หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 031
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 031
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง ตื่นขึ้นมาปุ๊บความรู้ตัวของเราต่อเนื่องปั๊บ รู้ลมหายใจ รู้ความปกติ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ จนกระทั่งถึงวาระเวลาเดี๋ยวนี้ จะขบจะฉันเราก็ต้องพิจารณาดู กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา
กายของเราหิว กายของเราต้องการอาหาร ใจของเราเกิดความอยากหรือไม่ เราก็พยายามรู้จัก ควบคุมรู้จักดับ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ขาดการพิจารณา จะไปคอยเอาตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ เราก็ต้องช่วยกันดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ขยะเห็นที่ไหนก็พยายามช่วยกันเก็บ
คนเราก็ต่างจิตต่างวาระ สภาวะจิตก็ต่างกัน บางคนก็จิตสูงบางคนก็จิตต่ำ จะฝึกฝนตนเองเราต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา สอนตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าสอนเราไม่ได้เราอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนให้ ไม่มีประโยชน์หรอก ต้องรู้จักสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ได้ยิน ได้รู้แนวทางแล้วก็ไปประพฤติไปปฏิบัติ การเจริญสติ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจ การศึกษาค้นคว้า ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้สอนให้หน่อยชี้แนะให้หน่อย อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแนวทางเท่านั้น ถ้าเราไม่สอนตัวเราให้เป็นแล้วอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนเลยน่าอาย ต้องสอนตัวเราเอง แจงให้ตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา จากน้อยๆ ไปหามากๆ
ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย เรื่องการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเอง ตื่นขึ้นมาลักษณะของสติ รู้กายรู้จิต รู้จักภาระรู้จักหน้าที่ แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรที่เพียบพร้อมหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน รีบสำรวจตรวจตราดูสิ การทำบุญให้ทานนั้น พวกเรามีโอกาสทำกันตลอดเวลาผ่านทางด้านวัตถุทาน มีโอกาสทำ การสร้างอานิสงส์ทางด้านวัตถุเราก็มีโอกาสได้ทำ แต่เรื่องการขัดเกลากิเลสภายในนี่ก็เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นเขาเป็นเรื่องของตัวเราเอง เราไม่เข้าใจวิธีหรือแนวทาง พระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย ครูบาอาจารย์ก็เยอะ
บุคคลมีปัญญานั้น เพียงแค่มองแป๊บเดียวเท่านั้นแหละเดินไปรออยู่ฝั่งนิพพานโน่น ไม่ต้องไปพูดมาก คนที่จะไม่เอาพูดจนปากเปียกปากแฉะมันก็ไม่เอา เพราะว่าวิบากกรรมมันยังไม่ถึง อานิสงส์ผลบุญอานิสงส์ผลบารมียังไม่ถึงวาระเวลา ก็ต้องได้สร้างอานิสงส์บุญบารมีระดับของโลกิยะให้เต็มเปี่ยม
ความเสียสละก็ไม่มี ความรับผิดชอบก็ไม่มี ความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี อยากจะเอาตั้งแต่ธรรม อยากจะรู้ตั้งแต่ธรรม มันจะไปได้อะไรได้ตั้งแต่ความหลง แบกกายของเราไปเป็นภาระให้คนโน้นคนนี้ กายของเราเป็นภาระให้กับใจตัวเองก็ยังไม่พอ ยังไม่รู้จัก แล้วก็เป็นภาระให้กับสถานที่ให้กับคนโน้นคนนี้ หนักนะ ถ้าคนจะเอาธรรมอยู่คนเดียว ถ้ามีใจเป็นบุญเป็นกุศลใจน้อมเข้ามา อยู่คนเดียวก็รู้ก็เข้าใจ นอกนั้นก็มีตั้งแต่การสร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ไว้ให้กับสมมติไว้ให้กับโลก
อย่าลืมนะ พวกชีพวกโยมพากันไปเก็บมะเฟืองสุกให้หลวงพ่อด้วย จะได้เอาไปทำน้ำอีเอ็มไปบำบัดน้ำเสีย ไม่อย่างนั้นก็เละเน่าเสียทิ้ง คนเราขาดการพิจารณา
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักระยะ ถ้าเราเข้าใจวิธีแล้วก็ให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ อันนี้เป็นเพียงแค่ย้ำเป็นเพียงแค่เตือน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ลักษณะความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกนี้เรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
สัมปชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อมยังไม่พอ ลึกลงไปแล้วก็รู้ลักษณะของจิต จิตที่ปกติเป็นอย่างไร จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร จิตที่เกิดกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่มีความกังวลมีความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร เราก็รู้จักแก้ไข ลึกลงไปอีกความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเรียกว่าอาการของจิตกับตัวจิตนั้นมันก่อตัวอย่างไร ตัวจิตหรือตัววิญญาณมันเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ตัวนี้แหละสำคัญกว่าเพื่อน ถ้าสังเกตเห็นแล้วมันก็จะคลาย เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้ารู้ไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้
นอกจากบุคคลที่มีการเจริญสติที่ต่อเนื่องถึงจะเข้าถึงจะเห็นตรงนี้ บางทีบางครั้งก็ไม่เห็นนอกจากจะเจริญสติให้ต่อเนื่อง นอกจากสบโอกาสสบจังหวะที่รู้เท่าทันตรงนี้ดวงวิญญาณก็จะคลาย พอวิญญาณคลายปุ๊บเราก็จะเห็น เข้าใจในภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในหลักคำว่า อัตตาอนัตตา
พอใจมันคลายปุ๊บมันก็พลิกมันก็หงายเขาเรียกว่า ‘อัตตากับอนัตตา’ ใจก็จะว่างโล่งโปร่ง เข้าใจสมมติวิมุตติ เข้าใจเรื่องการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ ของกองสังขารของตัวเราเอง เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ทันที แล้วก็ตามทำความเข้าใจทุกเรื่องอีก จนไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาอีก แล้วดับความเกิดละกิเลสให้มันหมดจดอีก
นอกนั้นก็เป็นเรื่องสติปัญญาเข้าไปบริหารเข้าไปทำหน้าที่ อันนี้ตัววิญญาณมาอาศัยกายอยู่นะ มาสร้างภพสร้างชาติ มาสร้างอยู่ในเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ทีนี้เรามาทำความเข้าใจตรงนี้ อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล มันมีหมดนั่นแหละถ้าเราศึกษาค้นคว้า ถึงเราเดินปัญญาข้างในไม่ได้ ก็ขอให้น้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศล ละอกุศลเจริญกุศลเข้าไป ถึงวาระเวลามันก็จะเต็มเปี่ยม ก็ต้องพยายามกัน
ธรรมะของพระพุทธองค์ต้องเป็นบุคคลที่มีศรัทธาน้อมเข้ามา แล้วก็เจริญสติให้รู้ให้เห็นจริงๆ ถึงจะเข้าใจ นี่ถ้าเปรียบเสมือนกับเป็นวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว กายของเรานี้มีอะไร มีอย่างไรบ้าง ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส กิเลสเกิดที่ตรงไหน ตัววิญญาณเป็นลักษณะอย่างไร ความว่างเป็นลักษณะอย่างไร มันมีหมด อะไรคือทรัพย์ภายในอะไรคือทรัพย์ภายนอก ขอให้พากันเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์เถอะ สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกหรือว่าอานาปานสติพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน จะเอาตั้งแต่ตัวบุญจะเอาตั้งแต่ธรรมอันใหญ่ๆ ตัวเล็กๆ น้อยๆ พวกเราขาดการทำความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว ลักษณะความรู้ตัวเป็นอย่างไร ลักษณะสติปัญญาที่เราเอาไปใช้เป็นอย่างไร มันมีหมดนั่นแหละ พยายามทำ พยายามดูรู้ให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เตือนแค่กระตุ้นเท่านั้นเอง
กายของเราหิว กายของเราต้องการอาหาร ใจของเราเกิดความอยากหรือไม่ เราก็พยายามรู้จัก ควบคุมรู้จักดับ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ขาดการพิจารณา จะไปคอยเอาตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ เราก็ต้องช่วยกันดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ขยะเห็นที่ไหนก็พยายามช่วยกันเก็บ
คนเราก็ต่างจิตต่างวาระ สภาวะจิตก็ต่างกัน บางคนก็จิตสูงบางคนก็จิตต่ำ จะฝึกฝนตนเองเราต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา สอนตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าสอนเราไม่ได้เราอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนให้ ไม่มีประโยชน์หรอก ต้องรู้จักสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ได้ยิน ได้รู้แนวทางแล้วก็ไปประพฤติไปปฏิบัติ การเจริญสติ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจ การศึกษาค้นคว้า ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้สอนให้หน่อยชี้แนะให้หน่อย อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแนวทางเท่านั้น ถ้าเราไม่สอนตัวเราให้เป็นแล้วอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนเลยน่าอาย ต้องสอนตัวเราเอง แจงให้ตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา จากน้อยๆ ไปหามากๆ
ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย เรื่องการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเอง ตื่นขึ้นมาลักษณะของสติ รู้กายรู้จิต รู้จักภาระรู้จักหน้าที่ แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรที่เพียบพร้อมหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน รีบสำรวจตรวจตราดูสิ การทำบุญให้ทานนั้น พวกเรามีโอกาสทำกันตลอดเวลาผ่านทางด้านวัตถุทาน มีโอกาสทำ การสร้างอานิสงส์ทางด้านวัตถุเราก็มีโอกาสได้ทำ แต่เรื่องการขัดเกลากิเลสภายในนี่ก็เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นเขาเป็นเรื่องของตัวเราเอง เราไม่เข้าใจวิธีหรือแนวทาง พระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย ครูบาอาจารย์ก็เยอะ
บุคคลมีปัญญานั้น เพียงแค่มองแป๊บเดียวเท่านั้นแหละเดินไปรออยู่ฝั่งนิพพานโน่น ไม่ต้องไปพูดมาก คนที่จะไม่เอาพูดจนปากเปียกปากแฉะมันก็ไม่เอา เพราะว่าวิบากกรรมมันยังไม่ถึง อานิสงส์ผลบุญอานิสงส์ผลบารมียังไม่ถึงวาระเวลา ก็ต้องได้สร้างอานิสงส์บุญบารมีระดับของโลกิยะให้เต็มเปี่ยม
ความเสียสละก็ไม่มี ความรับผิดชอบก็ไม่มี ความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี อยากจะเอาตั้งแต่ธรรม อยากจะรู้ตั้งแต่ธรรม มันจะไปได้อะไรได้ตั้งแต่ความหลง แบกกายของเราไปเป็นภาระให้คนโน้นคนนี้ กายของเราเป็นภาระให้กับใจตัวเองก็ยังไม่พอ ยังไม่รู้จัก แล้วก็เป็นภาระให้กับสถานที่ให้กับคนโน้นคนนี้ หนักนะ ถ้าคนจะเอาธรรมอยู่คนเดียว ถ้ามีใจเป็นบุญเป็นกุศลใจน้อมเข้ามา อยู่คนเดียวก็รู้ก็เข้าใจ นอกนั้นก็มีตั้งแต่การสร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ไว้ให้กับสมมติไว้ให้กับโลก
อย่าลืมนะ พวกชีพวกโยมพากันไปเก็บมะเฟืองสุกให้หลวงพ่อด้วย จะได้เอาไปทำน้ำอีเอ็มไปบำบัดน้ำเสีย ไม่อย่างนั้นก็เละเน่าเสียทิ้ง คนเราขาดการพิจารณา
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักระยะ ถ้าเราเข้าใจวิธีแล้วก็ให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ อันนี้เป็นเพียงแค่ย้ำเป็นเพียงแค่เตือน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ลักษณะความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกนี้เรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
สัมปชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อมยังไม่พอ ลึกลงไปแล้วก็รู้ลักษณะของจิต จิตที่ปกติเป็นอย่างไร จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร จิตที่เกิดกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่มีความกังวลมีความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร เราก็รู้จักแก้ไข ลึกลงไปอีกความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเรียกว่าอาการของจิตกับตัวจิตนั้นมันก่อตัวอย่างไร ตัวจิตหรือตัววิญญาณมันเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ตัวนี้แหละสำคัญกว่าเพื่อน ถ้าสังเกตเห็นแล้วมันก็จะคลาย เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้ารู้ไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้
นอกจากบุคคลที่มีการเจริญสติที่ต่อเนื่องถึงจะเข้าถึงจะเห็นตรงนี้ บางทีบางครั้งก็ไม่เห็นนอกจากจะเจริญสติให้ต่อเนื่อง นอกจากสบโอกาสสบจังหวะที่รู้เท่าทันตรงนี้ดวงวิญญาณก็จะคลาย พอวิญญาณคลายปุ๊บเราก็จะเห็น เข้าใจในภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในหลักคำว่า อัตตาอนัตตา
พอใจมันคลายปุ๊บมันก็พลิกมันก็หงายเขาเรียกว่า ‘อัตตากับอนัตตา’ ใจก็จะว่างโล่งโปร่ง เข้าใจสมมติวิมุตติ เข้าใจเรื่องการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ ของกองสังขารของตัวเราเอง เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ทันที แล้วก็ตามทำความเข้าใจทุกเรื่องอีก จนไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาอีก แล้วดับความเกิดละกิเลสให้มันหมดจดอีก
นอกนั้นก็เป็นเรื่องสติปัญญาเข้าไปบริหารเข้าไปทำหน้าที่ อันนี้ตัววิญญาณมาอาศัยกายอยู่นะ มาสร้างภพสร้างชาติ มาสร้างอยู่ในเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ทีนี้เรามาทำความเข้าใจตรงนี้ อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล มันมีหมดนั่นแหละถ้าเราศึกษาค้นคว้า ถึงเราเดินปัญญาข้างในไม่ได้ ก็ขอให้น้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศล ละอกุศลเจริญกุศลเข้าไป ถึงวาระเวลามันก็จะเต็มเปี่ยม ก็ต้องพยายามกัน
ธรรมะของพระพุทธองค์ต้องเป็นบุคคลที่มีศรัทธาน้อมเข้ามา แล้วก็เจริญสติให้รู้ให้เห็นจริงๆ ถึงจะเข้าใจ นี่ถ้าเปรียบเสมือนกับเป็นวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว กายของเรานี้มีอะไร มีอย่างไรบ้าง ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส กิเลสเกิดที่ตรงไหน ตัววิญญาณเป็นลักษณะอย่างไร ความว่างเป็นลักษณะอย่างไร มันมีหมด อะไรคือทรัพย์ภายในอะไรคือทรัพย์ภายนอก ขอให้พากันเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์เถอะ สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกหรือว่าอานาปานสติพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน จะเอาตั้งแต่ตัวบุญจะเอาตั้งแต่ธรรมอันใหญ่ๆ ตัวเล็กๆ น้อยๆ พวกเราขาดการทำความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว ลักษณะความรู้ตัวเป็นอย่างไร ลักษณะสติปัญญาที่เราเอาไปใช้เป็นอย่างไร มันมีหมดนั่นแหละ พยายามทำ พยายามดูรู้ให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เตือนแค่กระตุ้นเท่านั้นเอง