หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 004
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 004
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เอาไปวิเคราะห์ วิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเราเป็นอย่างไร ลักษณะใจของเราที่ปกติ ลักษณะของใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ความรู้ตัวทั่วพร้อมที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร
ความหมายของคําว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ เป็นอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ใจของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักพยายามควบคุม พยายามดับระงับยับยั้งให้เขาอยู่ในความปกติ อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร เราก็ต้องพยายาม พยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน รู้จิต รู้ความปกติให้ชัดเจน รู้ลักษณะอาการของความคิดให้ชัดเจน รู้ลักษณะความหมายแล้วก็รู้จักชื่อของเขา เห็นลักษณะหน้าตาอาการของเขา แล้วก็ให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็ให้รู้ความหมายนั้นๆ เราก็จะเห็น มองเห็นชัดเจน ใจเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม สติของเราตั้งมั่นขึ้นมาจนเอาไปใช้ได้ เอาไปวิเคราะห์ได้ จนไม่ได้ฝึก
ช่วงใหม่ๆ ต้องฝึก ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จนรู้ชัดเจน การควบคุมจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับ ใจของเรามีความยินดียินร้าย ใจของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักดับ แม้แต่การขบการฉัน การรับประทาน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก อันนี้เป็นหนังเป็นหนังที่ยาว ที่จะต้องตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามแก้ไข จนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ จนกระทั่งใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ มองเห็นหนทางเดินนั่นแหละ
อย่าพากันเกียจคร้าน อยู่ที่ไหนเราก็พยายามดูตัวเรา แก้ไขเรา แก้ไขใจเรา แก้ไขกายของเรา แก้ไขสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ไปอยู่ที่โน่นฉันจะเข้าใจในธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะเข้าใจในธรรม ถ้าเราไม่ทําความเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรมันก็เหมือนเดิม เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร ยังทั้งภายนอกภายในให้เกิดประโยชน์ ภายนอกเราก็มีความเสียสละ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่งอมืองอเท้า ไม่เกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ มีความเป็นระเบียบทั้งภายนอก สมมติความเป็นอยู่ของเรา อะไรเรายังติดขัดอยู่ เราก็รีบแก้ไขเสีย พยายามแก้ไขให้ดี ทางด้านจิตใจ เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ ใจของเรา มีความโอบอ้อมอารีหรือไม่ มีความเสียสละ มีพรมวิหาร มีความเมตตา หรือว่ามีความตระหนี่เหนียวแน่น หรือว่ามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามหมั่นขัด หมั่นเกลา กระหนาบแล้วกระหนาบอีก หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
สติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันต้องชัดเจน สติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราต้องสร้างขึ้นมา ใหม่ๆเนี่ยต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาแล้วพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจจะเกิด เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน ความคิดกับใจเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะอาการ เห็นการเกิดการดับของใจกับอาการของใจเข้าไปรวมกัน
ถ้าเราสังเกตทันปุ๊บ เขาก็จะแยกออกจากกัน ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ เขาแยกออกจากกันได้ เราก็จะเข้าใจภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในเรื่องของความว่าง เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติวิมุตติ ตามทําความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในเรื่องของอริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐ ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ใจส่งออกไปภายนอกเพราะสาเหตุอะไร การดับ การละ การแยก การคลาย การตามดู เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของตัวเรา ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เรารู้อยู่ แต่การแยก การคลายเราไม่มี เรารู้อยู่เฉพาะในภาพรวม เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เหมือนกับเชือกมันมีเส้นเดียว แต่มีอยู่ห้าเกลียว เราก็มองเห็นเป็นเชือกอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าเกลียวไหนๆ เป็นอย่างไร
กายของเราก็เหมือนกัน มีอยู่ 5 ขันธ์ 5 กอง มันรวมกันอยู่ อยู่ในกายเนื้อ จนมีตัววิญญาณเข้ามาครอบครอง เข้ามาสร้างภพสร้างชาติตรงนี้อยู่ เราถึงได้เจริญสติเข้าไปสังเกตตัววิญญาณของเรา บางคนบางท่านก็เรื่องวิญญาณ บางคนบางท่านก็เรื่องใจ เรื่องจิต ในหลักธรรมก็คือตัววิญญาณนั่นแหละ วิญญาณเป็นอาการหนึ่งอยู่ในขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรม แล้วก็อาการของวิญญาณอีก ประกอบด้วยรูปขึ้นมาอีก เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดสังเกตให้ละเอียดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราก็สร้างความรู้ตัวปุ๊บ กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ ตัววิญญาณของเรานั้นเป็นทางผ่านเข้าถึงวิญญาณของเรา
เราก็ต้องทําหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็พยายามอยู่ด้วยกันด้วยความรักความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ช่วยกัน ช่วยกันทำ แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง พยายามสร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สตินั่นแหละเป็นที่พึ่งของใจ กายก็พึ่งอาศัยของสมมติ ในสิ่งที่เราเข้ามายุ่งเกี่ยว ในสิ่งที่เราเข้ามาทํานี่แหละ สมมติภายนอกโลกธรรมนี่แหล่ะ จะมาพึ่งหลวงพ่อไม่ได้นะ หลวงพ่อให้ที่พึ่งได้เฉพาะเพียงสมมติเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เราต้องพึ่งตัวเรา แก้ไขตัวเรา หลวงพ่อก็อนุเคราะห์ให้ในความเป็นอยู่ ให้อยู่ดีมีความสุข จะได้ประพฤติวัตรปฏิบัติขัดเกลา ดูจิตใจของเรา ไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
เราพยายามสร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราคือสติปัญญา ทางภายนอกสมมติก็พึ่งอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ เราต้องเจริญสติเข้าไปละกิเลส เข้าไปคลายความหลง เข้าไปดับความเกิดของใจของเราให้หมดจด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ ที่มีอยู่ในใจของเรา เราต้องค้นคว้าศึกษา ทําความเข้าใจให้หมดจดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือนั่นแหละถึงจะได้อยู่ดีมีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ความจริงนั้นมีกันทุกคน สัจธรรมนั้นมีกันทุกคน ตัวใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดกับใจก็รวมกันอยู่ แต่กําลังสติมีน้อยเท่านั้นเอง ที่ยังขาดการจำแนกแจกแจง เพียงแค่ระดับของสมมติก็ยังแก้ไม่ให้ได้ราบรื่น เราต้องพยายามยังสมมติของเราให้ราบรื่น ส่งผลถึงวิมุตติ ถึงทางด้านจิตใจ ตราบใดที่สมมติยังไม่ราบรื่น เพราะวิบากกรรมสมมติก็ยังมีอยู่ ก็ค่อยแก้ไขกันไปเท่าที่จะทําได้ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วก็จะถึงจุดหมายปลายทาง เราไปบังคับกันไม่ได้หรอกของพวกนี้
เหมือนเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเร่งให้เขาออกออกผลแค่วันปลูกวันเดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยการดูแล การประพฤติวัตรปฏิบัติ จิตก็เหมือนกัน เราต้องอาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยการทําความเข้าใจที่ถูกต้อง อาศัยการวิเคราะห์ การละกิเลส แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความจริงใจต่อตัวเราเองหรือเปล่า เรามีสัจจะกับตัวเราหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือเปล่า การกระทําของเราถึงพร้อมหรือเปล่า
แต่ละวันเราต้องตื่น ตื่นขึ้นมาแล้วต้องดู ดูว่าใจของเราไปอย่างไร มาอย่างไร เราดับ เราควบคุมได้หรือไม่ ก่อนที่เราจะเข้านอนอีก เราก็ต้องตรวจย้อนดูตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ว่าเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่ครั้ง เหตุภายนอกมาทําให้ใจของเราเกิดได้อย่างไร ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก หาที่กายที่ใจของเรา สติปัญญานี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เป็นครูบาอาจารย์หมั่นพร่ำสอนเราตลอดเวลา จะไปเที่ยวให้แต่คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน มันไปไม่ถึงไหนหรอก
เราพยายามเจริญสติเข้ามาสอนเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา หาความเป็นกลาง สร้างความเป็นกลาง หาความเป็นกลางของใจให้เจอ เขาเกิดตรงไหน เขาเริ่มก่อตัวตรงไหน เราก็ดับตรงนั้นแหละ ส่วนมากเขาไปซะจนเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเรื่องเป็นราวยังไม่พอ เหตุจากภายนอกอีก แก้ไขภายนอกยังไม่พอ มาดับภายในก็ยังไม่ได้ เราต้องแก้ไขข้างนอกด้วย ดับทั้งข้างใน ดับหยุดๆ ระงับยับยั้งให้มันสั้นลงๆ จนกว่ารู้ที่ฐานของใจ มันก่อตัวที่ฐานของใจนั่นแหละ เราดับกําลังส่งมันก็ไม่มี มันก็จะเข้าถึงตัวใจ ตัวใจมันก็ไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง เพราะว่าเขาเป็นอากาศธาตุ แต่ความรู้สึกรับรู้ตรงนั้นมันมีอยู่
ถ้าศึกษาไม่ละเอียด สติปัญญาไม่แหลมคม ยากที่จะเข้าใจ เพราะว่ากิเลสต่างๆ มันห่อหุ้มเอาไว้เยอะ โลกธรรมก็ห่อหุ้มเอาไว้ ความคิด อารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เขาห่อหุ้มเอาไว้ นิวรณธรรม มลทิน ยิ่งขุดเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทําความเข้าใจ เราคอยละให้ออกจากใจของเราให้มันหมด ก็ต้องพยายาม เราไม่เข้าถึงวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องเข้าถึง เราละไม่ได้วันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องละได้ ตราบใดที่เรายังมีความเพียรอยู่ มันละไม่ได้หมดก็ไปละเอาภพหน้า ไปต่อไปสานต่อเอาภพหน้านั่นแหละ
หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เป็นหน้าที่ของเราทุกคน ไม่ใช่ว่าหน้าที่ของคนอื่น เป็นหน้าที่ของตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ยิ่งเรามาอยู่ด้วยกันหลายๆ คน เราต้องมีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละอย่างเยี่ยม อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองทั้งนั้น ไม่ใช่ว่างอมืองอเท้า มีแต่ความเกียจคร้าน สะสมตั้งแต่ความเกียจคร้านมากขึ้นๆ เสียดายเวลาๆ เสียดายในหนทางที่จะเกิด เราต้องพยายามนะ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ เราก็ต้องพยายามรีบทํารีบ สร้างเสีย ให้เกิดประโยชน์ใ ห้เกิดอานิสงส์ ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ เราก็จะอยู่ดีมีความสุข
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่ทําทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็พยายามทําทุกอย่างให้ทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเองให้ไปได้เร็วได้ไว สภาพร่างกายของหลวงพ่อก็ย่ำแย่เต็มทีอยู่แล้ว ก็แย่มาตั้งนานแล้วแหละ ก็อาศัยยา ฉีดยามาตลอดเวลานะทุกวัน ทั้งทานยา ฉันยา ร่างกายก็อยู่เนื่องด้วยยา ถ้าขาดยาก็คงจะไม่รู้จะไปวันไหน ก็พยายามประคับประคอง ขณะที่ยังมีกําลังอยู่ก็พยายามสร้างประโยชน์ให้กับทุกคน เพื่อให้เกิดประโยชน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ แต่สภาพความเป็นจริงแล้ว มันก็อาศัยอยู่เกี่ยวเนื่องด้วยยา บางวันก็หนัก บางวันก็พอทุเลา ต้องอาศัยได้ฉีดยาทุกวัน ฉันยาทุกวัน ประคับประคองเขาเอาไว้ ถ้าถึงเวลาเขาคงจะแตกจะดับ แต่ก็ไม่ได้เสียดายอาลัยอาวรณ์อะไร เพราะว่าเราเตรียมพร้อมมาตั้งนานแล้ว
ขณะที่ยังมีลมหายใจ ก็จะพยายามสร้างประโยชน์ให้กับทุกคน เพื่อที่จะได้อยู่ดีมีความสุข ยิ่งมาอยู่ด้วยกันก็พยายามสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ให้ได้เยอะๆ เท่าที่จะทําได้ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ต่างคนก็ต่างอยู่ด้วยกันด้วยพรหมวิหาร เคารพกันโดยธรรม มีอะไรก็ช่วยกันแก้ไข ความเป็นระเบียบเรียบร้อย บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นแล้วก็หนักสถานที่ หนักคนอื่น ก็ให้พิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจกันนะ
ความหมายของคําว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ เป็นอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ใจของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักพยายามควบคุม พยายามดับระงับยับยั้งให้เขาอยู่ในความปกติ อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร เราก็ต้องพยายาม พยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน รู้จิต รู้ความปกติให้ชัดเจน รู้ลักษณะอาการของความคิดให้ชัดเจน รู้ลักษณะความหมายแล้วก็รู้จักชื่อของเขา เห็นลักษณะหน้าตาอาการของเขา แล้วก็ให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็ให้รู้ความหมายนั้นๆ เราก็จะเห็น มองเห็นชัดเจน ใจเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม สติของเราตั้งมั่นขึ้นมาจนเอาไปใช้ได้ เอาไปวิเคราะห์ได้ จนไม่ได้ฝึก
ช่วงใหม่ๆ ต้องฝึก ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จนรู้ชัดเจน การควบคุมจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับ ใจของเรามีความยินดียินร้าย ใจของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักดับ แม้แต่การขบการฉัน การรับประทาน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก อันนี้เป็นหนังเป็นหนังที่ยาว ที่จะต้องตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามแก้ไข จนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ จนกระทั่งใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ มองเห็นหนทางเดินนั่นแหละ
อย่าพากันเกียจคร้าน อยู่ที่ไหนเราก็พยายามดูตัวเรา แก้ไขเรา แก้ไขใจเรา แก้ไขกายของเรา แก้ไขสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ไปอยู่ที่โน่นฉันจะเข้าใจในธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะเข้าใจในธรรม ถ้าเราไม่ทําความเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรมันก็เหมือนเดิม เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร ยังทั้งภายนอกภายในให้เกิดประโยชน์ ภายนอกเราก็มีความเสียสละ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่งอมืองอเท้า ไม่เกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ มีความเป็นระเบียบทั้งภายนอก สมมติความเป็นอยู่ของเรา อะไรเรายังติดขัดอยู่ เราก็รีบแก้ไขเสีย พยายามแก้ไขให้ดี ทางด้านจิตใจ เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ ใจของเรา มีความโอบอ้อมอารีหรือไม่ มีความเสียสละ มีพรมวิหาร มีความเมตตา หรือว่ามีความตระหนี่เหนียวแน่น หรือว่ามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามหมั่นขัด หมั่นเกลา กระหนาบแล้วกระหนาบอีก หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
สติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันต้องชัดเจน สติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราต้องสร้างขึ้นมา ใหม่ๆเนี่ยต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาแล้วพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจจะเกิด เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน ความคิดกับใจเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะอาการ เห็นการเกิดการดับของใจกับอาการของใจเข้าไปรวมกัน
ถ้าเราสังเกตทันปุ๊บ เขาก็จะแยกออกจากกัน ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ เขาแยกออกจากกันได้ เราก็จะเข้าใจภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในเรื่องของความว่าง เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติวิมุตติ ตามทําความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในเรื่องของอริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐ ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ใจส่งออกไปภายนอกเพราะสาเหตุอะไร การดับ การละ การแยก การคลาย การตามดู เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของตัวเรา ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เรารู้อยู่ แต่การแยก การคลายเราไม่มี เรารู้อยู่เฉพาะในภาพรวม เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เหมือนกับเชือกมันมีเส้นเดียว แต่มีอยู่ห้าเกลียว เราก็มองเห็นเป็นเชือกอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าเกลียวไหนๆ เป็นอย่างไร
กายของเราก็เหมือนกัน มีอยู่ 5 ขันธ์ 5 กอง มันรวมกันอยู่ อยู่ในกายเนื้อ จนมีตัววิญญาณเข้ามาครอบครอง เข้ามาสร้างภพสร้างชาติตรงนี้อยู่ เราถึงได้เจริญสติเข้าไปสังเกตตัววิญญาณของเรา บางคนบางท่านก็เรื่องวิญญาณ บางคนบางท่านก็เรื่องใจ เรื่องจิต ในหลักธรรมก็คือตัววิญญาณนั่นแหละ วิญญาณเป็นอาการหนึ่งอยู่ในขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรม แล้วก็อาการของวิญญาณอีก ประกอบด้วยรูปขึ้นมาอีก เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดสังเกตให้ละเอียดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราก็สร้างความรู้ตัวปุ๊บ กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ ตัววิญญาณของเรานั้นเป็นทางผ่านเข้าถึงวิญญาณของเรา
เราก็ต้องทําหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็พยายามอยู่ด้วยกันด้วยความรักความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ช่วยกัน ช่วยกันทำ แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง พยายามสร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สตินั่นแหละเป็นที่พึ่งของใจ กายก็พึ่งอาศัยของสมมติ ในสิ่งที่เราเข้ามายุ่งเกี่ยว ในสิ่งที่เราเข้ามาทํานี่แหละ สมมติภายนอกโลกธรรมนี่แหล่ะ จะมาพึ่งหลวงพ่อไม่ได้นะ หลวงพ่อให้ที่พึ่งได้เฉพาะเพียงสมมติเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เราต้องพึ่งตัวเรา แก้ไขตัวเรา หลวงพ่อก็อนุเคราะห์ให้ในความเป็นอยู่ ให้อยู่ดีมีความสุข จะได้ประพฤติวัตรปฏิบัติขัดเกลา ดูจิตใจของเรา ไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
เราพยายามสร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราคือสติปัญญา ทางภายนอกสมมติก็พึ่งอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ เราต้องเจริญสติเข้าไปละกิเลส เข้าไปคลายความหลง เข้าไปดับความเกิดของใจของเราให้หมดจด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ ที่มีอยู่ในใจของเรา เราต้องค้นคว้าศึกษา ทําความเข้าใจให้หมดจดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือนั่นแหละถึงจะได้อยู่ดีมีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ความจริงนั้นมีกันทุกคน สัจธรรมนั้นมีกันทุกคน ตัวใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดกับใจก็รวมกันอยู่ แต่กําลังสติมีน้อยเท่านั้นเอง ที่ยังขาดการจำแนกแจกแจง เพียงแค่ระดับของสมมติก็ยังแก้ไม่ให้ได้ราบรื่น เราต้องพยายามยังสมมติของเราให้ราบรื่น ส่งผลถึงวิมุตติ ถึงทางด้านจิตใจ ตราบใดที่สมมติยังไม่ราบรื่น เพราะวิบากกรรมสมมติก็ยังมีอยู่ ก็ค่อยแก้ไขกันไปเท่าที่จะทําได้ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วก็จะถึงจุดหมายปลายทาง เราไปบังคับกันไม่ได้หรอกของพวกนี้
เหมือนเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเร่งให้เขาออกออกผลแค่วันปลูกวันเดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยการดูแล การประพฤติวัตรปฏิบัติ จิตก็เหมือนกัน เราต้องอาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยการทําความเข้าใจที่ถูกต้อง อาศัยการวิเคราะห์ การละกิเลส แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความจริงใจต่อตัวเราเองหรือเปล่า เรามีสัจจะกับตัวเราหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือเปล่า การกระทําของเราถึงพร้อมหรือเปล่า
แต่ละวันเราต้องตื่น ตื่นขึ้นมาแล้วต้องดู ดูว่าใจของเราไปอย่างไร มาอย่างไร เราดับ เราควบคุมได้หรือไม่ ก่อนที่เราจะเข้านอนอีก เราก็ต้องตรวจย้อนดูตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ว่าเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่ครั้ง เหตุภายนอกมาทําให้ใจของเราเกิดได้อย่างไร ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก หาที่กายที่ใจของเรา สติปัญญานี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เป็นครูบาอาจารย์หมั่นพร่ำสอนเราตลอดเวลา จะไปเที่ยวให้แต่คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน มันไปไม่ถึงไหนหรอก
เราพยายามเจริญสติเข้ามาสอนเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา หาความเป็นกลาง สร้างความเป็นกลาง หาความเป็นกลางของใจให้เจอ เขาเกิดตรงไหน เขาเริ่มก่อตัวตรงไหน เราก็ดับตรงนั้นแหละ ส่วนมากเขาไปซะจนเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเรื่องเป็นราวยังไม่พอ เหตุจากภายนอกอีก แก้ไขภายนอกยังไม่พอ มาดับภายในก็ยังไม่ได้ เราต้องแก้ไขข้างนอกด้วย ดับทั้งข้างใน ดับหยุดๆ ระงับยับยั้งให้มันสั้นลงๆ จนกว่ารู้ที่ฐานของใจ มันก่อตัวที่ฐานของใจนั่นแหละ เราดับกําลังส่งมันก็ไม่มี มันก็จะเข้าถึงตัวใจ ตัวใจมันก็ไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง เพราะว่าเขาเป็นอากาศธาตุ แต่ความรู้สึกรับรู้ตรงนั้นมันมีอยู่
ถ้าศึกษาไม่ละเอียด สติปัญญาไม่แหลมคม ยากที่จะเข้าใจ เพราะว่ากิเลสต่างๆ มันห่อหุ้มเอาไว้เยอะ โลกธรรมก็ห่อหุ้มเอาไว้ ความคิด อารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เขาห่อหุ้มเอาไว้ นิวรณธรรม มลทิน ยิ่งขุดเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทําความเข้าใจ เราคอยละให้ออกจากใจของเราให้มันหมด ก็ต้องพยายาม เราไม่เข้าถึงวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องเข้าถึง เราละไม่ได้วันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องละได้ ตราบใดที่เรายังมีความเพียรอยู่ มันละไม่ได้หมดก็ไปละเอาภพหน้า ไปต่อไปสานต่อเอาภพหน้านั่นแหละ
หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เป็นหน้าที่ของเราทุกคน ไม่ใช่ว่าหน้าที่ของคนอื่น เป็นหน้าที่ของตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ยิ่งเรามาอยู่ด้วยกันหลายๆ คน เราต้องมีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละอย่างเยี่ยม อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองทั้งนั้น ไม่ใช่ว่างอมืองอเท้า มีแต่ความเกียจคร้าน สะสมตั้งแต่ความเกียจคร้านมากขึ้นๆ เสียดายเวลาๆ เสียดายในหนทางที่จะเกิด เราต้องพยายามนะ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ เราก็ต้องพยายามรีบทํารีบ สร้างเสีย ให้เกิดประโยชน์ใ ห้เกิดอานิสงส์ ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ เราก็จะอยู่ดีมีความสุข
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่ทําทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็พยายามทําทุกอย่างให้ทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเองให้ไปได้เร็วได้ไว สภาพร่างกายของหลวงพ่อก็ย่ำแย่เต็มทีอยู่แล้ว ก็แย่มาตั้งนานแล้วแหละ ก็อาศัยยา ฉีดยามาตลอดเวลานะทุกวัน ทั้งทานยา ฉันยา ร่างกายก็อยู่เนื่องด้วยยา ถ้าขาดยาก็คงจะไม่รู้จะไปวันไหน ก็พยายามประคับประคอง ขณะที่ยังมีกําลังอยู่ก็พยายามสร้างประโยชน์ให้กับทุกคน เพื่อให้เกิดประโยชน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ แต่สภาพความเป็นจริงแล้ว มันก็อาศัยอยู่เกี่ยวเนื่องด้วยยา บางวันก็หนัก บางวันก็พอทุเลา ต้องอาศัยได้ฉีดยาทุกวัน ฉันยาทุกวัน ประคับประคองเขาเอาไว้ ถ้าถึงเวลาเขาคงจะแตกจะดับ แต่ก็ไม่ได้เสียดายอาลัยอาวรณ์อะไร เพราะว่าเราเตรียมพร้อมมาตั้งนานแล้ว
ขณะที่ยังมีลมหายใจ ก็จะพยายามสร้างประโยชน์ให้กับทุกคน เพื่อที่จะได้อยู่ดีมีความสุข ยิ่งมาอยู่ด้วยกันก็พยายามสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ให้ได้เยอะๆ เท่าที่จะทําได้ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ต่างคนก็ต่างอยู่ด้วยกันด้วยพรหมวิหาร เคารพกันโดยธรรม มีอะไรก็ช่วยกันแก้ไข ความเป็นระเบียบเรียบร้อย บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นแล้วก็หนักสถานที่ หนักคนอื่น ก็ให้พิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจกันนะ