หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 007
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 007
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบายวางกายให้สบายวางใจให้สบาย ไม่ต้องประนมมือ ทำใจของเราให้สงบทำกายของเราให้ตั้งมั่นให้สบาย ไม่ต้องไปเกร็งร่างกายวางกายให้สบาย ฟังไปด้วยลองน้อมสำเหนียกลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ
ตามหลักของความเป็นจริง เราต้องสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็หมั่นสังเกตหมั่นสร้างความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นการรู้กาย เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้มากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ใจก็อยากจะได้บุญใจก็อยากจะรู้ธรรม แต่ความอยาก ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม
แต่การเกิดของเขามีอยู่ การเกิดของเขามีอยู่ การปรุงแต่งของเขาก็มีอยู่ อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจก็มีอยู่ อันนี้มีอยู่หลายภพหลายชาติแล้วแหละ เขาเกิดมาก็หลงวนเวียนว่ายตายเกิดมาตลอด จนมาในภพสุดท้ายคือภพของมนุษย์ แล้วก็หาการเกิดมาปิดบังอำพรางตัวเองเอาไว้ กายเนื้อก็มาปิดบังอำพรางตัววิญญาณเอาไว้ ความคิดอารมณ์ต่างๆ ก็มาปิดบังอำพรางตัววิญญาณเอาไว้ แม้แต่ตัววิญญาณเองเขาก็หาเหตุหาผลที่จะปิดบังอำพรางตัวเองด้วยการเกิด ด้วยการส่งออกไปภายนอก
เราต้องสร้างความรู้ตัวมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา เข้าไปควบคุมใจของเรา ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส เพราะว่าใจของคนชอบคิดชอบเที่ยวหาเหตุหาผล มีเพื่อนเก่าเข้ามาปรุงแต่งร่วมซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เอาไปใช้เอาไปสังเกตเอาไปวิเคราะห์จนรู้เท่าทันรับรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่หลงความคิด ใจที่ไม่หลงอารมณ์ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นลักษณะอย่างนี้ หมั่นตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรผิดอะไรถูก สติปัญญาของเราแก้ไขอยู่ตลอดเวลา เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สอนเรื่องอัตตเรื่องอนัตตา สอนเรื่องความจริงของชีวิต เราเกิดมาทำไม จะอยู่อย่างไรจะไปอย่างไร อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ เราต้องทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ แต่คนทั่วไปจะฝักใฝ่สนใจเฉพาะเอาปัญญาโลกีย์ไปแก้ไข ไม่ใช่ปัญญาโลกุตระ ปัญญาโลกุตระคือปัญญาที่แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็รู้จักละ รู้จักบริหาร อันนี้คือสมมติอันนี้คือวิมุตติ เราติดขัดอยู่ตรงไหน เพียงแค่ระดับของสมมติพวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะราบรื่น งานภายนอกงานภายใน งานทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ เราอยู่กับสมมติ เราอยู่กับสังคม เราอยู่กับโลกธรรม
กายของเราอยู่ร่วมกับสมมติเราก็เคารพสมมติ ไม่หลงไม่ยึดติดสมมติ สมมติภายในคือร่างกายของเรา แล้วก็ตัวใจซึ่งมาอาศัยกายนี้อยู่ เราต้องรู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามกันนะ พยายามกันอย่าไปทิ้ง การไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนก็เป็นสิ่งที่ดีหมด การฝึกหัดปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายปลายทางคือเราคลายความหลงได้แล้วหรือยัง เราละกิเลสออกจากใจของเราให้เบาบางแล้วหรือยัง เราทำความเข้าใจกับตัววิญญาณของเราให้ละเอียดแล้วหรือยัง
ตราบใดที่เรายังเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็อย่าไปทิ้งเราก็ต้องพยายาม ความเพียรของเรามีต่อเนื่องหรือไม่ ความเสียสละ การละกิเลสของเรามีหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ ทั้งกำลังจากกายกำลังใจ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ทำความเข้าใจกับภาษาโลก ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิด ใจของเราก็จะตกกระแสธรรม ใจก็จะว่างกายก็จะโล่งโปร่งแต่กายสมมติก็มีอยู่
‘ความจริง’ สัจธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเราเข้าถึงเราก็จะเข้าถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วยหมดความสงสัยด้วย แล้วก็มีตั้งแต่ทำความเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทาง ช่วงใหม่ๆ นี้ ช่วงการฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ ช่วงต่อสู้กับกิเลสใหม่ๆ ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ ก็จะคลายออกเป็น ช่วงๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์นั่นแหละ ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลา อาศัยการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกตกายสังเกตใจของเรา อยู่หลายคนก็สังเกตกายสังเกตใจของเรา มีความสุขสนุกในการดูในการรู้ในการแก้ไขใจของเรา แก้ไขสมมติของเราให้ดี เราทำหน้าที่ของเราให้ดีอยู่ปัจจุบัน วันนี้แหละคือปัจจุบัน ลึกลงไปคือขณะลมหายใจเข้าออกคือปัจจุบันในทางธรรม ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ช่วงใหม่ๆ สติยังไม่รู้ยังไม่แก่กล้าก็มีการพลั้งเผลอ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้ากำลังสติของเราแก่กล้าขึ้นมาแล้วก็ต่อเนื่องค้นคว้าหา หมดความสงสัยนั่นแหละจนรู้แจ้งเห็นจริงหมดนั่นแหละ ถึงจะเป็นมหาสติมหาปัญญา หมั่นพร่ำสอนตัวเราหมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา บุคคลที่มีปัญญาฟังนิดเดียวรู้วิธีรู้แนวทางแล้วไปฝึกหัดปฏิบัติ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ แต่เขาก็อยู่รวมกัน อะไรเราติดขัดตรงไหนเราก็รีบแก้ไข หมั่นตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา สติปัญญานั่นแหละคืออาจารย์คอยตรวจสอบใจของเรา คอยแก้ไขใจของเราให้ถูกต้องถูกทาง ก็ต้องพยายามกันนะ
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลาที่ได้เกิดมามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วิบากกรรมนำมาพาให้เกิด วิบากกรรมเราอาจจะไปตกอยู่ที่โน่นบ้างไปตกอยู่ที่นี่บ้าง เราก็ต้องพยายามดูแลใจของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสานกันต่อนะ
ตามหลักของความเป็นจริง เราต้องสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็หมั่นสังเกตหมั่นสร้างความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นการรู้กาย เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้มากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ใจก็อยากจะได้บุญใจก็อยากจะรู้ธรรม แต่ความอยาก ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม
แต่การเกิดของเขามีอยู่ การเกิดของเขามีอยู่ การปรุงแต่งของเขาก็มีอยู่ อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจก็มีอยู่ อันนี้มีอยู่หลายภพหลายชาติแล้วแหละ เขาเกิดมาก็หลงวนเวียนว่ายตายเกิดมาตลอด จนมาในภพสุดท้ายคือภพของมนุษย์ แล้วก็หาการเกิดมาปิดบังอำพรางตัวเองเอาไว้ กายเนื้อก็มาปิดบังอำพรางตัววิญญาณเอาไว้ ความคิดอารมณ์ต่างๆ ก็มาปิดบังอำพรางตัววิญญาณเอาไว้ แม้แต่ตัววิญญาณเองเขาก็หาเหตุหาผลที่จะปิดบังอำพรางตัวเองด้วยการเกิด ด้วยการส่งออกไปภายนอก
เราต้องสร้างความรู้ตัวมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา เข้าไปควบคุมใจของเรา ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส เพราะว่าใจของคนชอบคิดชอบเที่ยวหาเหตุหาผล มีเพื่อนเก่าเข้ามาปรุงแต่งร่วมซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เอาไปใช้เอาไปสังเกตเอาไปวิเคราะห์จนรู้เท่าทันรับรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่หลงความคิด ใจที่ไม่หลงอารมณ์ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นลักษณะอย่างนี้ หมั่นตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรผิดอะไรถูก สติปัญญาของเราแก้ไขอยู่ตลอดเวลา เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สอนเรื่องอัตตเรื่องอนัตตา สอนเรื่องความจริงของชีวิต เราเกิดมาทำไม จะอยู่อย่างไรจะไปอย่างไร อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ เราต้องทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ แต่คนทั่วไปจะฝักใฝ่สนใจเฉพาะเอาปัญญาโลกีย์ไปแก้ไข ไม่ใช่ปัญญาโลกุตระ ปัญญาโลกุตระคือปัญญาที่แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็รู้จักละ รู้จักบริหาร อันนี้คือสมมติอันนี้คือวิมุตติ เราติดขัดอยู่ตรงไหน เพียงแค่ระดับของสมมติพวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะราบรื่น งานภายนอกงานภายใน งานทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ เราอยู่กับสมมติ เราอยู่กับสังคม เราอยู่กับโลกธรรม
กายของเราอยู่ร่วมกับสมมติเราก็เคารพสมมติ ไม่หลงไม่ยึดติดสมมติ สมมติภายในคือร่างกายของเรา แล้วก็ตัวใจซึ่งมาอาศัยกายนี้อยู่ เราต้องรู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามกันนะ พยายามกันอย่าไปทิ้ง การไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนก็เป็นสิ่งที่ดีหมด การฝึกหัดปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายปลายทางคือเราคลายความหลงได้แล้วหรือยัง เราละกิเลสออกจากใจของเราให้เบาบางแล้วหรือยัง เราทำความเข้าใจกับตัววิญญาณของเราให้ละเอียดแล้วหรือยัง
ตราบใดที่เรายังเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็อย่าไปทิ้งเราก็ต้องพยายาม ความเพียรของเรามีต่อเนื่องหรือไม่ ความเสียสละ การละกิเลสของเรามีหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ ทั้งกำลังจากกายกำลังใจ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ทำความเข้าใจกับภาษาโลก ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิด ใจของเราก็จะตกกระแสธรรม ใจก็จะว่างกายก็จะโล่งโปร่งแต่กายสมมติก็มีอยู่
‘ความจริง’ สัจธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเราเข้าถึงเราก็จะเข้าถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วยหมดความสงสัยด้วย แล้วก็มีตั้งแต่ทำความเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทาง ช่วงใหม่ๆ นี้ ช่วงการฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ ช่วงต่อสู้กับกิเลสใหม่ๆ ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ ก็จะคลายออกเป็น ช่วงๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์นั่นแหละ ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลา อาศัยการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกตกายสังเกตใจของเรา อยู่หลายคนก็สังเกตกายสังเกตใจของเรา มีความสุขสนุกในการดูในการรู้ในการแก้ไขใจของเรา แก้ไขสมมติของเราให้ดี เราทำหน้าที่ของเราให้ดีอยู่ปัจจุบัน วันนี้แหละคือปัจจุบัน ลึกลงไปคือขณะลมหายใจเข้าออกคือปัจจุบันในทางธรรม ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ช่วงใหม่ๆ สติยังไม่รู้ยังไม่แก่กล้าก็มีการพลั้งเผลอ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้ากำลังสติของเราแก่กล้าขึ้นมาแล้วก็ต่อเนื่องค้นคว้าหา หมดความสงสัยนั่นแหละจนรู้แจ้งเห็นจริงหมดนั่นแหละ ถึงจะเป็นมหาสติมหาปัญญา หมั่นพร่ำสอนตัวเราหมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา บุคคลที่มีปัญญาฟังนิดเดียวรู้วิธีรู้แนวทางแล้วไปฝึกหัดปฏิบัติ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ แต่เขาก็อยู่รวมกัน อะไรเราติดขัดตรงไหนเราก็รีบแก้ไข หมั่นตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา สติปัญญานั่นแหละคืออาจารย์คอยตรวจสอบใจของเรา คอยแก้ไขใจของเราให้ถูกต้องถูกทาง ก็ต้องพยายามกันนะ
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลาที่ได้เกิดมามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วิบากกรรมนำมาพาให้เกิด วิบากกรรมเราอาจจะไปตกอยู่ที่โน่นบ้างไปตกอยู่ที่นี่บ้าง เราก็ต้องพยายามดูแลใจของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสานกันต่อนะ