หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 045
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 045
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน อดทนนั่งสักพักสักระยะหนึ่ง อดทนต่อทุกขเวทนาทางด้านร่างกาย นั่งนานๆ ร่างกายของเราก็เกิดเจ็บปวดตรงนั้นบ้างปวดตรงนี้บ้าง นี่เขาเรียกว่า ‘ทุกขเวทนา’ ทางด้านร่างกาย นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ
ถ้าเราไปเพ่งสมองก็จะตึงเครียด ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของเราหน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก เข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ เวลาลมสัมผัสกระทบปลายจมูกก็มีความรู้สึกรับรู้ว่า ‘พุท’ ออกก็มีความรู้สึกรับรู้ว่า ‘โธ’ ถ้าเราไม่มีความรู้สึกรับรู้ที่เด่นชัด ถ้าเราไปท่องไปบ่น ‘พุทโธๆๆๆ’ นี่ก็เป็นการท่องบ่นเป็นนกแก้วนกขุนทองทันที
เราต้องพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ ถึงจะช้าก็ต้องอดทนอดกลั้น จิตของทุกดวงนั้นก็มีบุญ ฝักใฝ่ในบุญ แต่ละวันสร้างตั้งแต่บุญสร้างตั้งกุศลอยู่แล้ว อานิสงส์บารมีของทุกคนมีกันอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มี ถ้าไม่มีไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน
บางคนบางท่านก็ทำภาระหน้าที่สมมติบริบูรณ์เรียบร้อย บางคนบางท่านก็ยังไม่เรียบร้อย เราก็ต้องพยายาม นั่นแหละคือการสร้างบารมีทางสมมติ อานิสงส์ทางสมมติก็ไม่ได้ลำบาก การศึกษาการเล่าเรียนปัญญาทางโลก เราก็พอที่จะน้อมนำเข้าไปทำความเข้าใจกับการเกิดการดับของจิตของเราได้ ฐานการก่อตัวของจิต เขาเกิดอย่างไร ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร
นี่แหละ ตั้งแต่เช้าขึ้นมา จิตของเราปกติได้ยาวนานหรือไม่ จิตของเราสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น สงบจากความคิด จากอารมณ์ต่างๆ จิตของเราส่งไปภายนอกสักกี่เที่ยวสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความรู้ตัวหรือว่าสติของเราพลั้งเผลอสักกี่อย่าง บางคนไม่ได้สร้างเลย ปัญญาเก่าความคิดเก่านั้นมีกันเต็มเปี่ยม แต่ปัญญาใหม่ที่จะเข้าไปสำรวจจิตเราต้องสร้างขึ้นมา
ต้องเป็นคนขยันหมั่นหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจในเรื่องสภาวธรรม ถ้าเราเกียจคร้านก็ยากที่จะเข้าใจ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน ขยันหมั่นเพียรในการสร้างบารมีให้กับตัวเราเอง ความรับผิดชอบของเรามีสูงหรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ มองโลกในทางที่ดีคิดดี ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความจริงใจต่อตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา รู้จักแก้ไขปัญหาให้เร็วให้ไว
นี่แหละ ก็เป็นการสร้างบารมี อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสกันทุกคน ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำจริงๆ หรือไม่เท่านั้นเอง เราจะเอาจริงๆ หรือไม่เท่านั้นเอง
ในหลักธรรมแล้วแม้แต่ความอยากนิดเดียว ท่านก็ยังให้ละ แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม ท่านก็ยังให้ละให้ดับ การดับ การละ การทำความเข้าใจ นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติ การแยกรูปแยกนาม อะไรคือก้อนรูป อะไรคือส่วนนามธรรม
ลึกลงไปอีก ส่วนนามเราต้องแยกอีก คือจิตกับความคิดเราต้องแยกออกจากกันอีก เห็นให้เป็นกองของใครกองของมัน ขันธ์ของใครขันธ์ของมัน ที่พระพุทธองค์ท่านบอกขันธ์ห้าเป็นของหนัก ก็กายของเรานี่แหละส่วนหนึ่ง ส่วนนามธรรมก็คือความคิด คืออารมณ์กับตัวจิตนั่นแหละส่วนหนึ่ง เราต้องรู้เห็นลักษณะอาการจริงๆ ส่วนมากเราจะรู้ด้วยปัญญาทางโลกีย์ รู้เฉพาะทางตาเนื้อ แต่ความรู้สึกรับรู้ที่แยกออกเป็นกองเป็นขันธ์ตรงนั้น พวกเรายังไม่ค่อยจะสันทัดกันเท่าไร นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ
ถึงยังไม่ถึงวาระเวลานั้น เราก็พยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น แต่ละวันเราได้ทำบุญให้กับตัวเราแล้วยัง เรามีความรับผิดชอบมีความเสียสละ ละความกังวล ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความอิจฉาริษยาออกจากใจของเรา การสังเกต การน้อมสำรวจตรวจตราดู รู้ใจ แก้ไขตัวเองตลอดเวลา นี่แหละคือการปฏิบัติ
เป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่สูง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น รู้จักรับผิดชอบต่อตัวเราเอง แล้วก็รู้จักรับผิดชอบต่อส่วนรวม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร การได้ยินได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่รู้เห็นการก่อตัวการเกิดจริงๆ ขณะที่เขาเกิด เกิดความโลภ เกิดความทะเยอทะยานอยาก หรือเกิดความยินดียินร้าย หรือว่าเกิดกุศลหรือว่าอกุศล เรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีนั่นแหละ มีโอกาสก็ ถ้าเราเข้าใจก็ทำกายให้เป็นวัด ทำบ้านให้เป็นวัด เอาที่ทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เรามาศึกษามาทำความเข้าใจ ไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน้นบ้างทีนี่บ้าง นั่นเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี ไปหาครูบาอาจารย์องค์นั้นบ้างองค์นี้บ้าง อันนั้นเป็นการไปสร้างบารมี ไปหาแนวทาง ถ้าถึงวาระถึงเวลาแล้วเดี๋ยวก็เต็มเดี๋ยวก็อิ่ม
เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ เราปลูกวันนี้เราจะให้เร่งให้เขาออกผลวันนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นดูแลหมั่นรดน้ำหมั่นให้ปุ๋ย ถ้าถึงกาลถึงเวลาเขาเติบโตขึ้นมาเขาก็จะออกดอกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ต้องได้
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราค่อยสร้างสะสมคุณงามความดีไปเล็กๆ น้อยๆ ละกิเลสไปเรื่อยๆ เจริญสติไปเรื่อยๆ หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ถ้าถึงเวลาสติปัญญาของเรามีความเข้มแข็งพอ มีความเต็มอิ่มพอ เขาก็จะแยกรูปแยกนามได้ รู้เห็นตามความเป็นจริง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นอย่างไร คำว่าอนัตตาเป็นอย่างไร คำว่าอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร
ท่านสอนเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์เป็นอย่างไร ลักษณะของทุกข์เป็นอย่างไร คนเราทั่วไปไปมองเห็นตั้งแต่ว่ากายมันทุกข์ จิตมันทุกข์ หนักๆ ถึงจะเป็นทุกข์ การเกิดของจิต การก่อตัวของความคิดของอารมณ์ ความไม่เที่ยง นั่นแหละคือความทุกข์
ความแปรปรวน ร่างกายของเราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากเด็กมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เข้าไปหาความเสื่อม จนกระทั่งถึงวันตาย เราก็ต้องพยายามเอานะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าเราไปเพ่งสมองก็จะตึงเครียด ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของเราหน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก เข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ เวลาลมสัมผัสกระทบปลายจมูกก็มีความรู้สึกรับรู้ว่า ‘พุท’ ออกก็มีความรู้สึกรับรู้ว่า ‘โธ’ ถ้าเราไม่มีความรู้สึกรับรู้ที่เด่นชัด ถ้าเราไปท่องไปบ่น ‘พุทโธๆๆๆ’ นี่ก็เป็นการท่องบ่นเป็นนกแก้วนกขุนทองทันที
เราต้องพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ ถึงจะช้าก็ต้องอดทนอดกลั้น จิตของทุกดวงนั้นก็มีบุญ ฝักใฝ่ในบุญ แต่ละวันสร้างตั้งแต่บุญสร้างตั้งกุศลอยู่แล้ว อานิสงส์บารมีของทุกคนมีกันอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มี ถ้าไม่มีไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน
บางคนบางท่านก็ทำภาระหน้าที่สมมติบริบูรณ์เรียบร้อย บางคนบางท่านก็ยังไม่เรียบร้อย เราก็ต้องพยายาม นั่นแหละคือการสร้างบารมีทางสมมติ อานิสงส์ทางสมมติก็ไม่ได้ลำบาก การศึกษาการเล่าเรียนปัญญาทางโลก เราก็พอที่จะน้อมนำเข้าไปทำความเข้าใจกับการเกิดการดับของจิตของเราได้ ฐานการก่อตัวของจิต เขาเกิดอย่างไร ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร
นี่แหละ ตั้งแต่เช้าขึ้นมา จิตของเราปกติได้ยาวนานหรือไม่ จิตของเราสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น สงบจากความคิด จากอารมณ์ต่างๆ จิตของเราส่งไปภายนอกสักกี่เที่ยวสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความรู้ตัวหรือว่าสติของเราพลั้งเผลอสักกี่อย่าง บางคนไม่ได้สร้างเลย ปัญญาเก่าความคิดเก่านั้นมีกันเต็มเปี่ยม แต่ปัญญาใหม่ที่จะเข้าไปสำรวจจิตเราต้องสร้างขึ้นมา
ต้องเป็นคนขยันหมั่นหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจในเรื่องสภาวธรรม ถ้าเราเกียจคร้านก็ยากที่จะเข้าใจ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน ขยันหมั่นเพียรในการสร้างบารมีให้กับตัวเราเอง ความรับผิดชอบของเรามีสูงหรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ มองโลกในทางที่ดีคิดดี ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความจริงใจต่อตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา รู้จักแก้ไขปัญหาให้เร็วให้ไว
นี่แหละ ก็เป็นการสร้างบารมี อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสกันทุกคน ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำจริงๆ หรือไม่เท่านั้นเอง เราจะเอาจริงๆ หรือไม่เท่านั้นเอง
ในหลักธรรมแล้วแม้แต่ความอยากนิดเดียว ท่านก็ยังให้ละ แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม ท่านก็ยังให้ละให้ดับ การดับ การละ การทำความเข้าใจ นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติ การแยกรูปแยกนาม อะไรคือก้อนรูป อะไรคือส่วนนามธรรม
ลึกลงไปอีก ส่วนนามเราต้องแยกอีก คือจิตกับความคิดเราต้องแยกออกจากกันอีก เห็นให้เป็นกองของใครกองของมัน ขันธ์ของใครขันธ์ของมัน ที่พระพุทธองค์ท่านบอกขันธ์ห้าเป็นของหนัก ก็กายของเรานี่แหละส่วนหนึ่ง ส่วนนามธรรมก็คือความคิด คืออารมณ์กับตัวจิตนั่นแหละส่วนหนึ่ง เราต้องรู้เห็นลักษณะอาการจริงๆ ส่วนมากเราจะรู้ด้วยปัญญาทางโลกีย์ รู้เฉพาะทางตาเนื้อ แต่ความรู้สึกรับรู้ที่แยกออกเป็นกองเป็นขันธ์ตรงนั้น พวกเรายังไม่ค่อยจะสันทัดกันเท่าไร นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ
ถึงยังไม่ถึงวาระเวลานั้น เราก็พยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น แต่ละวันเราได้ทำบุญให้กับตัวเราแล้วยัง เรามีความรับผิดชอบมีความเสียสละ ละความกังวล ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความอิจฉาริษยาออกจากใจของเรา การสังเกต การน้อมสำรวจตรวจตราดู รู้ใจ แก้ไขตัวเองตลอดเวลา นี่แหละคือการปฏิบัติ
เป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่สูง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น รู้จักรับผิดชอบต่อตัวเราเอง แล้วก็รู้จักรับผิดชอบต่อส่วนรวม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร การได้ยินได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่รู้เห็นการก่อตัวการเกิดจริงๆ ขณะที่เขาเกิด เกิดความโลภ เกิดความทะเยอทะยานอยาก หรือเกิดความยินดียินร้าย หรือว่าเกิดกุศลหรือว่าอกุศล เรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีนั่นแหละ มีโอกาสก็ ถ้าเราเข้าใจก็ทำกายให้เป็นวัด ทำบ้านให้เป็นวัด เอาที่ทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เรามาศึกษามาทำความเข้าใจ ไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน้นบ้างทีนี่บ้าง นั่นเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี ไปหาครูบาอาจารย์องค์นั้นบ้างองค์นี้บ้าง อันนั้นเป็นการไปสร้างบารมี ไปหาแนวทาง ถ้าถึงวาระถึงเวลาแล้วเดี๋ยวก็เต็มเดี๋ยวก็อิ่ม
เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ เราปลูกวันนี้เราจะให้เร่งให้เขาออกผลวันนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นดูแลหมั่นรดน้ำหมั่นให้ปุ๋ย ถ้าถึงกาลถึงเวลาเขาเติบโตขึ้นมาเขาก็จะออกดอกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ต้องได้
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราค่อยสร้างสะสมคุณงามความดีไปเล็กๆ น้อยๆ ละกิเลสไปเรื่อยๆ เจริญสติไปเรื่อยๆ หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ถ้าถึงเวลาสติปัญญาของเรามีความเข้มแข็งพอ มีความเต็มอิ่มพอ เขาก็จะแยกรูปแยกนามได้ รู้เห็นตามความเป็นจริง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นอย่างไร คำว่าอนัตตาเป็นอย่างไร คำว่าอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร
ท่านสอนเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์เป็นอย่างไร ลักษณะของทุกข์เป็นอย่างไร คนเราทั่วไปไปมองเห็นตั้งแต่ว่ากายมันทุกข์ จิตมันทุกข์ หนักๆ ถึงจะเป็นทุกข์ การเกิดของจิต การก่อตัวของความคิดของอารมณ์ ความไม่เที่ยง นั่นแหละคือความทุกข์
ความแปรปรวน ร่างกายของเราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากเด็กมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เข้าไปหาความเสื่อม จนกระทั่งถึงวันตาย เราก็ต้องพยายามเอานะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง