หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 09

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 09
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 09
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราก่อนที่จะขบจะฉัน พิจารณากะประมาณในการขบฉันต้วเราเองให้พอดีๆ ตื่นขึ้นมากายหิว หรือว่าจิตเกิดความอยาก เราก็รู้จักวิเคราะห์พิจารณา สร้างความรู้ตัว รู้กายรู้จิตอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการทําความเข้าใจ อากาศก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ หนาวลงไปเยอะ สภาพร่างกายก็เป็นไข้กันเยอะ เป็นไข้หวัดหวัดใหญ่หวัดเล็ก อากาศเปลี่ยนแปลงก็ต้องระวังดูแลสุขภาพให้ดี ถึงจะดูแลยังไง มันจะเป็นมันก็เป็นนะ

อากาศเปลี่ยนแปลงลงไปเยอะ หนาวเย็นกว่าทุกปี ปีกลายนี้ก็ยังไม่เย็นเท่าไหร่ แต่หนาวอยู่หนาวนาน ปีหน้าเขาว่าหิมะจะตกในเมืองไทย ปีที่ผ่านมาหิมะตกพื้นที่แถวเวียดนาม แถวรอบๆ ประเทศไทย เพราะว่าโลกจะเปลี่ยนแปลง ฝั่งที่มีหิมะก็จะกลายเป็นฝั่งฤดูร้อน ฝั่งที่ฤดูร้อนก็จะกลายเป็นฝั่งที่เป็นฤดูหนาว อันนี้บอกยุคของเราจะทันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้นะ เพราะว่า 10 20 ปีข้างหน้านี้แหล่ะ

การเปลี่ยนแปลงของโลก ของธรรมชาติ เพราะว่าคนทําลายธรรมชาติมากมายทั้งบนดินใต้ดิน บนฟ้า พากันทําลาย ไม่พากันอนุรักษ์ ไม่พากันสร้างธรรมชาติให้น่าอยู่ มีแต่พากันทําลาย ธรรมชาติก็เลยกลับมาทําลายเรา น้ำท่วมผิดปกติ น้ำท่วมผิดฤดูกาล ฝนตกผิดฤดูกาล แล้งก็แล้งจัด ไฟป่าก็ลุกไหม้เผาผลาญกันมากมาย ตามที่ได้ยินข่าวทางสหรัฐก็ไฟไหม้ บางทีทางโน้นก็น้ำท่วม ปีไหนที่ไฟไหม้ อินโดนีเซียควันไฟมาถึงเมืองไทย ความแห้งแล้งกันดาร ประเทศไทยนับว่าโชคดีนะ โชคดีอยู่ ทั้งโชคดีโชคร้ายนั่นแหละ รบราฆ่าฟันกันไม่หยุดสักที ทางภาคใต้ก็ฆ่ากันทุกวัน ทางการเมืองก็รบราฆ่าฟันกันทั้งทางความคิด ทั้งสติและปัญญา ไม่ลงกันถกเถียงกันมา ดังที่พวกเราได้ยินข่าวได้ทราบข่าวนั่นแหละ ดังที่เห็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อขาว สารพัด

ก็ให้มองดูอยู่ในความเป็นกลาง ดูแล้วค่อยพิจารณา อากาศเปลี่ยนแปลงไปเยอะเป็นไข้หวัดกัน พระเราก็เยอะ ที่พักที่อาศัยก็ไม่เพียงพอกัน ก็เอาตามอัตภาพของเรานะ เอาตามอัตภาพของเรา เอากลดเอาเต็นท์ไปกางร่มไม้ พักตามร่มไม้ มีความสุข ฝนฟ้าไม่ตกตรงไหนพอที่จะกางได้เราก็เอาไปกาง พระที่มาใหม่ก็เอาตามอัธยาศัยของเรา มาอยู่บ้านของเรา

จิตทุกดวงก็ปรารถนาหาความสงบ หาความสุข หาความหลุดพ้น การแสวงหาธรรมะก็แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหล่ะ ไม่ได้แสวงหาอยู่ที่ไหนหรอก แสวงหาที่โน่นที่นี่ อันนั้นเป็นแค่เพียงแสวงหาแนวทาง ถ้าเราเข้าใจแนวทางแล้ว เราก็พยายามชำระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้หมดจด ขอให้เรามีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรย แล้วก็เชื่อมั่น มีความขยันหมั่นเพียรในการประพฤติในการปฏิบัติ

เข้าให้ถึงธรรมชาติภายใน คือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส จิตที่ปราศจากการเกิด เราจะทิ้งสมมติไม่ได้หรอกตอนนี้ เพราะว่ากายของเราก็เป็นก้อนสมมติอยู่ เราต้องทําความเข้าใจทุกเรื่องในชีวิตของเรา มีความรับผิดชอบ หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางสมมติ สมมติว่าเป็นนั่นเป็นนี่ สมมติว่าเป็นพ่อเป็นแม่เป็น พี่เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา เราก็ทําความเข้าใจ อยู่ด้วยกันด้วยความเมตตา ด้วยความรัก อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฏของไตรลักษณ์ เป็นกฎของธรรมชาติ เราพยายามเข้าให้ถึงธรรมชาติ ธรรมชาติภายในคือจิตที่สะอาดปราศจากกิเลส ปราศจากการเกิด ธรรมชาติภายนอกคือโลกธรรมแปดนี่แหละ คือธรรมชาติทางด้านวัตถุด้วยนี่แหละ

เราก็ต้องพยายามทําความเข้าใจ อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงํา อยู่อย่างมีความสงบความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าคนเราเข้าใจมีความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อตัวเราแล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบอย่างสูง งานรับผิดชอบ งานเสียสละนี่เป็นงานที่หนัก ทุกคนต้องช่วยกันช่วยเหลือตัวเองแล้วก็ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคนอื่น ทุกเรื่องในชีวิตประจําวันของเรา เราต้องศึกษาให้ละเอียด เราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาการหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร จิตที่ปกติปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่คลายความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร ลักษณะอาการของความคิดของ อารมณ์ ของจิต ที่มาปรุงแต่งจิตเรื่องอะไรบ้าง แม้แต่การเจริญสติ เราก็ยังทํากันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกัน แต่เรื่องการฝักใฝ่ในการทําบุญ ในการให้ทาน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การทำความเข้าใจที่ต่อเนื่องให้ได้ทุกเรื่อง นอกจากจะเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ทุกเรื่องแม้แต่ความอยากนิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องไปเอาอยากตัวโน้นตัวนี้ ตัวใหญ่ๆ โตๆ อยากคิด อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ความไม่อยาก ก็ถ้าเกิดจากตัวจิตก็ให้เราขอให้ดับหมดเลยทีเดียว ก็พยายามกันเอา

การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันมาเต็มเปี่ยมหมดแหละ การเข้าไปสำรวจ เข้าไปทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง จิตใจของเราเป็นลักษณะอย่างไร จริตของเราเป็นลักษณะอย่างไร โมหะจริตจิตของเราหลงอะไร เราต้องพยายามคลายๆ ความหลงๆ นี่คลายได้ยาก ความโลภ ความโกรธมองเห็นได้ชัดอยู่ ความหลง หลงในความคิด หลงในอารมณ์ หลงในขันธ์ห้านี้คลายได้ยาก หลงเกิด

จิตนี่ก็แปลก ถ้าไม่ฝึกฝนเขาจริงๆ ยากที่เขาจะคลายได้ ต้องฝึกฝนแล้วก็หมั่นสร้างตบะสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ความเสียสละต้องยิ่งยวด การละกิเลส ทุกคนก็มีกิเลสกันหมด ถ้าเรารู้เท่าทันเราก็ไม่ยึด กายของเรานี่แหล่ะก้อนกิเลส เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว เราก็ต้องแสวงหาเสื้อผ้ามาให้ใส่ หายามาให้ทาน เดี๋ยวก็เป็นโรคนั้นโรคนี้ ท่านถึงเรียกว่าเป็นรังแห่งโรค เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ป่วย เดี๋ยวก็เป็นโน่น เดี๋ยวก็เป็นนี่ เดี๋ยวก็ความชราคร่ำคร่าก็เข้ามาเยือน หูก็ตึง ตาพร่ามัว แม้แต่หลวงพ่อพูดๆ อยู่นี่ก็เป็นหลายอย่าง เป็นทั้งความดัน เป็นทั้งหัวใจ เป็นทั้งไต เป็นทั้งเบาหวาน สารพัดอย่าง ไตกรีเซอร์ไลด์

ต้นปี วันที่ 1 ที่ 2 เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน เกือบ เขาจะไป เขาเกียจคร้านในการทํางาน ทํางานมาหนัก พึ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาหน่อย เป็นมานานแล้วแหละ พอขึ้นปี 50 เท่านั้นแหละเขาเล่นงานหนักเลย คงจะถึงวาระเวลาก็ยกให้เป็นวิบากของกรรมไป ไปก็พร้อมอยู่ก็พร้อม อยู่ก็สร้างประโยชน์เท่าที่จะทําได้ ไปเราก็สร้างมาไว้ดีแล้ว เราก็เตรียมพร้อมทั้งภายในภายนอก

สมมติภายนอกเราก็ทําเอาไว้ให้กับทุกคน ให้กับสมมติฝากฝังเอาไว้ให้กับแผ่นดิน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งนี้ หรือว่าจะอยู่สถานที่อื่น เราก็ทําไว้หลายที่ เพื่อความเป็นสิริมงคลของสมมติ พวกเรามีโอกาสก็ได้มาร่วมบุญกัน ญาติโยมทั้งไกลทั้งใกล้อยากจะมาฝึกหัดปฏิบัติ ตามความเป็นจริงทุกคนก็ฝึกกันมาก่อน ทุกคนก็ได้ทําบุญกันมาดีมาก่อน ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์

การมาน้อมกายของเราเข้ามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง การดับ การละกิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับคนโน้น ขึ้นอยู่กับคนนี้ สถานที่โน้น สถานที่นี้ อันนั้นเป็นแค่เพียงประสบการณ์ เป็นแค่เพียงแผนที่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนอยู่ในกาย ในใจของเราหมด สนุกในการดู ในการละ ในการทําความเข้าใจมีความสุข กิเลสตัวไหนมันเกิดขึ้นมา เราก็ดูรู้ เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม เราพยายามให้จิตของเราอยู่เหนือกิเลส ใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ อยู่กับกิเลสก็ไม่ให้กิเลสเข้าครอบงำ ตั้งแต่ก่อนกิเลสเป็นนายเหนือเรา ใช้เราก็ปักหัวปำ เราก็ขอเป็นนายกิเลสบ้าง ก็ต้องพยายามกันนะ

ที่พักที่อาศัยของเราก็คับแคบไม่เพียงพอกัน สถานที่ละสองละสามละสี่ ที่ศาลาริมน้ำก็เอากลดเอาเต็นท์ไปกาง ที่ศาลาฝั่งตะวันออก ศาลาพักศพก็โล่งโปร่งอยู่ ยังดีสมัยที่หลวงพ่อมาอยู่ใหม่ๆ ตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อนยังไม่มีอะไร มาปักกลดอยู่ตามร่มไม้ กลับไปกลับมา อยู่ในป่า อยู่ตามหลุมศพบ้าง อยู่ตามโคนไม้บ้าง ไม่เป็นอย่างนี้ แต่ก่อนป่ารกป่าหนาม ไม่น่าอยู่ แห้งแล้งกันดาร ยังอยู่คนเดียวจนสามารถที่จะทําสถานที่ให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขได้นั่นแหละ อันนี้ยังไม่ถือว่าลําบาก กว่าจะได้ถึงวันนี้ก็ใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยแรงบุญของทุกคนมาช่วยกัน หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงผู้นํา เป็นแค่เพียงทางผ่านพาสร้างกองบุญให้ทุกคนเอาไว้

พวกเรามาแล้วก็ช่วยกัน ช่วยกันได้บ้าง มีความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ไม่ทําความสกปรกรกรุงรังใส่ ช่วยกันดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบ ถ้าเรามีความเป็นระเบียบกับตัวเราเอง มีความรับผิดชอบกับตัวเราเอง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ถ้าเราไม่มีความระเบียบ ไม่มีความรับผิดชอบ อยู่คนเดียวก็หนัก อยู่หลายคนก็หนักหนักหมู่หนักคณะ จะต้องเป็นคนมีความเป็นระเบียบ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในโลกธรรมแปด รอบรู้ในสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์อยู่ตลอดเวลา ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์อนาคต ประโยชน์อดีตที่ผ่านมา ทําอย่างไรเราถึงจะทําให้เกิดประโยชน์ให้มาก เราก็ต้องพยายามทําความเข้าใจ

การศึกษาธรรมต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนเกียจคร้านยากที่จะเข้าใจ ขยันหมั่นเพียรในการชําระสะสางกิเลส ขยันหมั่นเพียรในการสร้างสมมติ ทําสมมติให้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็ทําความเข้าใจกับสมมติ ไม่ยึดติดสมมตินั้นๆ ก็จะมีแต่ประโยชน์ ก็ต้องพยายามกัน

อากาศก็หนาวๆ เย็นๆ อากาศเย็นลงเยอะ พออากาศเย็นปุ๊บ ต่างคนก็สร้างตบะบารมี อาทิตย์หนึ่งอาบน้ำครั้งหนึ่ง สร้างความอดทน คงไม่มีหรอกนะคงไม่มี เห็นอาบน้ำกันตั้งแต่ดึกแต่ดื่น ยิ่งหน้าหนาวอาบน้ำ กายก็เย็นจิตก็เย็นจะเห็นได้ชัดเจน กายหนาวจิตมันสั่นสะท้านด้วยหรือไม่ เราก็ต้องดูทุกเรื่องนั่นแหละทุกเรื่อง ตาหูจมูกลิ้นกายซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เข้าไปถึงดวงวิญญาณซึ่งเป็นขันธ์สุดท้ายในขันธ์ห้าของเรานั่นแหละ เราก็พยายามดูให้เรียบร้อย ถ้าเราทําความเข้าใจได้เรียบร้อยแล้ว ก็ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข

ตั้งใจรับพร

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบหลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องไปคิดอะไร ขณะที่เรานั่งอยู่นี่แหละ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ อย่าไปบังคับลมหายใจ ถ้าเราบังคับลมหายใจนี้สมองของเราก็ตึงทันที ถ้าเราไปจดจ่อสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจ่อหน้าอกก็แน่น ถ้าเราไปเพ่งอยู่ที่ปลายจมูกของเราส่วนสมองก็จะตึง

เพียงแค่การสูดลมหายใจให้เป็นธรรมชาติและยาวๆ ผ่อนออกมายาวๆ กายก็สบายขึ้น ความคิดต่างๆ ก็หยุดนิ่ง สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้ลึกรับรู้นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ หายใจเข้ามีความรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรับรู้อยู่ ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

แม้แต่การหายใจเข้าออก พวกเราทํากันชำนาญแล้วหรือยัง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ สร้างสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ตั้งมั่นปุ๊บ นิวรณ์ความพลั้งเผลอก็หายไป จะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็มีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตปกติก็รู้อยู่ จะลุกเข้าห้องน้ำห้องส้วม ตัวไหนเป็นตัวสั่งกายไป สติหรือว่าจิต หรือว่าขันธ์ห้ามาสั่งจิตพากายไป เราต้องศึกษาให้ละเอียดไม่ใช่ว่าปล่อยเลยตามเลย ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีธรรม แต่จะอยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง

ถ้าเราสังเกตดูรู้ความเป็นจริง ลักษณะของจิตที่สงบปราศจากกิเลสเขาเป็นอย่างนี้ เวลาเขาเกิด เขาก่อตัว เขาแสดงอาการ เขาเริ่มก่อตัวเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างไร ความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาผุดขึ้นมา จิตตัวของบางตัว หรือว่าตัวจิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร ทําให้เกิดอัตตา ทําให้เกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา

เราต้องพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าปล่อยวันเวลาทิ้ง เวลาโน้นถึงจะทํา เวลานี้ถึงจะทํา เราต้องวิเคราะห์ตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า สติของเราพลั้งเผลอหรือไม่ จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง การที่จิตส่งออกไปภายนอกนั่นนะ เขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ บางทีเขาก็รวมเอาขันธ์ห้าเข้าไปเสวยอารมณ์ต่างๆ เราต้องหัดสังเกตจนกว่าจะรู้เท่าทัน เขาจะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ อันนี้เป็นแค่เริ่มต้น

ถ้าจิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า กำลังความรู้ตัว หรือว่าสติก็จะตามดูรู้เห็นตั้งแต่ต้นเหตุถึงปลายเหตุ เมื่อรู้เห็นแล้วก็อนัตตาความว่างเปล่าก็มาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีก บางทีจิตของเราก็เข้าไปร่วม เราก็ต้องพยายามดับ ให้จิตรับรู้ ถ้าจิตคลายออกจากความคิดเมื่อไหร่ จิตถึงจะหงาย ถึงจะเข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา

ถ้าเราขาดการตามทําความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ช่วงใหม่ๆ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวควบคุมจิต แล้วก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม มันก็เป็นการฝืน เพราะว่าธรรมดาจิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้น ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้างสารพัดเรื่อง

อาการของขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็มาปรุงแต่งจิตสารพัดอย่างที่มาหลอก เขาไม่ให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้ง่ายๆ เหมือนกัน เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผลจนกําลังสติความรู้ตัวของเรามาก จนตลายได้ ตามทําความเข้าใจได้ ให้จิตยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะยอมปล่อยวางได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะปล่อยวางได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาอยู่ร่วมกันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปป์กี่กัลป์มา จะมาจับเขาแยกแค่นาทีสองนาทีเป็นไปไม่ได้

เราก็พยายามสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม เสียสละอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว เสียสละจากภายนอกก็ส่งผลถึงภายใน ภายในก็คือเสียสละกิเลสต่างๆ ออกจากใจของเรา มีทั้งร้อยก็คลายทั้งร้อย เอาออกให้หมด แม้แต่การเกิดของจิต การส่งออกไปภายนอกของจิต ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ความคิดเก่าที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้านั้นก็มีอยู่ประจํา เราต้องตามทําความเข้าใจ ถ้าเรารู้เหตุ รู้ผล รู้ต้น รู้กลาง รู้ปลาย ตามทําความเข้าใจให้ละเอียด

ถ้าเรายังแยกไม่ได้ก็ยากที่จะเข้าใจนะ ต้องแยกให้ได้ เราไม่จําเป็นต้องไปจับเขาแยก ยาก ถ้ากําลังสติของเรามีเพียงพอเห็นตั้งแต่เขาก่อตัว ถ้าเขาเคลื่อนเข้าไปรวม เขาจะแยกออกจากกันเอง อันนี้ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรทุกอิริยาบถ อันนี้หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทําก็จะไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็พากันไปทำ ได้เล็กได้น้อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ทํา

ถ้าอยากทําบุญให้ทาน รู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อยู่ในระดับหนึ่งก็ยังดี การทําบุญให้ทานทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม ทานลึกลงไปก็ทานความยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราไม่รู้จุดทาน จุดปล่อย จุดวางก็ยากที่จะวางได้ ถึงรู้จุดปล่อยจุดวาง ถ้ากําลังสติของเราไม่ตามทําความเข้าใจ จนหาเหตุหาผลจนจิตยอมรับความเป็นจริง มันก็ยากที่จะวางได้อีก จิตของเราเราต้องมากระหนาบ มาลด มาละ มาสํารอกกิเลส คลายออกให้มันหมดจนไม่เหลือ จะเอาจะมีจะเป็น จะทําอะไร ก็เป็นเรื่องสติเรื่องปัญญาเข้าไปทําทั้งนั้น จนมีแต่ดูกับรู้

อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา การเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติอยู่ตรงไหน การรักษาศีลอยู่ที่ตรงไหน ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไร วิปัสสนาเป็นลักษณะอย่างไร จนชำระสะสางกิเลสหยาบกิเลสละเอียดให้หมดจดนั่นแหล่ะ เราถึงจะไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา ก็ต้องพยายามนะ พระเราก็เหมือนกัน ทั้งชีทั้งพระ

การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีมากันเต็มเปี่ยม บุคคลที่มีบุญ มีอานิสงส์ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียว ทำความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม การละกิเลสเป็นอย่างนี้ จิตของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็ระงับความโกรธด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกได้ทางที่ดี

ทํากลับกันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่นี้จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา เอามากเอาน้อย มีมากมีน้อย มีด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา เพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ความคิดเล็กๆ น้อยๆ พวกเรายังไม่รู้จักดับจักควบคุม แม้แต่ความรู้ตัวก็ยังไม่สร้างให้ต่อเนื่อง หลวงพ่อถึงเน้นการเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน พยายามนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง