หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 92

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 92
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 92
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 92
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน วันนี้ก็เป็นวันเข้าพรรษา วันปราวณาเข้าพรรษากัน ตื่นเช้าขึ้นมาฝนฟ้าก็ตกโปรยๆ เทวดาก็ประพรมน้ำมนต์มาให้ เมื่อคืนนี้ญาติโยมมาเยอะ เยอะมากจริงๆ หาที่จอดรถก็ค่อนข้างลำบาก รถนี่ล้นไปตามถนนหนทาง มาด้วยแรงบุญ มาด้วยแรงบุญแรงกุศล โชคดีที่ฝนฟ้าไม่ตก เห็นญาติโยมมาแล้วก็ดีใจ ภูมิใจ มีความสุข อยากให้ทุกคนปรารถนาให้ทุกคนได้มีความสุขกัน เข้ามาทำความเข้าใจในชีวิตของเรา เข้ามาทำบุญวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา พากันทำบุญทั่วประเทศไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกลทั่วโลก วันอาสาฬหบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนากัน

ในหลักการแล้วทุกคนก็มีจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน แต่เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้รู้ เข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วก็เอาไปใช้ เอาไปดับทุกข์กับชีวิตประจำวันของเราให้ได้ ไม่ใช่ว่าจะรู้เพียงแค่ในปัญญาทางโลกๆ เท่านั้นเอง เราต้องเข้าถึง ทำความเข้าใจ แล้วก็สร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่จิตใจของเรา จิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจของเรามีความสุข เราก็ต้องพยายามพิจารณา เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล ทุกเรื่องของชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ยิ่งการบวชเป็นพระ เป็นชี เป็นเณร วางภาระหน้าที่สมมติส่วนตัวเข้ามาศึกษาค้นคว้าชีวิตของเรา เราก็ต้องมาทำความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การเจริญสติเป็นอย่างไร การละความอยากเป็นอย่างไร ความอยากยิ่งวางภาระหน้าที่การงาน วางความเคยชินเก่าๆ ก่อนไม่บวช เราก็เคยรับประทานข้าวปลาอาหารหลายมื้อ รับประทานข้าวปลาอาหารได้ตลอดเวลา พอบวชเข้ามาแล้ว เราก็มาอดมางด ก็เลยลดเหลืออยู่มื้อ 2 มื้อ กายของเราก็เลยเกิดความหิว ใจของเราจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว เราก็ต้องพยายามรู้ รู้เท่าทัน รู้จักดับ รู้จักพิจารณา

เวลาขบเวลาฉัน กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราต้องแจงแยกแยะให้ออก รู้จักควบคุม รู้จักควบคุม รู้จักพิจารณากะประมาทในการขบฉันของตัวเราเอง ในหลักธรรมท่านเรียกว่าปฏิสังขาโย พิจารณาตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ไม่ใช่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว เป็นทุกเรื่องในชีวิตที่เราจะต้องทำความเข้าใจในกายของเรา

กายของเราซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง วิญญาณมาสร้างภพสร้างชาติของมนุษย์ คำว่าภพคำว่าชาติเป็นอย่างไร ขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ที่ท่านบอกว่าเป็นขันธ์เป็นกอง มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เข้ามาสร้าง มาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผลให้รู้ หาเหตุหาผลให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริง จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละ เขาเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ถ้ารู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย จนกำลังสติปัญญาของเราค้นคว้าหาเหตุหาผลได้หมดทุกเรื่อง จนใจหรือว่าวิญญาณไม่มีอะไรที่จะมาต่อรองได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง

มี ความจริงมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ แนวทางมีอยู่ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะขยันหมั่นเพียรหรือไม่เท่านั้นเอง รู้จักแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ กาย วาจา ใจ เราต้องพยายามพิจารณาดู รู้ ให้เห็นด้วย อย่าปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาภายนอก เวลาภายใน เมื่อคืนนี้ญาติโยมก็มาเยอะ เต็มล้นองค์หลวงปู่ใหญ่ กว้างๆ ก็คับแคบ วัดเราก็คับแคบ แหล่งบุญอยู่ที่ไหนเหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาย่อมจะหลั่งไหลมาเป็นธรรมดา เราพยายามน้อมนำเอาคำสอนของพระพุทธองค์ไปประพฤติไปปฏิบัติ การเจริญพรหมวิหาร การละกิเลส การแก้ไขตัวเราเอง มีความรับผิดชอบ ทุกเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในปัจจุบัน

คำว่าปัจจุบันธรรม เป็นลักษณะอย่างไร กำลังสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร เราได้สร้างขึ้นมาแล้วหรือยัง ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องศึกษาค้นคว้าให้ละเอียด เพราะว่าทุกคนมีหมด มีหมดอยู่ในกายก้อนนี้มีหมด แต่ไม่ค่อยจะสนใจ อยากจะได้แต่บุญ อยากจะทำบุญอย่างเดียว มันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ในระดับของสมมติ ถ้าพูดตามหลักธรรมก็ยังหลงอยู่ แต่ก็เป็นพื้นฐาน เป็นบารมีในการเดินสู่ที่สูง ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา เราต้องพยายาม ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าถึงตรงนี้

การละกิเลส ความอยาก ความทะยานทะยานอยาก ทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ก็ต้องละ ต้องดับ ต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ทุกคนก็มีโอกาสที่จะถึงจุดหมายปลายทางกันหมด จะถึงช้าหรือถึงเร็ว เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปปิดกั้นตัวเรา อย่าไปปิดกั้นคนอื่น อะไรที่จะเป็นบุญก็ให้รีบทำในพรรษานี้ก็มีภาระหน้าที่การงานหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จ ก็ว่าปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชน์ใหญ่ให้ทุกคนได้มีความสุข ได้มากราบมาไหว้ความเป็นศิริมงคลของชีวิต มากราบ มาไหว้พระบรมสารีริกธาตุ มาบูชาหลวงปู่ใหญ่ มาสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ มากราบไหว้ ตัวเราเองนั่นแหละ ถ้าใจของเราไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เราก็กราบไหว้ไม่ได้ ละทิฏฐิ ละมานะ ละอัตตาตัวตน ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์

การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือ ชี้เหตุชี้ผล แยกแยะภายในของเรา ตรงนี้แหละสำคัญ คำว่าพุทธะ ผู้รู้ ก็รู้ใจของเรา ไม่ให้ใจของเราเกิด ใจของเราหลง ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนหรอก ตำราใบใหญ่ก็กายของเรานี้แหละ ตำราเดินได้ ในกายของเรามีอะไรดีๆ เยอะ ขอให้เราสนใจเถอะ ขอให้เราน้อมเข้าไปวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุหาผลเถอะ เราก็จะมองเห็นความเป็นจริง ไม่ต้องไปเที่ยวหาที่ไหน

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร ขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ลักษณะของความรู้ตัว สติที่รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราได้สร้างขึ้นมาแล้วหรือยัง ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันสัก 5 นาทีเนี่ยมีแล้วหรือยัง 5 นาที 10 นาที จนเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนรู้ จนเห็น จนตามทำความเข้าใจ จนเป็นอัตโนมัติ นั่นแหละถึงเรียกว่า อัตโนมัติในการดู ในการรู้ ไม่มีอะไรที่จะไปค้นคว้า ไม่มีอะไรที่จะไปละ ถึงเป็นเอกเทศ เป็นอิสระ ถึงเวลานั้นธรรมก็จะรักษาเรา ความว่าง ความบริสุทธิ์ สมาธิปัญญา เขาก็จะรักษาเราเอง

เวลานี้สติก็ไม่มี มีอยู่ มีนิดเดียวไม่ต่อเนื่อง เราก็ต้องทำต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ ทั้งพระทั้งชีมีอะไรก็ช่วยกัน งานสมมติเราก็ช่วยกันทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ใครเข้ามาก็ได้มีความสุข ได้มาดู มารู้ มาเห็น จิตใจก็มีความสุข นั่นแหละบุญก็บังเกิดขึ้น อยากจะดับทุกข์ได้จริงๆ ก็ต้องขัดเกลากิเลสเอาเอง ไม่ใช่อย่าว่าจะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ ให้คนอื่นเขาพาดำเนินพาทำ อย่างนั้นไปไม่ถึงไหน

บุคคลที่มีบุญฟังนิดเดียว จะพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็จะมองเห็นความจริงของชีวิต ไม่ว่าพระว่าโยมชี พยายามขยันหมั่นเพียรกันทุกเรื่อง จะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยว อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลา เหมือนกันหมด เท่ากันหมด แต่ความขยันหมั่นเพียรจะเท่ากันหรือไม่ ขยันหมั่นเพียรที่ถูกทางหรือไม่เท่านั้นเอง

แนวทางนั้นมีมานานแล้ว ตั้งแต่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้นั่นแหละ ท่านเอามาเปิดเผย ท่านก็ยังบอกว่าถึงพระพุทธเจ้าไม่เกิด ธรรมะก็มีอยู่ แต่ไม่มีใครเอามาเปิดเผย พระพุทธองค์เกิดขึ้นมาแล้วก็มาค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้รู้ ได้เห็น ได้ประพฤติปฏิบัติตาม ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน เราถึงยกพระพุทธองค์ขึ้นไว้สู่ที่สูง เป็นพระบรมครูของโลก ของเหล่ามนุษย์ ของเทวดาทั้งหลาย ให้พวกเราพากันประพฤติปฏิบัติ ตามแนวทางเถอะ ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวเราเอง หมดความสงสัย หมดความลังเล เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน อาจจะเกิดในภพภูมิที่ดี ภพภูมิที่สูง เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยแรงของกรรม ทุกคนก็มีกรรม มีกรรมเหมือนกันหมด แต่เราจะต้องทำความเข้าใจกับกรรมให้ละเอียดได้หรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราพยายามทำอยู่ที่บ้าน ที่ไร่ที่นา ที่ทำการทำงาน ก็รีบสำรวจตรวจตราดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง เราขาดตกบกพร่องตรงไหนก็รีบทำเสีย ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ให้เข้าใจ ให้เข้าใจในแนวทางของการประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์

อีกอย่างหนึ่งนั้น ที่วัดของเรานี่ก็ยิ่งญาติโยมมาเยอะ คนมาเยอะ คือขโมยขโจรก็เข้ามาเยอะเหมือนกัน ก็ให้ระวังหน่อยนะ ให้ระวังหน่อย บอกกล่าวเตือนกัน สองสามวันก่อนก็ขึ้นมางัดกุฏิ งัดวิหาร งัดหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ ช่วงบวชพระ บวชอะไรต่างๆ เขาก็แอบเข้ามานั่นแหละ ขโมยก็ขโมยทีเผลอนั่นแหละ อันนี้เราก็อย่าไปโทษเขาเถอะ ยกให้เป็นกรรม ก็มีวิบากกรรมอย่างไรก็ยกให้ไปตามวิบากกรรมของเขา เราลงโทษไม่ได้ กฎหมายลงโทษไม่ได้ กรรมก็ลงโทษเขาอีก เราก็ให้อโหสิกรรม เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธ ไปด่า ไปว่าใครได้หรอก นอกจากแก้ไขตัวเราเอง

อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง จงพยายามยังทรัพย์ให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเถิด

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนกันสักพักหนึ่งนะ อดทนนั่งต่อสักระยะหนึ่ง ฝืนร่างกายสักระยะหนึ่ง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ร่างกายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกกระทบปลายจมูกของเรา ก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละที่เรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ ถ้าความรู้สึกของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่

เพียงแค่เริ่มสร้างให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ ยังทำกันไม่เคยชิน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ที่เกิดจากตัวจิตตัววิญญาณเก่า ปัญญาเก่า นั่นก็คิดไปกันหมด ถึงมาสร้างความรู้ตัวฉุดกันไปฉุดกันมา ฉุดกันไปฉุดกันมา ถ้ากำลังความรู้ตัวของเราเร็วไวขึ้น ต่อเนื่องขึ้น ตัวใจของเราก็จะช้าลงๆๆ จนกว่าจะรู้เห็นการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ถ้าเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันเมื่อไรนั่นแหละ ถ้าเรารู้เท่าทัน เขาจะดีดออกจากกัน เขาจะแยกออกจากกันโดยปริยาย เราไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกได้เลย นี่แหละ เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้

เพียงแค่เริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้นของตัววิปัสสนา อย่าไปคิด อย่าไปนึก อยากเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้เป็นวิปัสสนา อันนั้นมันไม่ใช่ เป็นวิปัสสนึกทั้งนั้น ถึงจะพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรม ตราบใดที่ยังเกิด ใจที่ยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า จะเรียกว่าวิปัสสนาไม่ได้ ถ้าแยกแยะได้ คลายได้ ใจก็จะพลิกหงายขึ้นมา ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เดินเหินเหมือนกับไม่มีกาย แต่กายสมมติก็มีอยู่ คือความรู้ตัวของเราก็ตามดูเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า บางทีก็เป็นเรื่องของอดีตบ้าง เป็นเรื่องของอนาคตบ้าง บางทีก็เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ซึ่งท่านเรียกว่ากองสังขาร

ตามดูทุกเรื่อง มันก็จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั่นแหละ เวลาเขาดับไป ความว่างเปล่าก็ปรากฏ ไตรลักษณ์ เขาก็เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเรา ตามดูทุกเรื่อง เราก็จะเห็นความเป็นจริง ใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่ เราก็จะมองเห็นว่าขันธ์ห้าเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีตัวไม่มีตน จนขี้เกียจตามนั่นแหละ ตามดูทีไรก็ลงไตรลักษณ์ ลงความว่าง จนใจของเราอยากจะหลบ อยากจะหลีก อยากจะหนี มันหนีไม่พ้น ถึงจะอยู่อุเบกขา ถ้าใจของเราเกิดกิเลส เราก็มาละ มาดับ มาขัดเกลากิเลสออกจากใจอีก แม้แต่การเกิด ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรตามดูทุกเรื่อง ไม่ปล่อยปละละเลย ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร สติพลั้งเผลอได้อย่างไร เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกเป็นธรรมชาติหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างมีหมด ความจริงมีหมด สัจจะมีหมด

ถึงหลวงพ่ออาจจะพูดไม่เก่ง อาจจะชี้แนะไม่เก่ง แต่ก็พยายามให้รู้จักการเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผลเสียก่อน แล้วตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ทีนี้เราไม่อยากจะละ เราก็ต้องละ เราไม่อยากจะปล่อย เราก็ต้องปล่อย เพราะว่าความจริงมันเห็นชัดเจน ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่ไหนเลย ลงที่กายที่ใจของเรานี่แหละ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทั้งกลางวันกลางคืน เราต้องตามทำความเข้าใจ จนหมดความสงสัย จนไม่มีอะไรเหลือนั่นแหละ ถึงจะอยู่แบบมีความสุขได้

แต่กายของเราก็เป็นก้อนทุกข์ เราก็ต้องทำความเข้าใจ กายของเราก็ยังอยู่กับสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ใจของเรารับรู้ ไม่เหลือวิสัยหรอกนะ พยายามพากันทำ พากันสร้างกัน ยังประโยชน์ทรัพย์ภายในของเราให้ถึงที่สิ้นสุด ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ยังปฏิบัติอยู่ ถ้าไม่ถึงจริงๆ วันนี้ วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ ถ้าไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องมีเสบียงเดินทาง อย่าพากันมัวเมา อย่าพากันประมาท อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นกุศลก็ให้รีบสร้างรีบทำเสีย

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง