หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 022
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 022
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ในหลักของความเป็นจริง เราต้องสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่รู้จากที่ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ใจ เอาไปทำความเข้าใจกับใจของเราว่าใจของเราปกติสงบ ลักษณะของความรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ลักษณะของใจที่ปกติ ลักษณะของใจที่เกิด ลักษณะอาการของใจที่เข้ามาปรุงแต่งใจซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ไม่ใช่ว่าไปเหมารวมกันไปหมด
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้เข้มแข็งแล้วหรือยัง แล้วก็รู้จักเอาไปควบคุมใจของเราได้แล้วหรือยัง ควบคุมใจของเราตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุจนใจของเราคลายออก ความรู้ตัวของเราตามดู ตามรู้ตามเห็นอาการของความคิด เห็นความเกิดความดับ เรียกว่า รู้อนิจจังทุกขังในขันธ์ห้าของตัวเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของทุกคน
ใจทุกดวงก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ว่าเขายังเกิดอยู่เขายังหลงความคิดอยู่ เขาอาจจะคิดปรุงแต่งแสวงหาดิ้นรน อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้มาสร้างความรู้ตัวหรือว่ามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้กายสติก็เน้นลงอยู่ที่กายของเราให้ได้เสียก่อน อยู่ที่การเดินบ้าง อยู่ที่การหายใจเข้าออกบ้าง ความรู้สึกรับรู้ ส่วนใจนั้นเป็นธาตุรู้ มีความรับรู้อยู่ภายใน
เวลานี้เขายังเกิดอยู่ยังหลงอยู่ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเรานี่มีสติมีปัญญา มีอยู่แต่เป็นสติปัญญาของโลกิยะ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติอยู่ในระดับบุญ แต่สติปัญญาในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมา ต้องสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปทำความเข้าใจ เอาไปแสวงหาค้นคว้าหาเหตุหาผล
เหตุผลทางด้านจิตทางด้านวิญญาณเขาก็เกิดๆ ดับๆ ถ้าเขาไม่เกิดเขาก็นิ่ง ถ้าเขาไม่มีกิเลสถ้าเขาไม่หลงเขาก็สงบ ถ้าเขาคลายออกจากความคิดออกจากขันธ์ห้าเขาก็ว่าง แต่เรายังดำเนินไม่รู้ไม่เห็นชัดเจน อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางคราวแต่ไม่รู้ได้ตลอด เราต้องพยายามรู้ให้ได้ตลอดทุกเรื่อง เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ
อันนี้เรื่องของกายเรื่องของใจ วิญญาณมาอาศัยกายอยู่ มาสร้างภพสร้างชาติอยู่ ซึ่งมีอาหารเข้ามาหล่อเลี้ยงร่างกาย แล้วก็ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ต้องศึกษาให้ละเอียดหมด แล้วก็หมั่นน้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในพรหมวิหาร อยู่ในความเสียสละ อยู่ในความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความขยันหมั่นเพียร มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม เราก็จะได้ประโยชน์ทั้งภายนอกประโยชน์ทั้งภายใน
ภายในเราก็ได้ความเสียสละละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ภายนอกสมมติเราก็ยังประโยชน์สมมติที่เราเข้ามายุ่งเกี่ยว เข้ามาอาศัยอยู่นี่แหละ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ กับข้าวกับปลาโรงครัวในสิ่งที่เราก็ไปยุ่งเกี่ยว เราก็เข้าไปหาแสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา ทำหน้าที่ด้วยสติด้วยปัญญาให้ถูกต้อง
ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม จะปฏิบัติตั้งแต่ธรรม ไม่รู้จักธรรม ตัวธรรมก็ตัวใจนั่นแหละตัวธรรมแต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่ เราต้องค้นหาเหตุหาผล ดับความเกิด เขาเกิดเราก็ต้องดับ ดับไม่ได้เราก็ต้องหาเหตุหาผลให้เขารู้ความเป็นจริงไม่ใช่ว่าไปส่งเสริม เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองมามากมาย เพราะว่าการเกิด ความหลงเขาหลงมาตั้งมากมายแล้วเขาถึงได้มาเกิด เพียงแค่การเกิด การปรุง การแต่งนั้นเขาก็ปิดบังอำพรางตัวเอง
แต่กำลังสติของเรานี่มีบ้างกระท่อนกระแท่นแทบจะไม่มี แต่ละวัน บางวันก็มีได้บ้าง รู้ตัวบ้าง ควบคุมได้บ้าง ควบคุมอารมณ์ได้บ้างเป็นบางเรื่องบางครั้งบางคราว ส่วนมากก็ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส อำนาจของความทะเยอทะยานอยากของตัวใจของตัววิญญาณ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอกนะ ให้พยายาม พยายาม
เราแสวงหาสิ่งไหนเราก็ย่อมจะได้สิ่งนั้น ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ หัดพึ่งตัวเราให้ได้ใช้ตัวเราให้เป็น สร้างสติปัญญานี่แหละไปหมั่นพร่ำสอนใจ แล้วก็สติปัญญาก็จะเป็นที่พึ่งของใจ เขาเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน นี่แหละตนแรกก็ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมา ตนที่สองก็ตัวใจ ใจก็ต้องคลายออกจากขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในโลกธรรม ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย
จะทำอะไรก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก จะเอามากเอาน้อยมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา แต่เราต้องค้นคว้าจากน้อยๆ เห็นจากน้อยๆ ไปหามากๆ เสียก่อน แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่มากเลย ระลึกได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่การรับประทานข้าวปลาอาหารการขบการฉัน กายเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละเราดับ จะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ
ต่อไปข้างหน้าก็อยากเกิดอยากคิด อยากมีอยากเป็น อยากไป ถ้าเป็นตัวจิตตัววิญญาณแล้วให้ดับ ให้หยุด ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เราดับเราอดเราข่มจนถึงที่สิ้นสุด อึดอัดถึงที่สิ้นสุดนั่นแหละเขาถึงจะคลาย ทีนี้ก็เขาคลายก็จะเห็นชัดเจน ทีนี้เขาคลายออกจากอาการของใจ อาการของขันธ์ห้าอีก อาการของความคิด ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นแหละเข้ามาปรุงแต่งใจของเรา ถ้าเราสังเกตทันเขาก็จะแยกออก สติของเราก็จะตามดูรู้ กำลังสติของเราก็จะเป็นมหาสติมหาปัญญาถ้าเราตามดูให้ได้ทุกเรื่อง
เอาไม่อยู่ต้องค้นคว้าให้หายสงสัยให้ใจยอมรับความเป็นจริงให้ได้หมด มีไม่มากมีอยู่แค่นี้แหละชีวิตของคนเรา นอกนั้นก็หาเรื่องหาเหตุหากิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเราเอาไว้ ไม่มีที่สิ้นสุด ทิฏฐิความคิดเห็นต่างๆ ต้องให้เป็นความคิดเห็นที่เกิดจากการเจริญภาวนา คลายจิตออกจากความคิด แยกรูปแยกนาม เขาถึงเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นที่ถูกต้องนี่แหละข้อแรก ความเห็นถูกตั้งแต่ข้อแรกก็เห็นถูกไปตลอด ตามทำความเข้าใจได้ตลอด เราจะละได้อีกได้ตลอดหรือไม่ พูดง่ายแต่ทำยาก เราก็ต้องพยายาม พยายามทำให้ได้ ได้มากได้น้อยเราก็พยายามทำอย่าไปทิ้ง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้เข้มแข็งแล้วหรือยัง แล้วก็รู้จักเอาไปควบคุมใจของเราได้แล้วหรือยัง ควบคุมใจของเราตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุจนใจของเราคลายออก ความรู้ตัวของเราตามดู ตามรู้ตามเห็นอาการของความคิด เห็นความเกิดความดับ เรียกว่า รู้อนิจจังทุกขังในขันธ์ห้าของตัวเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของทุกคน
ใจทุกดวงก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ว่าเขายังเกิดอยู่เขายังหลงความคิดอยู่ เขาอาจจะคิดปรุงแต่งแสวงหาดิ้นรน อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้มาสร้างความรู้ตัวหรือว่ามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้กายสติก็เน้นลงอยู่ที่กายของเราให้ได้เสียก่อน อยู่ที่การเดินบ้าง อยู่ที่การหายใจเข้าออกบ้าง ความรู้สึกรับรู้ ส่วนใจนั้นเป็นธาตุรู้ มีความรับรู้อยู่ภายใน
เวลานี้เขายังเกิดอยู่ยังหลงอยู่ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเรานี่มีสติมีปัญญา มีอยู่แต่เป็นสติปัญญาของโลกิยะ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติอยู่ในระดับบุญ แต่สติปัญญาในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมา ต้องสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปทำความเข้าใจ เอาไปแสวงหาค้นคว้าหาเหตุหาผล
เหตุผลทางด้านจิตทางด้านวิญญาณเขาก็เกิดๆ ดับๆ ถ้าเขาไม่เกิดเขาก็นิ่ง ถ้าเขาไม่มีกิเลสถ้าเขาไม่หลงเขาก็สงบ ถ้าเขาคลายออกจากความคิดออกจากขันธ์ห้าเขาก็ว่าง แต่เรายังดำเนินไม่รู้ไม่เห็นชัดเจน อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางคราวแต่ไม่รู้ได้ตลอด เราต้องพยายามรู้ให้ได้ตลอดทุกเรื่อง เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ
อันนี้เรื่องของกายเรื่องของใจ วิญญาณมาอาศัยกายอยู่ มาสร้างภพสร้างชาติอยู่ ซึ่งมีอาหารเข้ามาหล่อเลี้ยงร่างกาย แล้วก็ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ต้องศึกษาให้ละเอียดหมด แล้วก็หมั่นน้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในพรหมวิหาร อยู่ในความเสียสละ อยู่ในความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความขยันหมั่นเพียร มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม เราก็จะได้ประโยชน์ทั้งภายนอกประโยชน์ทั้งภายใน
ภายในเราก็ได้ความเสียสละละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ภายนอกสมมติเราก็ยังประโยชน์สมมติที่เราเข้ามายุ่งเกี่ยว เข้ามาอาศัยอยู่นี่แหละ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ กับข้าวกับปลาโรงครัวในสิ่งที่เราก็ไปยุ่งเกี่ยว เราก็เข้าไปหาแสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา ทำหน้าที่ด้วยสติด้วยปัญญาให้ถูกต้อง
ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม จะปฏิบัติตั้งแต่ธรรม ไม่รู้จักธรรม ตัวธรรมก็ตัวใจนั่นแหละตัวธรรมแต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่ เราต้องค้นหาเหตุหาผล ดับความเกิด เขาเกิดเราก็ต้องดับ ดับไม่ได้เราก็ต้องหาเหตุหาผลให้เขารู้ความเป็นจริงไม่ใช่ว่าไปส่งเสริม เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองมามากมาย เพราะว่าการเกิด ความหลงเขาหลงมาตั้งมากมายแล้วเขาถึงได้มาเกิด เพียงแค่การเกิด การปรุง การแต่งนั้นเขาก็ปิดบังอำพรางตัวเอง
แต่กำลังสติของเรานี่มีบ้างกระท่อนกระแท่นแทบจะไม่มี แต่ละวัน บางวันก็มีได้บ้าง รู้ตัวบ้าง ควบคุมได้บ้าง ควบคุมอารมณ์ได้บ้างเป็นบางเรื่องบางครั้งบางคราว ส่วนมากก็ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส อำนาจของความทะเยอทะยานอยากของตัวใจของตัววิญญาณ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอกนะ ให้พยายาม พยายาม
เราแสวงหาสิ่งไหนเราก็ย่อมจะได้สิ่งนั้น ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ หัดพึ่งตัวเราให้ได้ใช้ตัวเราให้เป็น สร้างสติปัญญานี่แหละไปหมั่นพร่ำสอนใจ แล้วก็สติปัญญาก็จะเป็นที่พึ่งของใจ เขาเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน นี่แหละตนแรกก็ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมา ตนที่สองก็ตัวใจ ใจก็ต้องคลายออกจากขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในโลกธรรม ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย
จะทำอะไรก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก จะเอามากเอาน้อยมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา แต่เราต้องค้นคว้าจากน้อยๆ เห็นจากน้อยๆ ไปหามากๆ เสียก่อน แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่มากเลย ระลึกได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่การรับประทานข้าวปลาอาหารการขบการฉัน กายเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละเราดับ จะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ
ต่อไปข้างหน้าก็อยากเกิดอยากคิด อยากมีอยากเป็น อยากไป ถ้าเป็นตัวจิตตัววิญญาณแล้วให้ดับ ให้หยุด ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เราดับเราอดเราข่มจนถึงที่สิ้นสุด อึดอัดถึงที่สิ้นสุดนั่นแหละเขาถึงจะคลาย ทีนี้ก็เขาคลายก็จะเห็นชัดเจน ทีนี้เขาคลายออกจากอาการของใจ อาการของขันธ์ห้าอีก อาการของความคิด ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นแหละเข้ามาปรุงแต่งใจของเรา ถ้าเราสังเกตทันเขาก็จะแยกออก สติของเราก็จะตามดูรู้ กำลังสติของเราก็จะเป็นมหาสติมหาปัญญาถ้าเราตามดูให้ได้ทุกเรื่อง
เอาไม่อยู่ต้องค้นคว้าให้หายสงสัยให้ใจยอมรับความเป็นจริงให้ได้หมด มีไม่มากมีอยู่แค่นี้แหละชีวิตของคนเรา นอกนั้นก็หาเรื่องหาเหตุหากิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเราเอาไว้ ไม่มีที่สิ้นสุด ทิฏฐิความคิดเห็นต่างๆ ต้องให้เป็นความคิดเห็นที่เกิดจากการเจริญภาวนา คลายจิตออกจากความคิด แยกรูปแยกนาม เขาถึงเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นที่ถูกต้องนี่แหละข้อแรก ความเห็นถูกตั้งแต่ข้อแรกก็เห็นถูกไปตลอด ตามทำความเข้าใจได้ตลอด เราจะละได้อีกได้ตลอดหรือไม่ พูดง่ายแต่ทำยาก เราก็ต้องพยายาม พยายามทำให้ได้ ได้มากได้น้อยเราก็พยายามทำอย่าไปทิ้ง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา