หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 010
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 010
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว รู้กายรู้จิตของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย ขณะที่เรากำลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้ อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา
หยุด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ก็จะหยุดไป แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออกเราก็อย่าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งไปจดจ่อมากเกินไป สมองก็ตึง ส่วนบนสมองก็จะตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น
ให้เราเพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็หัดสังเกต หัดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ ให้เกิดความเคยชิน เราไม่เข้าใจหรือว่าความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ เราก็พยายามหัดสร้างบ่อยๆ
ใหม่ๆ ความไม่เคยชินก็อาจจะอึดอัดๆ เราทำจนเป็นธรรมชาติที่สุด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติก็จะตั้งมั่น แล้วก็มีความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า สัมปชัญญะ มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง รู้ตัว รู้กาย และก็รู้ลักษณะของจิต รู้ความปกติ
ธรรมดาของจิตนั้นเขาเกิดส่งไปภายนอกอยู่แล้ว ความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราอยู่แล้ว เรารู้ทันเราก็รู้จักควบคุม จนกว่าจะรู้จิตกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน รู้เท่าทันต้นเหตุ จิตก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม จิตก็จะคลายความหลง จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความคิดที่เกิดๆ ดับๆ ขันธ์ห้าที่เกิดๆ ดับๆ ก็จะเห็นเด่นชัด
ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของตัวเราเอง ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสังเกตกันเท่าไร มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถึงแม้จะคิดพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ ถ้าจิตของเรายังไม่แยกไม่คลาย
ทุกคนก็มีบุญกันอยู่แล้ว มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศลกัน ได้ทำบุญทำทานกันที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง บางคนบางท่านก็ไปประพฤติวัตรไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ อันนั้นเป็นสิ่งที่ดี ขอให้ไปเถอะ ไปสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้น ไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ถ้าเรายังไม่เข้าใจเราก็พยายาม สร้างความเพียรให้มีให้เกิดขึ้นให้มากๆ ให้เป็นทวีคูณ
ถ้าวิบากกรรมสมมติของเราเบาบาง ถ้าถึงวาระเวลา เราก็จะเดินปัญญาได้ ช่วงที่เรายังเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ อันนั้นเป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้กับตัวเรา เป็นการสร้างสะสมบุญ
ไปอยู่ที่ไหนก็ดี ขอให้เราไป ไปฝึกหักปฏิบัติกัน ไม่ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนองค์ไหน ท่านก็สอนเรื่องการเจริญสตินี้แหละ สอนเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่วิธีอุบายอาจจะต่างกันเท่านั้นเอง ขอให้พวกเราพากันทำความเพียรกัน ให้ถึงที่สิ้นสุด ให้ต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต เราต้องทำความเข้าใจ อะไรคือความรู้ตัว หรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องหรือไม่ สติความรู้ตัวเราพลั้งเผลอหรือไม่ การควบคุมจิต เราควบคุมจิตได้ระดับไหน ระดับตั้งแต่ต้น ระดับกลาง ระดับปลาย หรือออกมาทางกายทางวาจา
อะไรคือนามธรรม ซึ่งเกิดๆ ดับๆ เราต้องรู้ลักษณะให้ชัดแจ้ง ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วไม่รู้ความหมายของการฝึกหัดปฏิบัติ เขาพาทำก็ทำ เขาพาเดินก็เดิน เขาพานั่งก็นั่ง อันนั้นเขาเรียกว่าปฏิบัติด้วยการลูบๆ คลำๆ ปฏิบัติด้วยความหลง แต่ใจก็ยังเป็นบุญอยู่ เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้าตัวของเรา
การฝึกหัดปฏิบัติธรรม ไปแสวงหานอกกายหาไม่เจอ เที่ยวไปแสวงที่โน่นที่นี่ก็เพื่อที่จะสร้างประสบการณ์เท่านั้นเอง ตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ต้องเน้นน้อมพิจารณากายพิจารณาจิตของเรา สติที่เราสร้างขึ้นมา ถ้าเราทำความเข้าใจแล้วจะกลายเป็นปัญญา กลายเป็นสติ มหาสติ มหาปัญญา ทำความเข้าใจ ชำระสะสางกิเลส
ถ้าเรารู้จิต เราก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิตเลยก็ได้ สติของเราถ้าไม่อยู่กับจิตก็อยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับกายของเรา ให้จิตของเราตั้งมั่นรับรู้อยู่ภายใน อย่าพากันเกียจคร้าน หมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ จนเป็นอัตโนมัติ จนทำความเข้าใจทั้งภายนอกภายใน
โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น โลกสมมติเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ส่วนจิตของเราก็ต้องพยายามคลายความหลง ละกิเลส ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย เราก็พยายามชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
ในสภาวะเดิมแท้นั้น จิตเดิมแท้นั้นไม่มีกิเลส กิเลสนี้มีมาทีหลัง ความทะเยอทะยานอยากเราก็พยายามดับเสีย อยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ไม่อยากคิด เราก็ต้องพยายามดับ พยายามละเสีย หนุนกำลังสติไปคิดไปพิจารณา อันนี้แหละเป็นตัวปัญญา ที่เราไปใช้ทำหน้าที่แทนจิต
แต่เวลานี้จิตของเราทั้งเกิดส่งออกไปภายนอกด้วย ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตด้วย มันไปด้วยความหลงตรงนั้นอยู่ เพราะเรายังแยกยังคลายไม่ได้ บางครั้งบางคราวจิตของเราก็สงบอยู่ สงบจากกิเลส สงบจากการเกิด แต่เขาก็เป็นลักษณะของจิตที่ยังคว่ำอยู่ เพราะว่าจิตยังไม่ได้แยกรูปแยกนาม แต่ก็ยังดับทุกข์คลายทุกข์ได้ระดับหนึ่ง
เราก็ต้องพยายาม เดินทางของเราไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าเราสร้างบารมีมาดี ถึงวาระเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง จนถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
หยุด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ก็จะหยุดไป แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออกเราก็อย่าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งไปจดจ่อมากเกินไป สมองก็ตึง ส่วนบนสมองก็จะตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น
ให้เราเพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็หัดสังเกต หัดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ ให้เกิดความเคยชิน เราไม่เข้าใจหรือว่าความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ เราก็พยายามหัดสร้างบ่อยๆ
ใหม่ๆ ความไม่เคยชินก็อาจจะอึดอัดๆ เราทำจนเป็นธรรมชาติที่สุด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติก็จะตั้งมั่น แล้วก็มีความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า สัมปชัญญะ มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง รู้ตัว รู้กาย และก็รู้ลักษณะของจิต รู้ความปกติ
ธรรมดาของจิตนั้นเขาเกิดส่งไปภายนอกอยู่แล้ว ความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราอยู่แล้ว เรารู้ทันเราก็รู้จักควบคุม จนกว่าจะรู้จิตกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน รู้เท่าทันต้นเหตุ จิตก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม จิตก็จะคลายความหลง จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความคิดที่เกิดๆ ดับๆ ขันธ์ห้าที่เกิดๆ ดับๆ ก็จะเห็นเด่นชัด
ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของตัวเราเอง ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสังเกตกันเท่าไร มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถึงแม้จะคิดพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ ถ้าจิตของเรายังไม่แยกไม่คลาย
ทุกคนก็มีบุญกันอยู่แล้ว มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศลกัน ได้ทำบุญทำทานกันที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง บางคนบางท่านก็ไปประพฤติวัตรไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ อันนั้นเป็นสิ่งที่ดี ขอให้ไปเถอะ ไปสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้น ไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ถ้าเรายังไม่เข้าใจเราก็พยายาม สร้างความเพียรให้มีให้เกิดขึ้นให้มากๆ ให้เป็นทวีคูณ
ถ้าวิบากกรรมสมมติของเราเบาบาง ถ้าถึงวาระเวลา เราก็จะเดินปัญญาได้ ช่วงที่เรายังเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ อันนั้นเป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้กับตัวเรา เป็นการสร้างสะสมบุญ
ไปอยู่ที่ไหนก็ดี ขอให้เราไป ไปฝึกหักปฏิบัติกัน ไม่ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนองค์ไหน ท่านก็สอนเรื่องการเจริญสตินี้แหละ สอนเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่วิธีอุบายอาจจะต่างกันเท่านั้นเอง ขอให้พวกเราพากันทำความเพียรกัน ให้ถึงที่สิ้นสุด ให้ต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต เราต้องทำความเข้าใจ อะไรคือความรู้ตัว หรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องหรือไม่ สติความรู้ตัวเราพลั้งเผลอหรือไม่ การควบคุมจิต เราควบคุมจิตได้ระดับไหน ระดับตั้งแต่ต้น ระดับกลาง ระดับปลาย หรือออกมาทางกายทางวาจา
อะไรคือนามธรรม ซึ่งเกิดๆ ดับๆ เราต้องรู้ลักษณะให้ชัดแจ้ง ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วไม่รู้ความหมายของการฝึกหัดปฏิบัติ เขาพาทำก็ทำ เขาพาเดินก็เดิน เขาพานั่งก็นั่ง อันนั้นเขาเรียกว่าปฏิบัติด้วยการลูบๆ คลำๆ ปฏิบัติด้วยความหลง แต่ใจก็ยังเป็นบุญอยู่ เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้าตัวของเรา
การฝึกหัดปฏิบัติธรรม ไปแสวงหานอกกายหาไม่เจอ เที่ยวไปแสวงที่โน่นที่นี่ก็เพื่อที่จะสร้างประสบการณ์เท่านั้นเอง ตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ต้องเน้นน้อมพิจารณากายพิจารณาจิตของเรา สติที่เราสร้างขึ้นมา ถ้าเราทำความเข้าใจแล้วจะกลายเป็นปัญญา กลายเป็นสติ มหาสติ มหาปัญญา ทำความเข้าใจ ชำระสะสางกิเลส
ถ้าเรารู้จิต เราก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิตเลยก็ได้ สติของเราถ้าไม่อยู่กับจิตก็อยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับกายของเรา ให้จิตของเราตั้งมั่นรับรู้อยู่ภายใน อย่าพากันเกียจคร้าน หมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ จนเป็นอัตโนมัติ จนทำความเข้าใจทั้งภายนอกภายใน
โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น โลกสมมติเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ส่วนจิตของเราก็ต้องพยายามคลายความหลง ละกิเลส ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย เราก็พยายามชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
ในสภาวะเดิมแท้นั้น จิตเดิมแท้นั้นไม่มีกิเลส กิเลสนี้มีมาทีหลัง ความทะเยอทะยานอยากเราก็พยายามดับเสีย อยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ไม่อยากคิด เราก็ต้องพยายามดับ พยายามละเสีย หนุนกำลังสติไปคิดไปพิจารณา อันนี้แหละเป็นตัวปัญญา ที่เราไปใช้ทำหน้าที่แทนจิต
แต่เวลานี้จิตของเราทั้งเกิดส่งออกไปภายนอกด้วย ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตด้วย มันไปด้วยความหลงตรงนั้นอยู่ เพราะเรายังแยกยังคลายไม่ได้ บางครั้งบางคราวจิตของเราก็สงบอยู่ สงบจากกิเลส สงบจากการเกิด แต่เขาก็เป็นลักษณะของจิตที่ยังคว่ำอยู่ เพราะว่าจิตยังไม่ได้แยกรูปแยกนาม แต่ก็ยังดับทุกข์คลายทุกข์ได้ระดับหนึ่ง
เราก็ต้องพยายาม เดินทางของเราไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าเราสร้างบารมีมาดี ถึงวาระเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง จนถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง