หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 100
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 100
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 100
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 สิงหาคม 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว หยุดภาระหน้าที่การงานทางด้านรูปธรรมเราก็หยุดมาแล้ว ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดที่เกิดจากใจของเรา มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้ชำนาญให้เป็นธรรมชาติที่สุด พยายามฝึกระลึก สร้างความรู้ตัวได้เมื่อไรแล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรา รู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณา ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่สงบเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ มองเห็นชีวิตของคน มองเห็นชีวิตของตัวเรา ว่าจะไปอย่างไรมาอย่างไร อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม เราก็จะได้เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา การเกิดแก่เจ็บตาย มันมีอยู่ตลอดเวลา มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงทางด้านรูปธรรม จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือ ดินน้ำลมไฟ จิตใจนั้นเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ความไม่เที่ยงของจิตใจมันปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เราต้องมาวิเคราะห์ มาทำความเข้าใจ กว่าจะถึงวันหมดลมหายใจ ก็ให้อยู่ดีมีความสุข สนุกสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา
เราต้องแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ทำไมใจถึงเกิด ทำไมถึงใจถึงเป็นทาสของอารมณ์ ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เราจะละวิธีที่ไหน ดับวิธีที่ไหน แก้วิธีไหน แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ เว้นเสียแต่พวกเราจะทำความเข้าใจให้กระจ่างภายในใจของเราหรือไม่เท่านั้นเอง ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส เขาก็ว่าง ทีนี้เราก็มาละความเกิด มาดับความเกิด มาดับความเกิด มาหยุดความเกิด ให้เกิดด้วยสติ เกิดด้วยปัญญา เกิดด้วยเหตุด้วยผล ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่ความอยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา ต้องทำความเข้าใจหมด อยากร่ำอยากรวย ก็ต้องขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าถึงเวลาแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แม้แต่กายของเราก็กลับขึ้นสู่สภาวะเดิม คือ ดินน้ำลมไฟ
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน รู้สึกว่าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกตวิเคราะห์ให้รู้เท่าทันนี่ยาก ถ้าเราไม่ขยัน ถ้าไม่ฝักใฝ่ ไม่สนใจจริงๆ ส่วนมากก็สนใจอยู่ตั้งแต่ว่าทำบุญให้ทาน ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าอะไรคือธรรม อะไรคือการเจริญสติที่แท้จริง แต่ก็ยังหลงอยู่ แต่ก็หลงอยู่ในกุศล ในบุญในกุศล ก็ยังดีอยู่ ในหลักธรรมท่านต้องให้รู้ความเป็นจริง แล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างบารมีในฝ่ายกุศล แต่ไม่ให้ยึดอีก ให้อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรสร้างบารมีมาดีก็จะย่อมจะเข้าใจ พยายามนะ แต่ละวันๆ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ตื่นขึ้นมาเราทำบุญให้ตัวเราแล้วหรือยัง เรามีความเพียร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที มีความเสียสละ มีความโอบอ้อมอารี ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี ไม่โยนความลำบากไปให้คนโน้นคนนี้ แม้แต่กายของเรานี่ก็ยังลำบากอยู่ เราก็ต้องรีบแก้ไข แก้ไขตัวเราแล้วล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง สู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
คนเรามีอานิสงส์มีบุญถึงได้มาอยู่ร่วมกัน เราได้สร้างบุญร่วมกันมานั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ทีนี้เราก็มาแก้ไขมาปรับปรุง ถึงเวลาพวกเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานั้นเราก็มาจำแนกแจกแจง มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสีย อยู่ก็มีความสุข ไปก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข มีอะไรเราก็ให้ช่วยๆ กัน เพื่อที่ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม
วันนี้พระเราชีเราส่วนหนึ่งก็พากันไปช่วย ช่วยติดหินกาบให้หน่อยนะ ติดหินกาบทางสวนมะลิวัลย์ ติดกระเบื้อง เศษกระเบื้อง ทำก้อนหินให้เสร็จ จะได้มีที่นั่งที่นอนก่อนที่พายุใหญ่จะมา พายุใหญ่มาแล้วลำบากทำไม่ได้ เหลืออีกไม่มากหรอก ช่วยๆ กันเดี๋ยวก็เสร็จ เอาทรายอยู่ที่องค์พระศรีอริยเมตไตรยนั้นแหละ มาช่วยๆ กัน วันนั้นวันนี้ก็เหลือ 5-6 แท่ง เดี๋ยวก็เสร็จ เสร็จแล้วก็จะได้มีที่นั่งที่นอนได้สะดวกสบาย ปักกลดปักเต็นท์ ใครไปใครมาก็มีความสุข ถ้าเราไม่ช่วยกัน ไม่ร่วมกัน มันก็งานสมมติ มันก็ติดๆ ขัดๆ เราช่วยกัน มีมากก็ช่วยกันมาก มีน้อยก็ช่วยกันน้อย จากหนักก็จะกลายเป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี
ให้ทำ ให้ฝึกหัด ให้เป็นกิจวัตรประจำวันของเรา ฝึกไปด้วย ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย มีความสุข มีตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์ระดับสมมติวิมุตติ ได้หมด อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เรามาอาศัยสมมติอยู่ เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสถานที่ให้เกิดประโยชน์ ใครไปใครมาก็มีความสุข เราก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถึงเวลาแล้วเราก็ได้วางสมมติเอาไว้ สมมติ คือ กายของเรานี้ก็สมมติ เราวางภายในของเราแล้วข้างนอกก็ยังประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็จะเกิดตั้งแต่ประโยชน์ อยู่กับบุญแต่ไม่ยึดติดในบุญ ทำบุญ กายวาจาใจของเราให้เป็นบุญ มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ
อันนี้ก็คงจะถึงวาระ ใกล้ๆ เกือบจากกลางพรรษา 3 เดือน เห็นว่าคณะสงฆ์มีมติ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ก็จะได้ลงอุโบสถสังฆกรรมกันที่วัดเราเหมือนเดิม เพราะว่าที่ไหนๆ ก็คงจะลำบากอยู่ ก็คงจะลงมติอยู่ที่วัดเราเหมือนเดิม มีอานิสงส์หล่อหลอมมากมายถึงได้รองรับอานิสงส์บุญมาได้ตลอดเวลา ทุกคน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีโอกาสได้มาสร้างบุญร่วมกัน อนุเคราะห์ให้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดยันตาย เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้นี่แหละ เราพยายามสร้างคุณงามความดีเสีย อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 สิงหาคม 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว หยุดภาระหน้าที่การงานทางด้านรูปธรรมเราก็หยุดมาแล้ว ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดที่เกิดจากใจของเรา มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้ชำนาญให้เป็นธรรมชาติที่สุด พยายามฝึกระลึก สร้างความรู้ตัวได้เมื่อไรแล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรา รู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณา ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่สงบเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ มองเห็นชีวิตของคน มองเห็นชีวิตของตัวเรา ว่าจะไปอย่างไรมาอย่างไร อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม เราก็จะได้เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา การเกิดแก่เจ็บตาย มันมีอยู่ตลอดเวลา มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงทางด้านรูปธรรม จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือ ดินน้ำลมไฟ จิตใจนั้นเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ความไม่เที่ยงของจิตใจมันปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เราต้องมาวิเคราะห์ มาทำความเข้าใจ กว่าจะถึงวันหมดลมหายใจ ก็ให้อยู่ดีมีความสุข สนุกสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา
เราต้องแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ทำไมใจถึงเกิด ทำไมถึงใจถึงเป็นทาสของอารมณ์ ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เราจะละวิธีที่ไหน ดับวิธีที่ไหน แก้วิธีไหน แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ เว้นเสียแต่พวกเราจะทำความเข้าใจให้กระจ่างภายในใจของเราหรือไม่เท่านั้นเอง ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส เขาก็ว่าง ทีนี้เราก็มาละความเกิด มาดับความเกิด มาดับความเกิด มาหยุดความเกิด ให้เกิดด้วยสติ เกิดด้วยปัญญา เกิดด้วยเหตุด้วยผล ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่ความอยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา ต้องทำความเข้าใจหมด อยากร่ำอยากรวย ก็ต้องขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าถึงเวลาแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แม้แต่กายของเราก็กลับขึ้นสู่สภาวะเดิม คือ ดินน้ำลมไฟ
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน รู้สึกว่าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกตวิเคราะห์ให้รู้เท่าทันนี่ยาก ถ้าเราไม่ขยัน ถ้าไม่ฝักใฝ่ ไม่สนใจจริงๆ ส่วนมากก็สนใจอยู่ตั้งแต่ว่าทำบุญให้ทาน ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าอะไรคือธรรม อะไรคือการเจริญสติที่แท้จริง แต่ก็ยังหลงอยู่ แต่ก็หลงอยู่ในกุศล ในบุญในกุศล ก็ยังดีอยู่ ในหลักธรรมท่านต้องให้รู้ความเป็นจริง แล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างบารมีในฝ่ายกุศล แต่ไม่ให้ยึดอีก ให้อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรสร้างบารมีมาดีก็จะย่อมจะเข้าใจ พยายามนะ แต่ละวันๆ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ตื่นขึ้นมาเราทำบุญให้ตัวเราแล้วหรือยัง เรามีความเพียร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที มีความเสียสละ มีความโอบอ้อมอารี ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี ไม่โยนความลำบากไปให้คนโน้นคนนี้ แม้แต่กายของเรานี่ก็ยังลำบากอยู่ เราก็ต้องรีบแก้ไข แก้ไขตัวเราแล้วล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง สู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
คนเรามีอานิสงส์มีบุญถึงได้มาอยู่ร่วมกัน เราได้สร้างบุญร่วมกันมานั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ทีนี้เราก็มาแก้ไขมาปรับปรุง ถึงเวลาพวกเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานั้นเราก็มาจำแนกแจกแจง มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสีย อยู่ก็มีความสุข ไปก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข มีอะไรเราก็ให้ช่วยๆ กัน เพื่อที่ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม
วันนี้พระเราชีเราส่วนหนึ่งก็พากันไปช่วย ช่วยติดหินกาบให้หน่อยนะ ติดหินกาบทางสวนมะลิวัลย์ ติดกระเบื้อง เศษกระเบื้อง ทำก้อนหินให้เสร็จ จะได้มีที่นั่งที่นอนก่อนที่พายุใหญ่จะมา พายุใหญ่มาแล้วลำบากทำไม่ได้ เหลืออีกไม่มากหรอก ช่วยๆ กันเดี๋ยวก็เสร็จ เอาทรายอยู่ที่องค์พระศรีอริยเมตไตรยนั้นแหละ มาช่วยๆ กัน วันนั้นวันนี้ก็เหลือ 5-6 แท่ง เดี๋ยวก็เสร็จ เสร็จแล้วก็จะได้มีที่นั่งที่นอนได้สะดวกสบาย ปักกลดปักเต็นท์ ใครไปใครมาก็มีความสุข ถ้าเราไม่ช่วยกัน ไม่ร่วมกัน มันก็งานสมมติ มันก็ติดๆ ขัดๆ เราช่วยกัน มีมากก็ช่วยกันมาก มีน้อยก็ช่วยกันน้อย จากหนักก็จะกลายเป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี
ให้ทำ ให้ฝึกหัด ให้เป็นกิจวัตรประจำวันของเรา ฝึกไปด้วย ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย มีความสุข มีตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์ระดับสมมติวิมุตติ ได้หมด อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เรามาอาศัยสมมติอยู่ เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสถานที่ให้เกิดประโยชน์ ใครไปใครมาก็มีความสุข เราก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถึงเวลาแล้วเราก็ได้วางสมมติเอาไว้ สมมติ คือ กายของเรานี้ก็สมมติ เราวางภายในของเราแล้วข้างนอกก็ยังประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็จะเกิดตั้งแต่ประโยชน์ อยู่กับบุญแต่ไม่ยึดติดในบุญ ทำบุญ กายวาจาใจของเราให้เป็นบุญ มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ
อันนี้ก็คงจะถึงวาระ ใกล้ๆ เกือบจากกลางพรรษา 3 เดือน เห็นว่าคณะสงฆ์มีมติ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ก็จะได้ลงอุโบสถสังฆกรรมกันที่วัดเราเหมือนเดิม เพราะว่าที่ไหนๆ ก็คงจะลำบากอยู่ ก็คงจะลงมติอยู่ที่วัดเราเหมือนเดิม มีอานิสงส์หล่อหลอมมากมายถึงได้รองรับอานิสงส์บุญมาได้ตลอดเวลา ทุกคน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีโอกาสได้มาสร้างบุญร่วมกัน อนุเคราะห์ให้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดยันตาย เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้นี่แหละ เราพยายามสร้างคุณงามความดีเสีย อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ