หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 101
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 101
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 101
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 สิงหาคม 2556
ดูดีๆ นะ พระเรา ก่อนที่จะขบจะฉัน พิจารณาปฏิสังขาโย ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย ทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่ก็ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้จักพิจารณา รู้จักทำความเข้าใจ อะไรทำก่อนอะไรทำหลัง ไม่ใช่ว่าผัดวันประกันพรุ่ง เสียดายเวลา ความขยันหมั่นเพียรไม่มี เราก็ต้องสร้างให้มี ความรับผิดชอบไม่มี เราต้องสร้างให้มี ไม่ใช่เอาแต่งอมืองอเท้า
การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ยิ่งได้มาบวชเป็นพระเป็นชีก็ยิ่งมีบุญอานิสงส์มากมาย ถ้ามามีแต่ความเกียจคร้านงอมืองอเท้า สร้างสะสมความเกียจคร้านใส่ตัวเราแล้วก็แย่ เสียดายที่ได้เข้ามาบวชมาฝึก พระเราชีเราก็คงไม่มีใครเกียจคร้านหรอกนะ มีตั้งแต่คนขยันมั่นเพียร ถ้าสร้างความเกียจคร้านใส่ตัวเราแล้วก็แย่เลยทีเดียว
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม เราต้องสร้างความขยัน ยิ่งเราเข้ามาบวชมาฝึก เราเคยนอน เราเคยเที่ยว เราก็หยุดเที่ยว เราเคยนอนดึก แล้วก็รู้จักแก้ไขปรับ ปรุงตัวเรา เราไม่เคยเจริญสติเราก็รู้จักสร้างสติ บางคนก็เอาแต่ความเกียจคร้าน ใครมีความเกียจคร้านก็แก้ไขตัวเอง หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่ งอมืองอเท้าทำอะไรก็ไม่เป็น เวลาไปอยู่สังคมสู่โลกภายนอกแล้วยิ่งหนักเข้าไปอีก
เราต้องแก้ไข สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลยความรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ฟืนไฟต่างๆ น้ำท่าต่างๆ เราก็ต้องช่วยกันดูแล บางทีเห็นเปิดทิ้งเอาไว้ทั้งวันทั้งคืนเลยก็มี อยู่ที่ศาลารวม อยู่ที่ศาลาพักศพ ใครไปเปิดทิ้งเอาไว้ ไปทีไรก็ไม่เห็นมีใคร บางทีก็เปิดทิ้งเอาไว้ ต้นไม้มันจะหักทับหัวอยู่แล้ว ก็ยังไม่รู้จักเอาออก ไม่รู้จักพิจารณากันบ้างเลย
จะเอาตั้งแต่ธรรม มีแต่ความเกียจคร้าน มันจะไปรู้เรื่องอะไร นอนมันทั้งวันทั้งคืนอยู่ตรงนั้น ลูกชายใครบวชแล้วก็มีตั้งแต่ความเกียจคร้าน น่าละอายนะ รีบแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเราเอง กว่าจะได้มาเป็นที่พักที่อาศัย ที่อยู่ที่บำเพ็ญ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายๆ คน ให้มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มันหนักนะ แทนที่จะพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ยังแบกภาระ โยนภาระหนักให้กับสถานที่ โตกันทุกคนแล้ว ยังจะให้คนอื่นๆ เขาบังคับ
การฝึกหัดปฏิบัติตัวเรา เราต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ด้วยกันก็บอก เป็นคนบอกง่าย อย่าเป็นคนบอกยาก อะไรผิดอะไรถูกก็รีบแก้ไข อะไรที่จะนำความวุ่นวายมาให้เราก็รีบแก้ไข รีบปรับปรุง ถ้าไม่รู้จักสอนตัวเราแล้ว ไปที่ไหนก็สอนตัวเองไม่ได้หรอก ไปฟังไปอยู่ที่ไหน พูดปากเปียกปากแฉะ ถ้าไม่แก้ไขตัวเองก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ในหลักธรรมแล้ว รู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้วก็รีบแก้ไข ไม่จำเป็นต้องพูดมากมาย คนเราก็สร้าง อานิสงส์สร้างบุญบารมีมาดี คนที่เข้ามาบวชเข้ามาศึกษาต้องเป็นคนขยัน เป็นคนเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน รีบแก้ไขปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นสมัยก่อนเรายิ่งหนักมากกว่านี้อีก ตั้งแต่ยังไม่ได้มีได้สร้างอะไร อุตส่าห์ทำมาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง 20-30 ปี หาเวลาพักแทบไม่มี เพื่ออนุเคราะห์ให้ทุกคนได้มีความสุข ยังจะพากันมาเกียจคร้าน อุจาดสายตาให้เห็นอยู่ มีอะไรเราก็ช่วยกัน เพียงแค่ที่พักที่อาศัย ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ก็ทำให้มันดี
อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม สร้างสะสมแต่ความเกียจคร้านมันจะไปรู้อะไร ต้องสร้างความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ให้มีให้เกิดขึ้น ในหลักธรรมแม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียว ท่านก็ยังให้จัดการออก ความอยาก ความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก ความเกียจคร้าน สร้างสะสมทีละเล็กละน้อย จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี มันก็เกาะกินเล่นงานอยู่อย่างนั้น แทนที่จะกำจัดออก หาชีวิตที่ประเสริฐ
วันนี้ก็เป็นวันศุกร์ วันศุกร์ วันศุกร์ วันอาทิตย์ก็จะได้มีท่านผู้ใจบุญได้ไถ่ชีวิตโคแม่ลูกคู่หนึ่ง วันที่ 29 ก็อีกคู่หนึ่ง วันที่ 1 ก็อีกคู่หนึ่ง มีโอกาสพวกเราก็ได้มาร่วมกัน ได้มาอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อาศัยสมมติอยู่ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ออกไปภายนอกก็รู้จักคุณค่าของการฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ใช่มาตั้งแต่งอมืองอเท้า มีแต่ความเกียจค้าน ทำอะไรก็ไม่เป็น เสียดายเวลา ถ้าพูดไปก็เหมือนกับว่ากัน ถ้าไม่บอกไม่พูดก็จะติดตามตัวไปอย่างนั้นแหละ ความเกียจคร้านแทนที่จะแก้ไข เอาแค่ความขยันให้มีให้ได้ก่อนก็ยังดี ดีกว่าไม่มี ดีกว่าไม่ทำ ถึงจะละกิเลสไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ ก็ให้รู้จักความขยัน สร้างความรับผิดชอบ ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของตัวเรา รับผิดชอบทุกอย่างนั่นแหละ
ฟืนไฟก็จะไปจะมาก็รู้จักปิดจักเปิด ไม่ใช่เปิดทิ้งเอาไว้ น้ำก็เหมือนกัน เปิดใช้แล้วก็รู้จักปิด คนดูแลรักษามันลำบาก กว่าจะได้มาแต่ละชิ้นแต่ละอัน กว่าจะทำให้เป็นประโยชน์ได้ พวกท่านก็มองเห็นตั้งแต่ปลายเหตุนั่นแหละ น่าละอายนะ นี่ถ้าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม เรามาฝึกก็มาฝึกพวกนี้แหละ ฝึกเพราะความรับผิดชอบ ความเสียสละ ฝึกแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้ามีในใครก็รีบแก้ไขเสีย แก้ไขไม่ได้ก็ออกไปข้างนอกเสีย อย่ามาให้ขวางหูขวางตา ก็อยากจะให้ทุกคนได้ดีนั่นแหละ อยากให้ทุกคนได้มีความสุข ถ้าไม่ฝึกตัวเราแล้วก็ไม่มีใครจะฝึกให้ หลวงพ่อไม่เคยใจดีกับใครนะบอกให้ ถ้าบอกไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้พูดหลายครั้ง
ตั้งแต่รับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ขาดการทำความเพียรตรงนี้มากทีเดียว ทั้งที่ใจเป็นบุญ ใจปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นแก้ไข ว่าขณะนี้กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่าใจของเรามีความปกติ หรือว่ามีความแข็งกระด้าง ทิฏฐิความเห็นถ้าแยกไม่ได้ วิปัสสนาก็ไม่เกิด
แต่เวลานี้สติของเราก็ยังทำความเข้าใจไม่ชัดเจน ไม่ว่าพระว่าโยม สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันต้องทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้เห็นจิต รู้เห็นใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา เห็นการเกิดการดับในความคิด ในอารมณ์ ในขันธ์ห้าของเรา ซึ่งเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ แล้วก็รอบรู้ในสมมติ วิมุตติ รอบรู้ในโลกธรรมแปด ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา รอบรู้ในการแสวงหาปัจจัยสี่ ทีจะมายังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข
ส่วนใจนั้นก็คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีความเพียร ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความอดทน ไม่มีความขยัน ยิ่งมาสร้างความเกียจคร้าน มาสร้างนิวรณ์ มาสร้างความเห็นแก่ตัว หมดสิทธิ์ที่จะเข้าถึงในความบริสุทธิ์ของใจ เราก็ต้องพยายาม รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักแสวงหาให้ถูกที่ให้ถูกทาง แล้วก็ดำเนินให้ต่อเนื่อง สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ต้องโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าไปโทษคนอื่น ตำรา ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าเราไม่ไปทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ก็ยากที่จะรู้ความเป็นจริง ก็ต้องพยายาม รีบแก้ไขปรับปรุงตัวเราเสีย ไม่ว่าพระว่าโยมมาชี ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 สิงหาคม 2556
ดูดีๆ นะ พระเรา ก่อนที่จะขบจะฉัน พิจารณาปฏิสังขาโย ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย ทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่ก็ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้จักพิจารณา รู้จักทำความเข้าใจ อะไรทำก่อนอะไรทำหลัง ไม่ใช่ว่าผัดวันประกันพรุ่ง เสียดายเวลา ความขยันหมั่นเพียรไม่มี เราก็ต้องสร้างให้มี ความรับผิดชอบไม่มี เราต้องสร้างให้มี ไม่ใช่เอาแต่งอมืองอเท้า
การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ยิ่งได้มาบวชเป็นพระเป็นชีก็ยิ่งมีบุญอานิสงส์มากมาย ถ้ามามีแต่ความเกียจคร้านงอมืองอเท้า สร้างสะสมความเกียจคร้านใส่ตัวเราแล้วก็แย่ เสียดายที่ได้เข้ามาบวชมาฝึก พระเราชีเราก็คงไม่มีใครเกียจคร้านหรอกนะ มีตั้งแต่คนขยันมั่นเพียร ถ้าสร้างความเกียจคร้านใส่ตัวเราแล้วก็แย่เลยทีเดียว
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม เราต้องสร้างความขยัน ยิ่งเราเข้ามาบวชมาฝึก เราเคยนอน เราเคยเที่ยว เราก็หยุดเที่ยว เราเคยนอนดึก แล้วก็รู้จักแก้ไขปรับ ปรุงตัวเรา เราไม่เคยเจริญสติเราก็รู้จักสร้างสติ บางคนก็เอาแต่ความเกียจคร้าน ใครมีความเกียจคร้านก็แก้ไขตัวเอง หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่ งอมืองอเท้าทำอะไรก็ไม่เป็น เวลาไปอยู่สังคมสู่โลกภายนอกแล้วยิ่งหนักเข้าไปอีก
เราต้องแก้ไข สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลยความรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ฟืนไฟต่างๆ น้ำท่าต่างๆ เราก็ต้องช่วยกันดูแล บางทีเห็นเปิดทิ้งเอาไว้ทั้งวันทั้งคืนเลยก็มี อยู่ที่ศาลารวม อยู่ที่ศาลาพักศพ ใครไปเปิดทิ้งเอาไว้ ไปทีไรก็ไม่เห็นมีใคร บางทีก็เปิดทิ้งเอาไว้ ต้นไม้มันจะหักทับหัวอยู่แล้ว ก็ยังไม่รู้จักเอาออก ไม่รู้จักพิจารณากันบ้างเลย
จะเอาตั้งแต่ธรรม มีแต่ความเกียจคร้าน มันจะไปรู้เรื่องอะไร นอนมันทั้งวันทั้งคืนอยู่ตรงนั้น ลูกชายใครบวชแล้วก็มีตั้งแต่ความเกียจคร้าน น่าละอายนะ รีบแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเราเอง กว่าจะได้มาเป็นที่พักที่อาศัย ที่อยู่ที่บำเพ็ญ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายๆ คน ให้มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มันหนักนะ แทนที่จะพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ยังแบกภาระ โยนภาระหนักให้กับสถานที่ โตกันทุกคนแล้ว ยังจะให้คนอื่นๆ เขาบังคับ
การฝึกหัดปฏิบัติตัวเรา เราต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ด้วยกันก็บอก เป็นคนบอกง่าย อย่าเป็นคนบอกยาก อะไรผิดอะไรถูกก็รีบแก้ไข อะไรที่จะนำความวุ่นวายมาให้เราก็รีบแก้ไข รีบปรับปรุง ถ้าไม่รู้จักสอนตัวเราแล้ว ไปที่ไหนก็สอนตัวเองไม่ได้หรอก ไปฟังไปอยู่ที่ไหน พูดปากเปียกปากแฉะ ถ้าไม่แก้ไขตัวเองก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ในหลักธรรมแล้ว รู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้วก็รีบแก้ไข ไม่จำเป็นต้องพูดมากมาย คนเราก็สร้าง อานิสงส์สร้างบุญบารมีมาดี คนที่เข้ามาบวชเข้ามาศึกษาต้องเป็นคนขยัน เป็นคนเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน รีบแก้ไขปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นสมัยก่อนเรายิ่งหนักมากกว่านี้อีก ตั้งแต่ยังไม่ได้มีได้สร้างอะไร อุตส่าห์ทำมาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง 20-30 ปี หาเวลาพักแทบไม่มี เพื่ออนุเคราะห์ให้ทุกคนได้มีความสุข ยังจะพากันมาเกียจคร้าน อุจาดสายตาให้เห็นอยู่ มีอะไรเราก็ช่วยกัน เพียงแค่ที่พักที่อาศัย ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ก็ทำให้มันดี
อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม สร้างสะสมแต่ความเกียจคร้านมันจะไปรู้อะไร ต้องสร้างความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ให้มีให้เกิดขึ้น ในหลักธรรมแม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียว ท่านก็ยังให้จัดการออก ความอยาก ความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก ความเกียจคร้าน สร้างสะสมทีละเล็กละน้อย จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี มันก็เกาะกินเล่นงานอยู่อย่างนั้น แทนที่จะกำจัดออก หาชีวิตที่ประเสริฐ
วันนี้ก็เป็นวันศุกร์ วันศุกร์ วันศุกร์ วันอาทิตย์ก็จะได้มีท่านผู้ใจบุญได้ไถ่ชีวิตโคแม่ลูกคู่หนึ่ง วันที่ 29 ก็อีกคู่หนึ่ง วันที่ 1 ก็อีกคู่หนึ่ง มีโอกาสพวกเราก็ได้มาร่วมกัน ได้มาอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อาศัยสมมติอยู่ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ออกไปภายนอกก็รู้จักคุณค่าของการฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ใช่มาตั้งแต่งอมืองอเท้า มีแต่ความเกียจค้าน ทำอะไรก็ไม่เป็น เสียดายเวลา ถ้าพูดไปก็เหมือนกับว่ากัน ถ้าไม่บอกไม่พูดก็จะติดตามตัวไปอย่างนั้นแหละ ความเกียจคร้านแทนที่จะแก้ไข เอาแค่ความขยันให้มีให้ได้ก่อนก็ยังดี ดีกว่าไม่มี ดีกว่าไม่ทำ ถึงจะละกิเลสไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ ก็ให้รู้จักความขยัน สร้างความรับผิดชอบ ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของตัวเรา รับผิดชอบทุกอย่างนั่นแหละ
ฟืนไฟก็จะไปจะมาก็รู้จักปิดจักเปิด ไม่ใช่เปิดทิ้งเอาไว้ น้ำก็เหมือนกัน เปิดใช้แล้วก็รู้จักปิด คนดูแลรักษามันลำบาก กว่าจะได้มาแต่ละชิ้นแต่ละอัน กว่าจะทำให้เป็นประโยชน์ได้ พวกท่านก็มองเห็นตั้งแต่ปลายเหตุนั่นแหละ น่าละอายนะ นี่ถ้าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม เรามาฝึกก็มาฝึกพวกนี้แหละ ฝึกเพราะความรับผิดชอบ ความเสียสละ ฝึกแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้ามีในใครก็รีบแก้ไขเสีย แก้ไขไม่ได้ก็ออกไปข้างนอกเสีย อย่ามาให้ขวางหูขวางตา ก็อยากจะให้ทุกคนได้ดีนั่นแหละ อยากให้ทุกคนได้มีความสุข ถ้าไม่ฝึกตัวเราแล้วก็ไม่มีใครจะฝึกให้ หลวงพ่อไม่เคยใจดีกับใครนะบอกให้ ถ้าบอกไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้พูดหลายครั้ง
ตั้งแต่รับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ขาดการทำความเพียรตรงนี้มากทีเดียว ทั้งที่ใจเป็นบุญ ใจปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นแก้ไข ว่าขณะนี้กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่าใจของเรามีความปกติ หรือว่ามีความแข็งกระด้าง ทิฏฐิความเห็นถ้าแยกไม่ได้ วิปัสสนาก็ไม่เกิด
แต่เวลานี้สติของเราก็ยังทำความเข้าใจไม่ชัดเจน ไม่ว่าพระว่าโยม สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันต้องทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้เห็นจิต รู้เห็นใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา เห็นการเกิดการดับในความคิด ในอารมณ์ ในขันธ์ห้าของเรา ซึ่งเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ แล้วก็รอบรู้ในสมมติ วิมุตติ รอบรู้ในโลกธรรมแปด ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา รอบรู้ในการแสวงหาปัจจัยสี่ ทีจะมายังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข
ส่วนใจนั้นก็คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีความเพียร ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความอดทน ไม่มีความขยัน ยิ่งมาสร้างความเกียจคร้าน มาสร้างนิวรณ์ มาสร้างความเห็นแก่ตัว หมดสิทธิ์ที่จะเข้าถึงในความบริสุทธิ์ของใจ เราก็ต้องพยายาม รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักแสวงหาให้ถูกที่ให้ถูกทาง แล้วก็ดำเนินให้ต่อเนื่อง สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ต้องโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าไปโทษคนอื่น ตำรา ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าเราไม่ไปทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ก็ยากที่จะรู้ความเป็นจริง ก็ต้องพยายาม รีบแก้ไขปรับปรุงตัวเราเสีย ไม่ว่าพระว่าโยมมาชี ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน