หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 35
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 35
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบาย วางกายให้สบายนะ แล้วก็หยุดดับความคิด ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ หยุดเอาไว้ จะเรื่องอะไรก็ช่าง หยุดเอาไว้ถึงจะสำคัญมากมายถึงขนาดไหนก็อย่าเพิ่งไปคิด ถึงอดไม่ได้ ก็หยุดเอาไว้สักพัก สักระยะหนึ่ง
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 - 3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไปทันที สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกตรงนี้แหละ เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไป เราก็เริ่มใหม่ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ใหม่ๆ เราก็ต้องสร้างความรู้สึกลงอยู่ที่กายของเรา ระลึกรู้ รู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกาย ต่อไปข้างหน้าก็รู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้เท่าทันความคิดรู้ เท่าทันอารมณ์ รู้จักกุศลอกุศล หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หมั่นแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
อย่าไปเกียจคร้านต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย นอกจากเราจะนอนหลับ หมั่นขัดเกลาตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ การควบคุมจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ เราควบคุมจิตอยู่ในระดับไหน ด้วยการบังคับเอาไว้ โดยการข่มด้วยการสังเกตวิเคราะห์ ด้วยการแยกจำแนกแจกแจง ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง ให้จิตรับรู้ แล้วก็ดับความเกิดให้หมดจด ละกิเลสให้หมดจด
อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม อันนี้คืออัตตา นี่คืออนัตตา แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน เราทำความเข้าใจ ก็ทำความเห็นให้ถูกต้อง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข กิเลสเกิดขึ้นที่ใจของเรา เราก็ละที่ใจของเรา ปฏิบัติธรรมที่ไหน ปฏิบัติธรรมที่กายที่ใจนี่แหละ ไม่ต้องปฏิบัติธรรมที่ไหนหรอก เราเน้นลงที่กายที่ใจของเรา สมบัติสมมติภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มีความสงบ มีความสุข เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ ยังกินอยู่ขับถ่ายอยู่ ยังยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่ เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย ก็จะได้ไม่ได้ไปทุกข์กังวลกับสมมติ
ใช้ทำสมมติให้เกิดประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็อยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ อยู่ที่ไหนเราก็จะเอาแต่บุญ อยู่กับบุญ บุญอิ่มบุญเต็ม จะทำอะไรก็ไม่ได้ลําบากถ้าอานิสงส์ของเราเต็ม เพียงแค่นึกแค่คิด เพียงแค่ตรึกด้วยปัญญาก็มีมา ไม่ได้ลําบาก ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถูกขณะที่เรายังไม่ลมหายใจอยู่ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียร
แต่อย่าไปเพิ่มความเพียรด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต ต้องเพิ่มความเพียรด้วยการเจริญความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทัน เราก็ดับเอาไว้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ใช่ว่าจะให้ดูรู้เฉพาะลมหายใจอย่างเดียว รู้ทุกเรื่อง การที่เน้นลงอยู่ที่ลมหายใจก็เพื่อที่จะสร้างสติให้อยู่กับกาย ให้รู้เท่าทันกาย แล้วก็รู้เท่าทันจิตอาการของจิต ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ตัวสุดท้ายตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณ ก็ต้องทำกันนะ
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การทำความเข้าใจ การละกิเลสออกจากใจของตัวเรานี่ต้องเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องทำ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าเรื่องเก่า ของเก่ามาเป็น 10 20 ปี ก็เรื่องของเก่านี่แหละ เอาของเก่านิดๆ หน่อยๆ นี่แหละ แต่พวกเราไม่ค่อยทำกันให้ต่อเนื่อง จะเอาแต่ผล ต้นไม่ค่อยจะทำ ต้นเหตุ เราต้องสาวหาเหตุ ต้นเหตุ ถอนโคนรากออกจากใจของเรา
ใจของเราแต่เดิมบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ ความหลงเขาจึงเกิดถึงหลงถึงยึด เราต้องหมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจ เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่เข้มแข็ง ยังไม่ต่อเนื่อง จะไปอบรมใจมันก็ยากอยู่ เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อนทุกอิริยาบถ แล้วก็หมั่นควบคุมสร้างตบะบารมีของตัวเอง พยายามพากันทำกันนะ
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันสักพักหนึ่ง ตามความเป็นจริงก็ให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ ทั้งยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทั้งหลับตาลืมตา จะทำอะไรก็มีสติรู้กาย รู้จิต รู้ลม รู้ความปกติเป็นหลัก ทำจิตให้ว่าง สมองให้โปร่ง กายให้โล่ง มีความรู้สึกที่ชัดเจนนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 - 3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไปทันที สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกตรงนี้แหละ เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไป เราก็เริ่มใหม่ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ใหม่ๆ เราก็ต้องสร้างความรู้สึกลงอยู่ที่กายของเรา ระลึกรู้ รู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกาย ต่อไปข้างหน้าก็รู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้เท่าทันความคิดรู้ เท่าทันอารมณ์ รู้จักกุศลอกุศล หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หมั่นแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
อย่าไปเกียจคร้านต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย นอกจากเราจะนอนหลับ หมั่นขัดเกลาตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ การควบคุมจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ เราควบคุมจิตอยู่ในระดับไหน ด้วยการบังคับเอาไว้ โดยการข่มด้วยการสังเกตวิเคราะห์ ด้วยการแยกจำแนกแจกแจง ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง ให้จิตรับรู้ แล้วก็ดับความเกิดให้หมดจด ละกิเลสให้หมดจด
อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม อันนี้คืออัตตา นี่คืออนัตตา แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน เราทำความเข้าใจ ก็ทำความเห็นให้ถูกต้อง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข กิเลสเกิดขึ้นที่ใจของเรา เราก็ละที่ใจของเรา ปฏิบัติธรรมที่ไหน ปฏิบัติธรรมที่กายที่ใจนี่แหละ ไม่ต้องปฏิบัติธรรมที่ไหนหรอก เราเน้นลงที่กายที่ใจของเรา สมบัติสมมติภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มีความสงบ มีความสุข เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ ยังกินอยู่ขับถ่ายอยู่ ยังยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่ เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย ก็จะได้ไม่ได้ไปทุกข์กังวลกับสมมติ
ใช้ทำสมมติให้เกิดประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็อยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ อยู่ที่ไหนเราก็จะเอาแต่บุญ อยู่กับบุญ บุญอิ่มบุญเต็ม จะทำอะไรก็ไม่ได้ลําบากถ้าอานิสงส์ของเราเต็ม เพียงแค่นึกแค่คิด เพียงแค่ตรึกด้วยปัญญาก็มีมา ไม่ได้ลําบาก ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถูกขณะที่เรายังไม่ลมหายใจอยู่ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียร
แต่อย่าไปเพิ่มความเพียรด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต ต้องเพิ่มความเพียรด้วยการเจริญความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทัน เราก็ดับเอาไว้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ใช่ว่าจะให้ดูรู้เฉพาะลมหายใจอย่างเดียว รู้ทุกเรื่อง การที่เน้นลงอยู่ที่ลมหายใจก็เพื่อที่จะสร้างสติให้อยู่กับกาย ให้รู้เท่าทันกาย แล้วก็รู้เท่าทันจิตอาการของจิต ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ตัวสุดท้ายตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณ ก็ต้องทำกันนะ
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การทำความเข้าใจ การละกิเลสออกจากใจของตัวเรานี่ต้องเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องทำ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าเรื่องเก่า ของเก่ามาเป็น 10 20 ปี ก็เรื่องของเก่านี่แหละ เอาของเก่านิดๆ หน่อยๆ นี่แหละ แต่พวกเราไม่ค่อยทำกันให้ต่อเนื่อง จะเอาแต่ผล ต้นไม่ค่อยจะทำ ต้นเหตุ เราต้องสาวหาเหตุ ต้นเหตุ ถอนโคนรากออกจากใจของเรา
ใจของเราแต่เดิมบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ ความหลงเขาจึงเกิดถึงหลงถึงยึด เราต้องหมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจ เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่เข้มแข็ง ยังไม่ต่อเนื่อง จะไปอบรมใจมันก็ยากอยู่ เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อนทุกอิริยาบถ แล้วก็หมั่นควบคุมสร้างตบะบารมีของตัวเอง พยายามพากันทำกันนะ
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันสักพักหนึ่ง ตามความเป็นจริงก็ให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ ทั้งยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทั้งหลับตาลืมตา จะทำอะไรก็มีสติรู้กาย รู้จิต รู้ลม รู้ความปกติเป็นหลัก ทำจิตให้ว่าง สมองให้โปร่ง กายให้โล่ง มีความรู้สึกที่ชัดเจนนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ