หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 82

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 82
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 82
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 82
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 มิถุนายน 2556

พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้จักการเจริญสติ รู้จักการทำความเข้าใจกับจิตใจ วิญญาณของตัวเราเอง เรามีความขยันหมั่นเพียรที่ต่อเนื่องหรือไม่ หรือว่าเรามีความเกียจคร้าน เรามีความสำเหนียก พิจารณาตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุก จะครองผ้า นุ่งสบง ครองจีวร ห้องส้วมห้องน้ำ ชำระร่างกาย มีสติรู้ตัว รู้กาย รู้ใจ รู้ความปกติ เราต้องพยายามฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการอบรมใจของเรา อะไรเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ จนกระทั่งถึงวาระเวลาที่จะได้ขบได้ฉัน พิจารณาปฏิสังขาโย กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก วิเคราะห์ดู ความหิว ความอยาก ความอยากต้องควบคุม ความหิวก็ให้รับรู้ พิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง กะประมาณในการขบฉัน ฉันเอามากก็เหลือ เอาน้อยก็ไม่อิ่ม

คนเรามองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ มีตั้งแต่มัวเมาเล่น ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความขยันหมั่นเพียร มีตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันก็เลยพลาดทรัพย์อันใหญ่ ทรัพย์สมมติก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทรัพย์วิมุตติทางด้านจิตใจ ทางด้านวิญญาณก็ไม่สงบ เพราะว่าเราขาดความขยัน ขาดความรับผิดชอบ ขาดความเสียสละ บุคคลที่มีสติมีปัญญาก็จะพิจารณาใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนไม่เหลืออะไรที่จะพิจารณา จนมองเห็นความเป็นจริงของชีวิต จากการไป การมา การเกิดเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย มีอะไรเราก็ช่วยกัน หนักเอาเบาสู้

วันนี้อากาศก็แจ่ม เมื่อวานนี้ก็ครึ้มทั้งวัน ฝนฟ้าก็โปรยลงมาบ้าง ปีนี้รู้สึกว่าแล้ง แล้งยาวนานอยู่ ทุกปีน้ำเข้าบ่อเต็ม ปีนี้ก็รู้สึกว่าน้ำยังไม่ได้เข้าบ่อเลย น้ำแล้ง แล้งกันทั่วประเทศก็เกือบจะว่าได้ ปีสองปี หรือปีกลาย หรือ 2 ปีที่ผ่านมา ปีกลายที่ผ่านมาก็น้ำท่วม หรือ 2 ปี ปีนี้ก็แล้ง ธรรมชาติไม่คงที่ ธรรมชาติไม่สมบูรณ์ ไม่สมดุล ก็ว่าคนเราทำลายธรรมชาติกันเยอะ ทั่วโลกมีการทำลายป่า มีการทำลายธรรมชาติกัน ก็เลยภัยธรรมชาติก็ตอบโต้เอาทุกวิถีทาง เราก็แก้ไขเท่าที่เราแก้ไขได้ในสถานที่ของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีโอกาสก็พากันปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่นร่มเย็น ชอบธรรมชาติ ชอบป่า แต่ไม่ชอบปลูกป่า ก็เลยมีแต่พากันทำลายป่า ภัยพิบัติก็รุมล้อมเข้ามา จะไปโทษใคร ก็โทษสัตว์โลกพวกเรานี่แหละ เพราะว่าความหลง ความทะเยอทะยานอยาก เป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส มือใครยาวสาวได้สาวเอา ก็เลยทำลายตัวเอง ทำลายธรรมชาติ ทำลายตัวเองย้อนกลับมาหาตัวเราเอง

โลกก็ร้อน ไปที่ไหนก็ร้อน เพราะว่าธรรมชาติถูกทำลาย ตามป่าตามเขาต่างๆ ก็เป็นภูเขาหัวโล้นกันเสียเกือบจะหมด ตามหน่วยป่าอนุรักษ์ต่างๆ วิ่งรถไปตามถนนหนทางก็ป่าก็หนาทึบอยู่ข้างทาง พอออกจากข้างทางไปเส้นเดียวนั่นโล่งไปหมดเลย แถวๆ ภูพานนี่เยอะเลย ไม่ว่าทุกที่ แถวเมืองเลยก็เหมือนกัน เคยนั่งรถผ่านป่าภูเขาเมืองเลย มีแต่ภูเขาหัวโล้น มีป่าเฉพาะชายขอบของถนน จะไม่แห้งแล้งได้อย่างไร เพราะคนเราไปทำลายธรรมชาติกันมากมาย เรามามีโอกาส เรามาช่วยกันปลูกป่า ถึงมีสถานที่ไม่เยอะ เราก็ช่วยกันปลูก ช่วยกันปลูก ช่วยกันรักษา สมัยก่อนที่วัดของเรานี่ก็ไม่มีป่าหนาอย่างนี้หรอก มีตั้งแต่ป่าเพ็ก ป่าหนาม เผากันทั้งปี แห้งแล้งกันดารไม่น่าเข้า ทุกวันนี้ก็ร่มรื่นร่มเย็น ก็พออาศัยอานิสงส์ของเราทุกคนมาช่วยกันปลูกปีแล้วปีเล่า

หลวงพ่อก็พานำ พาทำ พาปลูก ก่อนที่จะปลูกได้นี่ก็เอารากเพ็กออกเสียก่อนนะสมัยก่อน เพราะว่าปลูกไม่ได้ ต้นไม้มันไม่ค่อยเกิด เพราะว่ารากเพ็กเยอะ ต้องคอยขุด คอยเอาออกทุกปีๆ ดินไม่ดีก็หาปุ๋ยมาใส่ พัฒนามาเรื่อยๆ จนได้ป่าที่น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ น่าร่มรื่น ถึงมีป่าเยอะเราก็ยังปลูกป่าอีก ปลูกให้เต็มทุกที่ทุกจุด แซมเข้าไป ตรงไหนมันช่องว่างมีเราก็แซมเข้าไป มีวันนี้ก็เอาไม้มาส่ง ไม้ใหญ่ ไม้ไทรใหญ่อีกต้น ไม้สาละเล็กอีกประมาณสัก 150 ต้น สั่งเอาไว้อยู่ประมาณสัก 300 ต้น

วันนี้เอามาส่งพระหนุ่มเณรน้อยของเรา ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งฆราวาส รวมพลังกันปลูกป่านะ รวมพลังกันปลูกป่า วันนี้อย่าไปเกียจคร้าน ยิ่งพระหนุ่มๆ ให้ขยันหมั่นเพียรทุกๆ อย่าง สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา การกระทำของเราให้ถึงพร้อม มันถึงจะเกิดประโยชน์ เราบวชเข้ามาก็ให้ได้มีอานิสงส์ติดตามตัว เรามามัวเอาแต่เกียจคร้าน ทำอะไรก็ไม่เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเสื่อม ถ้ามีความเกียจคร้าน ถ้าเราเพิ่มความขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ มีความกระตือรือร้น ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน ทำสมมติอะไรมันขาดตกบกพร่องเราก็ทำ

คนเราจะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร อยู่คนเดียวเราก็เพียร อยู่หลายคนเราก็เพียร รู้จักการเจริญสติ รู้จักการอบรมใจของตัวเราเอง อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรการทำความเข้าใจสมมติวิมุตติ สมมติก็คือโลกธรรม สมมติภายนอก สมมติที่อยู่กับตัวของเราคือร่างกายของเรา เราต้องทำความเข้าใจให้หมดทุกอย่าง ก่อนที่จะหมดลมหายใจ แล้วก็ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติให้เกิดประโยชน์

มีก็วันนี้แหละเราได้ร่วมพลังกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ภาระหน้าที่จุดอื่นวางไว้ก่อนนะ วางไว้ก่อน มาร่วมกันปลูกป่า มาช่วยกันปลูกป่า ทางรถต้นไม้ต้นเล็กให้เอาไปลงทางศาลารวมญาติ ศาลาพักศพ ต้นไม้ใหญ่ก็เข้ามาฝั่งทางหลวงปู่ใหญ่ พอยังเหลืออีกหลุมใหญ่ หลุมลึก จะทำให้เป็นป่าน่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ ทำให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของทุกคน เรามีโอกาส เราได้มาร่วมกัน เราได้มาช่วยกัน ทำฝากเอาไว้กับแผ่นดิน ไม่ใช่เป็นของคนใดคนหนึ่ง เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นสมบัติของทุกคน เราเพียงแค่มาจัดให้เข้าร่องเข้ารอยน่าอยู่น่าอาศัย ก่อนที่พวกเราจะจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ

ตอนนี้ก็กำลังจะเริ่มบริบูรณ์ ปีหน้าก็จะได้ฉลองสมโภชใหญ่ ทำทุกอย่างให้บริบูรณ์ก่อนที่จะได้ฉลองสมโภชใหญ่ สมบูรณ์แบบ การได้มีป่าที่น่าร่มรื่น น่าอาศัย มีไม้เป็นสิริมงคล ไม้หอม ไม้ประดับ ทุกจุด ทุกที่ องค์หลวงปู่ใหญ่ พระพุทธรูปหยกใหญ่ พระบรมสารีริกธาตุ สิ่งที่เป็นสิริมงคล ระดับของสมมติ ส่วนการขัดเกลากิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกท่านเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวหลวงพ่อสักอย่าง ขึ้นอยู่กับตัวของพวกท่านเอง การละกิเลส ความโลภ ความโกรธ การเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปดำเนิน ไม่ขัดเกลาตัวเอง ก็ช่วยเหลือไม่ได้

เราจงพยายามบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น หมั่นพร่ำสอนตัวเรา เรารู้เรา อย่าให้คนอื่นเขามารู้เรา เรารู้เราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ความขยันหมั่นเพียรก็ขึ้นอยู่ที่เรา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยว ไปวิ่ง หาที่โน่น หาที่นี่ ให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน การชี้แนะแนวทางนั้นมีมาตั้งนาน การสอนตัวเองเราเองนั้น เราก็ต้องสอนตัวเราเองตลอดเวลาถึงจะถูก กิเลสก็เกิดขึ้นที่เรา ให้มองตัวเรา แก้ไขตัวเรา ส่วนมากจะไปเพ่งโทษคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ อันนั้นเรื่องนอกกายของเรา

เราทำหน้าที่ของเราให้ดี จิตใจของเราดี ภายนอกไม่ดี จิตใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม จิตใจของเราไม่ดี ข้างนอกดีถึงขนาดไหน จิตใจของเราก็ไม่ดีเหมือนเดิม เราจงมาแก้ไขตัวเรา กายเรา ใจเรา ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี เราห้ามคนโน้นพูด อย่าไปพูดนะ อย่าไปคิดนะ ห้ามไม่ได้ เรามาห้ามใจของเรา ขัดเกลากิเลสที่ใจของเรา รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

ส่วนมากก็ไปแก้ไขข้างนอกถึงมีแต่ความวุ่นวาย รบราฆ่าฟัน ตีกัน ไม่รู้สาเหตุ พระพุทธเจ้าท่านชี้ลงตั้งแต่เหตุ ตั้งแต่จุดเล็กๆ ตั้งแต่ความคิด รู้จักสำรวมกาย แล้วก็วาจา แล้วก็ใจ เราคลายความหลง แล้วก็ละตั้งแต่การเกิดโน่น ความอยากแม้แต่นิดเดียวท่านก็ไม่ให้เกิด ไม่อยากเกิดก็ต้องดับความเกิด ก่อนที่จะดับความเกิดได้ก็ต้องคลายความหลงเสียก่อน เพราะว่าใจของเรามันหลงเกิด หลงมาสร้างภพของมนุษย์ ซึ่งมีกายเนื้อ มีขันธ์ห้ามาห่อหุ้ม ที่พากันสวดกันท่องอยู่

สติก็ไม่ได้เจริญ การทำความเข้าใจก็ไม่มี การละก็ไม่มี มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันก็ยิ่งห่างไกล เราต้องพยายาม เจริญสติเข้าไปขัดเกลา ไปละ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ รู้จักควบคุมกาย วาจา ใจของเรา จะเอาตั้งแต่ทิฏฐิมานะ เข้าห้ำหั่นกัน ไม่มีประโยชน์ มีแต่คนโง่เท่านั้น คนฉลาดเขาจะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อะไรควรพูด อะไรควรเจริญ อะไรควรละ อะไรควรทำ ให้เป็นประโยชน์ ประโยชน์สมมติ ประโยชน์วิมุตติ

แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่มองข้าม คิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ คนเรานี่ชอบ ใครว่าอย่างไรก็วิ่งไปตัด แทนที่จะมองเห็นเหตุเห็นผล พิจารณาหาเหตุหาผล ให้มองเห็นความเป็นจริง มีความเชื่อมั่นในตัวเราเอง เชื่อมั่นในธรรม

ความเป็นกลาง ความว่าง นั่นแหละคือองค์ธรรม ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากความหลง ตัววิญญาณยังหลงความคิด หลงอารมณ์อยู่ เราต้องแยกให้ออก ส่วนกายเนื้อก็อีกก้อนหนึ่ง ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แม้แต่ความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในอาหาร เราก็ต้องพยายามดู เปลี่ยนเป็นความรับผิดชอบ ความต้องการของปัญญาล้วนๆ เข้าไปทำ พูดง่ายเน้อ พูดง่าย แต่การลงมือนี่ต้องอาศัยความเพียรที่ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีบุญถึงได้มาอยู่ร่วมกัน มีวาสนา มีอานิสงส์ต่อกัน ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี หลวงพ่อก็พยายามทำหน้าที่ของหลวงพ่อให้ดี พวกท่านจงพยายามทำหน้าที่ของพวกท่านให้ดี เรามีความเกียจคร้าน เราก็ละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยัน

หลวงพ่อก็พยายามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ทั้งระดับของสมมติ จากความไม่มีอะไร ก็พยายามทำเพื่อให้ทุกคนได้มีความสุขในระดับหนึ่ง จากความลำบากก็พยายามทำ อุตส่าห์ทำมา ล้มลุกคลุกคลานมาตั้ง 30 ปี เพียงแค่ระดับของสมมติ ต่อสู้กับกิเลสภายใน แล้วก็รับรู้กิเลสภายนอกที่โหมทับเข้ามา เราก็เพียงแค่รับรู้ ไม่ได้โต้ได้ตอบอะไร เพราะว่าจะเป็นกรรม ยกให้เป็นกรรม อะไรก็สู้แรงบุญไม่ได้ อะไรก็สู้แรงกุศลไม่ได้ จนไม่มีอะไรที่จะมาสู้แรงของบุญได้หรอก หลวงพ่อถึงบอกให้เกิดขึ้นมาด้วยแรงบุญทุกอย่าง ก็มองเห็นตั้งแต่แรก พวกเรามีโอกาสได้มาสร้างสถานที่ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่

วันนี้ก็พระหนุ่มของเรา ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งฆราวาส วางภาระส่วนอื่นเสียก่อนนะ มาช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้น ช่วยกันยกต้นไม้เข้ามาปลูกในป่าก็พอยกได้ เพราะว่าต้นไม้ไม่ใหญ่เท่าไร ต้นสาละรุ่นเล็กก็ 2-3 นิ้ว 2-3 คนก็ไหวอยู่ ช่วยกัน หลุมก็ให้รถไปขุดเอาไว้หมดแล้วแหละ ให้ท่านอาจารย์โต้งพาหมู่พาคณะ พากันปลูกต้นสาละทางในป่า ส่วนต้นไทรใหญ่ก็จะพากันปลูกทางฝั่งหลวงปู่ใหญ่ ก็จะไล่ไปเรื่อยๆ สมมติบริบูรณ์ ความสุข ความอิ่ม ความเต็มเปี่ยม มันก็จะบังเกิดขึ้น ใครเข้ามาในป่าก็จะมีแต่ความสุข ให้มาด้วยแรงบุญ ใครมาทันก็ทัน ไม่ทันก็เสร็จก่อนทุกอย่าง

ก็บอกกล่าวกันทุกคนนะ บอกกล่าวกันทุกคน ให้มาร่วมมือกัน มาช่วยกัน ด้วยแรงบุญ แรงใจ หลวงพ่อก็จะพาทำเป็นสะพาน เป็นทางผ่านให้ อนุเคราะห์ให้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งตั้งแต่การตายก็อนุเคราะห์ สงเคราะห์ให้กับในเขตตำบลของเรา ก็หลายตำบล ตำบลของเรา ตำบลสำราญ บ้านท่อน ตำบลเขลา ก็มากัน มาแจมกันเยอะอยู่ เดี๋ยวนี้ก็อนุเคราะห์สงเคราะห์ไปก็ 100 ศพแล้ว เผลอแป๊บเดียว 100 ศพ ให้ศพละ 5,000

5,000 ทั้งโลงทั้งจตุปัจจัยไปช่วยเหลือ ในการช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องของเราอนุเคราะห์ให้ เผลอแป๊บเดียว ปีเดียว 100 ศพ ก็คงจะอนุเคราะห์ไปเรื่อยๆ เท่าที่กำลังของเรามี ญาติโยมเราก็มาร่วมกัน มาช่วยกัน นี่แหละทำบุญให้ทุกอย่าง สถานที่ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน อาหารตา อาหารใจ ความเป็นสิริมงคล พวกเรายังพากันมามองข้าม ไม่รู้จักช่วยกันสร้างขึ้นมา ยังขึ้นมาจากน้อยๆ ไปหามากๆ ยังจะพากันมามัวเมาเล่นอยู่ เสียดายเวลา

ตั้งใจรับพร

ขอให้ญาติโยมเราทุกคน ทุกท่าน จงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ขอให้ทุกคนฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก อันนี้เป็นเพียงแค่ชี้แนะ อุบาย วิธี แนวทางเท่านั้นเอง พวกท่านจงพยายามไปทำไปสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มีก็สร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็พยายามประคับประคองให้ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดการดับของใจ หรือว่าวิญญาณนั้น มีอยู่ตลอด การเกิดการดับของความคิดของอารมณ์นั้น มีมาปรุงแต่งใจอยู่ตลอด อันนั้นมีกันทุกคนซึ่งเกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้าของเรา แต่เรามาสร้างความรู้ตัวเสียใหม่ หรือว่ามาเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า

แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีบ้างนิดๆ หน่อยๆ กระท่อนกระแท่นไม่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่เท่าทัน ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ใจอยากจะได้บุญ ความอยากปิดกั้นไว้หมด ความเกิดปิดกั้นไว้หมด ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ทำความเข้าใจให้กระจ่างว่าอะไรผิดอะไรถูก คนเราทั่วไปในความอยากดำเนินความอยากเน้นนำหน้า ความหวัง ความอยาก ก็เลยปิดกั้นเอาไว้หมด

ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทีนี้จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง เป็นความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญา จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีการฝักใฝ่ มีการสนใจ มีการขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจตัวเราเอง ถ้าถึงวาระเวลาก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง อย่าให้พลาดโอกาส

ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล จะไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ก็เป็นแค่เพียงอุบาย ไปหาวิธี หาแนวทาง แต่ตามหลักของความเป็นจริงทุกคนได้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มีการศึกษาเล่าเรียน มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทางด้านรูปกายก็เปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ มีการเสื่อมขึ้น เสื่อมลง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีตั้งแต่ความเสื่อมเกิดขึ้น

ที่ท่านบอกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความคิด อารมณ์ก็เหมือนกัน เกิดๆ ดับๆ ดับๆ เกิดๆ แต่เราขาดการเจริญสติเข้าไปดู เข้าไปรู้เห็นความเป็นจริง เราไปเหมารวมกันไปหมด ก็เลยพลาดโอกาสตรงนี้ ถ้ามีโอกาสเราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์แจงแยกแยะออกให้เห็น เห็นรู้ เห็นอยู่ ในกายของเรานี่แหละ รู้ลักษณะของใจที่ปกติ รู้ลักษณะของใจที่ไม่เกิด รู้ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่คลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขาร

กองสังขารมันมีอะไรบ้าง ลักษณะหน้าตาอาการของกองสังขารเป็นอย่างไร ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ในขันธ์ห้าของตัวเรา ท่านถึงบอกว่ารอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง มีไม่มากหรอก อยู่ในกายของเรา ถ้าเรารู้จักการเจริญสติเข้าไปค้นหาเหตุหาผล รู้ไม่เท่าทัน รู้จักหยุด รู้จักควบคุม ใหม่ๆ ก็อาจจะฝืน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ กิเลสมาร ขันธมาร วิบากกรรม ถ้าอยากจะรู้จักกรรมก็ต้องเจริญสติเข้าไปแจง ไปแยกแยะ จนใจของเราปล่อยวางอยู่เหนือกรรม กรรมเก่า กรรมใหม่ ทีนี้ก็สร้างกุศลกรรม แต่ไม่หลง ไม่ยึด อยู่เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาป มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน

ก็ต้องพยายามกันนะ ทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชีนั่นแหละ ขยันหมั่นเพียร อย่าไปเกียจคร้าน เรามีโอกาสมากที่สุด ยิ่งพระเราก็ยิ่งพยายามขยันหมั่นเพียร อย่าไปเกียจคร้าน ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน มีอะไรเราช่วยเหลือกัน การดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นระเบียบนั่นแหละคือข้อวัตร ตั้งแต่ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ตรงนี้ก็มีบริบูรณ์ อย่ามาทำความสกปรกรกรุงรังให้หนักเข้าไปอีก เราจงพยายามช่วยกัน จากความไม่มีก็ทำให้มี อนุเคราะห์ให้ ให้อยู่ในมีความสุขในระดับหนึ่ง

ทีนี้การเจริญสติ การเจริญสมาธิ เราก็ต้องมาศึกษา มาทำให้มีให้เกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาพาเดิน พานั่ง พาทำ อย่างนั้นอย่างนี้ เราต้องทำอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราสงบ ใจของเราปกติ หรือใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน อะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา สติที่เราสร้างขึ้นมาต่อเนื่องหรือไม่ จนสังเกตแยกแยะ จนจิตคลายออกจากความหลงหรือไม่ จิตของเราคลายได้ เราตามทำความเข้าใจได้ ถึงจะเป็นปัญญา ถึงจะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้

ในข้อแรก ในการดำเนินตามทางของอริยมรรคในองค์แปด คือ ความเห็นที่ถูกต้อง เห็นวิญญาณคลายออกจากความคิด แล้วตามดูความคิด เห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า ใจของเราว่าง รับรู้ มองเห็นความเป็นจริงที่ท่านบอกว่าเหมือนกับพยับแดด หรือว่าเหมือนกับเกลียวคลื่น มองเห็นโลกเป็นของว่าง ใจของเราว่าง ใจสมมติก็มีอยู่ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ ยากที่จะมองเห็น แจงออก เห็นเป็นส่วนๆ ได้ แต่ส่วนมากเราก็มองเห็นในภาพรวม แล้วก็ไปยึด ถ้าใจของเราคลายจากภายในได้จุดเดียว มันก็วางได้หมด ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา

อีกสักหน่อยพวกเราทุกคนก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมดนั่นแหละ ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็เป็นกฎของไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร เรื่องสมมติวิมุตติ เรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องหลักของอริยสัจ มีอยู่ในกายของเราหมด เราจะค้นคว้าหาได้เจอหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกต้อง แนวทางนั้นท่านค้นพบเอามาเปิดเผยตั้งนานแล้วล่ะ แต่พวกท่านจะพากันเดินหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง