกับตัวใจจะคลายออกจากกันได้ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ รู้ด้วย เห็นด้วย ใจมันคลายออกด้วย แล้วก็ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามดูการเกิดการดับของความคิด ว่าเขาเกิดอย่างไร เรื่องอะไรที่เขาเกิด ถ้าเป็นเรื่องอดีต เขาเรียกว่า ‘อาการของสัญญา’ เป็นกองหนึ่ง เป็นสังขารความปรุงแต่ง จะเป็นกลาง หรือว่าเป็นกุศลอกุศล เขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’
กายนี้กองรูป ส่วนความคิด อารมณ์นั่นคือกองนาม เรายังแยกออกไปอีกว่าเป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต ตัววิญญาณมันเข้าไปร่วมได้อย่างไร ไปเสวยได้อย่างไร เขาเรียกว่าความยินดียินร้าย บางทีก็เกิดจากตัววิญญาณปรุงแต่งส่งออกไปโดยตรง เราต้องรู้ ต้องเห็น ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเองตลอดเวลา รู้จักการเจริญสติ ไม่ใช่ว่าเจริญเฉยๆ เราต้องรู้จักเอาไปใช้ด้วย รู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักระงับยับยั้งควบคุมใจของเราเอาไว้เสียก่อน ปัญญาของทุกคนนั้นมีกันเต็มเปี่ยม ปัญญาโลกิยะมีกันเต็มเปี่ยม
เราต้องเปลี่ยนปัญญาโลกิยะให้เป็นปัญญาโลกุตระ โดยที่มีสติของเราที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เข้าไปกำกับ เข้าไปดูแล เข้าไปทำความเข้าใจ จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง มองเห็นหนทางเดิน สนุกสร้างบุญ สร้างกุศล แต่ไม่ยึดติดในกุศลนั้น ถ้าเป็นอกุศลก็ละ เป็นกุศลก็เจริญ เราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจนั้นแหล่ะตัวบุญ กาย วาจา แล้วก็ใจของเรานั่นแหละคือบุญ ใจของเรานั่นแหละคือตัวธรรม
แต่เราต้องรู้จุดอยู่ของเขา อยู่กลางหทัย อยู่กลางใจของเรานั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้ให้เห็นชัดเจน เวลาเกิดความอยาก เกิดความนึกคิดปรุงแต่ง เขาเริ่มก่อตัวตรงไหน เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร ทำไมสติปัญญาของเราถึงไม่แหลมคม เพราะว่าเราขาดการสร้าง ขาดการทำความเข้าใจ ขาดการตามดู ทุกเรื่องในชีวิตของเรา ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียวเลยทีเดียว อยากมี อยากเป็น อยากไป ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าการเกิดของใจยังมีอยู่ เราก็ต้องควบคุม
ใจมันเกิด ยังปรุงยังแต่งอยู่ จะเป็นนิ่งได้อย่างไร ใจยังไม่คลาย มันก็เหมือนกับโดนครอบอยู่ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ คลายได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ในรายละเอียดทุกเรื่องอีก เขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บปั๊บมันจะได้ปั๊บ มันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจากน้อยๆ นี่แหละ ทำลงไปเถอะ ถ้าถึงวาระเวลา อย่างนี้พวกนี้เราเร่งกันไม่ได้ ไม่ค่อยจะได้ เพราะว่าแล้วแต่อานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคล เหมือนกับเราปลูกผลไม้สักต้น เราจะไปเร่งต้องออกดอกวันนี้นะ ออกผลวันนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย เราก็ต้องหมั่นดูแล หมั่นทำความเข้าใจ ให้น้ำให้ปุ๋ย
การปฏิบัติจิตของเราก็เหมือนกัน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ละวันๆ ใจของเราเป็นอย่างไร เราก็ค่อยละ ค่อยทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ค่อยวิเคราะห์ ค่อยพิจารณาหาเหตุหาผล จนใจของเราคลาย แล้วก็รู้จักละกิเลส ดับความเกิดทีละเล็กทีละน้อย ก็จะค่อยหมดจดไป ขอให้มีความเด็ดขาดด้วยสติด้วยปัญญาของเรา
ถ้ายังไม่ถึงกาลถึงเวลา จะบังคับเท่าไหร่มันก็ไม่รู้ ถ้าเราดำเนินให้ถูกที่ถูกทาง ถ้าถึงกาลถึงเวลาประจวบเหมาะ เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา นี่แหละเขาถึงเรียกว่าคนเราเกิดมาอยู่เนื่องด้วยกรรม มีกรรมแล้วถึงได้เกิดมา แต่ได้เกิดมาในภพของมนุษย์ แล้วมาสร้างมาสานต่อให้สูงขึ้นไปจนกว่าจะหลุดพ้น เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
ถ้าเราแยกรูปแยกนาม หรือว่าจิตคลายออกจากอาการของใจแล้ว หมดความสงสัย หมดความลังเล กำลังสติของเราถึงจะพุ่งแรง ตามทำความเข้าใจ ไม่ให้พลั้งเผลอด้วยสติด้วยปัญญาของเราได้เลย ตามดูทุกเรื่อง จนกระทั่งเรานอนหลับ บางครั้งบางคราวก็ทั้งวันทั้งคืน จนเอาไม่อยู่โน้นแหละ จนหมดความสงสัยนั่นแหละ เขาถึงจะหยุดได้ แต่คนทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ ส่วนมากก็อานิสงส์ในการทำบุญ ในการให้ทาน ตรงนี้ก็มีอยู่ ก็นับว่าเป็นอานิสงส์ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ที่ไหนก็ดี ทำไปเถอะ อยู่ที่บ้าน ที่ทำงานทำการ ที่ไร่ที่นา ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ ไม่มีมากเรื่องหรอก
หลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรมากมาย ก็พูดกันแต่เรื่องที่จะเข้าไปถึงตรงนี้แหละ ไม่พูดให้มันเยิ่นเย้อ ขอให้เรามีความเพียร แล้วก็ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา พูดมากมายนั้นมันน้ำท่วมทุ่ง หาสาระมันน้อย เราเอาสาระความจริงตรงนี้เข้ามาปรากฏ เข้ามาเปิดเผย แล้วก็พยายามเดินตาม ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน รู้ว่ารู้แล้วเห็นแล้ว ต้องทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ
ทุกคนก็มีบุญกันถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาอยู่ร่วมกันเป็นพี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ เรามาอาศัยสมมติอยู่ มาอาศัยกายก้อนนี้อยู่ กายก้อนนี้ก็มาอาศัยสถานที่แห่งนี้อยู่ แล้วก็เกี่ยวเนื่องกันด้วยพ่อด้วยแม่ ด้วยพี่ด้วยน้อง เราก็ทำความเข้าใจ เจริญอยู่ในพรหมวิหาร มีอะไรก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ พวกเราก็พลอยสบายด้วย
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ