หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 69
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 69
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 69
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มิถุนายน 2556
พยายามดูดีๆ นะ พระเราชีเราความอยากความหิว ความอยากนี้เกิดจากใจ ความหิวนี้เกิดจากกาย ตัวรู้ความอยากความหิวคือสติ พยายามดูรู้ รู้ความปกติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะเอาจะมีจะเป็นก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก เรื่องการขบการฉันการรับประทานข้าวปลาอาหารนี่แหละสำคัญเพราะว่าเกี่ยวเนื่องกันกับกายของเรา โดยเฉพาะความอยาก อยากมาให้กายเราก็ต้องหยุดต้องดับ พิจารณาด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย จะไปเอาตั้งแต่เวลาฝึก เวลาเดิน เวลานั่ง อันนั้นเป็นเพียงแค่เสี้ยว
เราต้องดูรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้ฐานของใจ รู้ลักษณะของใจ แก้ไขใจของตัวเรา ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความอยาก เรารู้จักละจักดับ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน หมั่นพร่ำสอนตัวเราตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็สอนใจเรา อยู่หลายคนเราก็สอนใจเรา เพราะเป็นเรื่องของเรา แล้วก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรในทางที่ถูก เราก็พยายามเจริญให้มากๆ ให้มีเพียบพร้อม ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งภายนอกทั้งภายใน จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหละ พยายามดูดีๆ
ช่วยกันทุกวัน ช่วยกันสร้างอานิสงส์ ประโยชน์ของสมมติ ประโยชน์ของวิมุตติ ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนเราก็ดูแลช่วยกัน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความเป็นระเบียบนั่นแหละคือข้อวัตรปฏิบัติ สะอาดจากข้างใน เป็นระเบียบจากข้างใน จัดระบบระเบียบของกายของเรา จัดระบบระเบียบของใจของเรา ไม่ให้ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความกังวล เกิดความลังเล
แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะจัดกันเท่าไร มีแต่ปล่อยใจ ทั้งเกิดทั้งหลง ถ้าแยกแยะไม่ได้ ก็บอกว่าตัวเองไม่หลง ถ้าแยกได้ สังเกตได้ ทำความเข้าใจได้ นั่นแหละถึงจะเห็นความหลง เพราะว่าธรรมชาติของใจ ธรรมชาติของขันธ์ห้าเขาปิดกั้นตัวเองมานาน นอกจากกําลังสติปัญญาที่จะเข้าไปวิเคราะห์เห็นแยกแยะตามทำความเข้าใจให้วิญญาณในขันธ์ห้าของเรามองเห็นความเป็นจริง รอบรู้ในธาตุขันธ์ของตัวเอง รอบรู้ในกองสังขารของตัวเอง ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมวิญญาณหรือว่าใจถึงส่งไปภายนอก ทำไมถึงคิด ทำไมถึงปรุงถึงแต่ง
ในหลักธรรมท่านให้ละ ให้ดับความเกิด ให้หยุด ให้คลายออกให้หมด ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมคือธรรมชาติ เขาหลงมานาน เราต้องมาเจริญสติมาเจริญปัญญา เข้าไปหาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล ตามดูรู้เห็นเหตุเห็นผล ให้วิญญาณของเรามองเห็นความเป็นจริงได้นั้นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ แต่ก็ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยการสร้างบารมีอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเห็นแล้วจะปล่อยละเลยเลย มันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม คนเรามันมีการแก้ไขได้ ปรับปรุงได้ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่
ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์เหมือนกันหมด แต่สร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน เรามาสร้างต่อมาสานต่อขณะอยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราก็พยายามทำให้ดี ทั้งระดับสมมติเราก็ทำให้ดีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทางด้านจิตใจเราก็คลาย สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็พยายามขยันหมั่นเพียร อย่าไปงอมืองอเท้า พากันขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้ เราจะไปบีบบังคับกันไม่ได้หรอกของพวกนี้ ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคล สร้างมาไม่เหมือนกัน ใครสร้างมาสะสมมาดีต่อไปไม่ลําบาก ใครสร้างมาน้อยก็ต้องขยันหมั่นเพียรขึ้น หมั่นขัดเกลา หมั่นละกิเลส หมั่นสร้างความเพียร ทางสมมติเราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับสมมติ ได้อาศัยสมมติเพราะว่ากายของเรายังอาศัยสมมติอยู่
ในส่วนลึกๆ ใจก็ยังอาศัยสมมติคืออาศัยกายเป็นก้อนสมมติอยู่ สมมติบัญญัติวิมุตติ สมมุติวิมุตติ โลกธรรม เราก็ต้องความเข้าใจ ให้ถึงความหมาย รู้ความหมาย รู้เห็น เห็น เห็นความหมาย เห็นโลก รอบรู้ในโลก รอบรู้ในกองสังขารของเรา รอบรู้ในดวงวิญญาณของเรา ดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชี ความอยาก ความยินดี อยากไม่ใช่ว่าอยากเฉพาะเรื่องอาหารอย่างเดียว อยากมี อยากเป็น อยากไป อยากมา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากมาอีก กลับกันเลยทีเดียว ใจต้องอยู่ในความเป็นกลาง ความว่าง ผิดถูกชั่วดียังไงปัญญาเข้าไปแก้ไขหมดทุกเรื่อง คนเราส่วนมากจะชอบดี จะผลักไสในสิ่งไม่ดี
ในหลักธรรมท่านให้ทำความเข้าใจละสิ่งไม่ดี เจริญสิ่งที่ดีแต่ไม่ให้หลงไม่ให้ยึด เพื่อให้เกิดประโยชน์ พูดง่าย แต่การเข้าถึงนี่ต้องมีความเพียร จนทำความเข้าใจได้นั่นแหละ หมดความสงสัยได้นั่นแหละ จนละดับความเกิดได้หมดจด นั่นแหละ ถึงวางกายวางใจได้เป็นอิสรภาพจริงๆ มัวแต่เมาเล่นสนุกสนาน มันก็ช้า ถ้าคนเข้าใจดูมีความเพียรตลอดทั้งกลางวันทั้งกลางคืน มีความสุข อยู่กับสมมติ ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย ได้หมดทุกอย่างเลย
สมมติภายนอกเราก็ได้ประโยชน์ไม่ทิ้ง ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อย่างใครเข้ามาในป่าก็ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น นี่แหละพากันช่วยกันปลูกต้นไม้ ทุกปีๆ คนทั่วไปอยากจะได้ธรรมชาติ แต่พากันกลับทำลายธรรมชาติเพียงแค่ระดับของสมมตินะ อยากจะได้ธรรมชาติเราก็ช่วยกันดูแล ช่วยกันปลูก ช่วยกันรักษา เราไม่อยากจะได้มันก็ได้เพราะว่าการกระทำของเรามี
การละกิเลสก็เหมือนกัน เรารู้ฐานการเกิด การดับ เราความเข้าใจ เราละ เราละกิเลสได้หมดจดเท่าไร เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ความบริสุทธิ์ เพราะมันเป็นธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลส เขาก็บริสุทธิ์ ถ้าเขาไม่เกิด เขาก็นิ่ง อันนี้ของเราล่ะ ทั้งเกิด ทั้งเป็นทาสของความอยาก ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าส่งออกไปสักกี่เรื่อง จะไปวิ่งหาตั้งแต่ธรรมภายนอก ธรรมภายนอกก็ได้อยู่ระดับหนึ่ง คือการอนุเคราะห์เกื้อหนุนส่งเข้าไปถึงตัวธรรมภายในคือตัวใจ ถ้าสมมติของเราลําบาก ที่นั่งที่อยู่ที่อาศัย ที่หลับ ที่นอนลําบาก มันก็ปล่อยให้กายลําบากใจก็ต้องดิ้นรน ถ้าสมมติบริบูรณ์ ไม่ได้ลําบาก ใจมันก็สงบนิ่ง มันก็จะเข้าหาความสงบหากัน ปล่อยกันวางได้เร็วได้ไว
การที่จะศึกษาธรรมะต้องเป็นคนขยัน เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรอบคอบ ถ้าอยู่ถ้าความเข้าใจได้แล้ว ละกิเลสได้หมดจดแล้ว สติ สมาธิ ปัญญาเขาจะรักษาเรา นั่นแหละคือธรรมรักษา ความบริสุทธิ์ ความว่างรักษา จะร้องตะโกนดู ใจก็ว่างใจก็นิ่ง อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด ใจก็นิ่ง มันก็โล่งก็โปร่ง เขาเรียกว่ากายวิเวก ใจวิเวก ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากขันธ์ห้า วิเวกจากความยึดมั่นถือมั่น
คนเราทั่วไปนี้การเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสัก 5 นาทีมันก็ทั้งยาก มันก็เลยได้บ้างไม่ได้บ้างได้กระปริบกระปรอยกับการทำบุญให้ทาน มันก็ยากที่จะเข้าไปถึงจุดหมายได้ กับคนที่มี ความเพียร มีปัญญารู้จักแนวทางแล้ว ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ค้นคว้าจนหมดความสงสัย หมดความลังเล กําจัดกิเลสออกจากใจของตัวเรา ทำความหมายกับคําว่ากิเลส ทำคําความหมายกับคําว่าชีวิต ทำความหมายกับลักษณะของสมมติ วิมุตติ โลกธรรมแปด
ไม่จำเป็นต้องไปฟังมากมาย ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากมาย คนที่จะเอาพูดปากเปียกปากแฉะ เขาก็ไม่เอา คนที่จะเอาอยู่คนเดียว รู้จักวิถี รู้จักแนวทาง หาทางใจของตัวเอง หาความเป็นกลางภายใน ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น รู้ไม่ทัน ก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักระงับ ยับยั้งเอาไว้ เริ่มใหม่ ก็ต้องพยายามกัน ต่างคนก็ต่างอาศัยกันอยู่ ยิ่งอาศัยกันอยู่ต่างระดับ ถ้าโลกเราไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีความเมตตา ไม่มีความอนุเคราะห์ โลกก็วุ่นวาย จะเอาตั้งแต่ทิฏฐิมานะของตัวเอง ไปอยู่ที่ไหนมันก็ลําบาก หาคนที่จะมีความเสียสละอย่างยิ่งด้วยมันก็ยาก เอาให้ได้สัก 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ ยิ่งการบวชเป็นพระเป็นชีนี้ก็ยิ่งสละออกให้มันหมด อย่ามีความเห็นแก่ตัว ยิ่งบวชเข้ามาดิ้นรนแสวงหาแล้วยิ่งห่างไกลทันที กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามพิจารณา
ไม่ใช่วิ่งหา หาทุกอย่าง หาลาภ หายศ หาทรัพย์สินเงินทอง นั่นก็โง่เลยทีเดียว แทนที่จะสลัดขัดเกลาออก ถ้าจะมีก็ให้มีมาด้วยแรงบุญ อานุภาพแห่งบุญ อย่าน้อมเข้ามาใส่ตัวแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่การน้อมมันก็ผิดแล้ว พระเราถึงไม่รู้เรื่องทำกันเท่าไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน บางทีก็บวชมาแล้วก็แสวงหาธรรมมาแบกบาตรแบกกลดไปขอตังค์ที่บ้านโน้น ขอตังค์ที่บ้านนี้ รู้จักใครก็เที่ยวหาขอหมด ว่าเป็นพระกรรมฐาน แทนที่จะขัดเกลากิเลสกายวิเวกใจวิเวก
การเป็นพระหรือใจของเรานั้นละกิเลสได้มากเท่าไร มันก็เข้าถึงองค์พระ ใจของเราปล่อยใจของเราวาง วางความยึดมั่นถือมั่น ดับความเกิดได้นั่นแหละคือพุทธะคือผู้รู้ ธาตุรู้ ผู้รู้ พระพุทธเจ้าก็จะมาอยู่กับเราเอง ถ้าเรามีทรัพย์ภายในเต็มเปี่ยม แล้วมีตั้งแต่คนมาขออานิสงส์ผลบุญจากเราเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนไปแสวงหา หลั่งไหลมาเอง ถ้าอานิสงส์บุญของเราเพียงพอ ไปจำเป็นต้องไปดิ้นรน เราละออกได้หมดเท่าไรบุญเขาของเราก็ยิ่งเต็ม ดับความเกิดได้มากเท่าไร ใจของเราก็ยิ่งไม่ต้องกลับมาเกิดกัน มองเห็นแนวทางว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
ต้องความเข้าใจให้เข้าถึงหลักของความหมายของการปฏิบัติ ปฏิบัติวิ่งหา มันจะไปได้อะไร ยิ่งหาเท่าไรยิ่งห่างไกล เพียงแค่เรื่องสติก็ยังไม่เข้าใจ คําว่าปัจจุบันธรรม จิตต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาจะคลายได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ ตัววิญญาณกําลังสติของเราต้องหาเหตุหาผลหมั่นอบรม หมั่นดับ หมั่นละ หมั่นเจริญพรหมวิหาร เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้ามให้อภัยทานอโหสิกรรม เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามขยันหมั่นเพียร ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามเริ่มอยู่บ่อยๆ มันประกอบต่อเนื่องกันหมด เหมือนกับขึ้นบนบ้าน เราก็อาศัยบันได บันได ลูกบันไดก็ยังอาศัยราวบันได ถ้าเราเข้าใจ แล้วก็ทั้งบ้านทั้งบันไดก็เป็นอันเดียวกัน กายกับใจก็เป็นอันเดียวกัน
การสร้างบารมี หลวงพ่อก็พาพาสร้าง ทั้งสมมติภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เนื่องจากไม่มีอะไรก็ให้ทุกคนได้มีความสุข อาศัยกาลอาศัยเวลา ยังจะพากันมาเกียจคร้านอยู่ก็ช่วยเหลือไม่ได้ ต้องเป็นคนขยัน มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น จากความไม่มี จากไม่มีใคร ก็ยังให้ทุกคนได้มีความสุข จากไม่มีใครอยากจะเข้ามา ก็ล้นหลั่งไหลเข้ามา เพราะว่าอานิสงส์บุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ย่อมหลั่งไหลมา ยังจะพากันมามัวเมามาเกียจคร้านก็ช่วยเหลือไม่ได้
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว หายใจเข้าอย่างไร ถึงไม่อึดอัด หายใจออกอย่างไร ถึงไม่อึดอัดหายใจเข้าอย่างไรถึงจะมีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้เวลาลมสัมผัสปลายจมูกของเราไม่ต้องตามถึงท้อง อันนี้เป็นแค่เพียงอุบายในการเจริญสติ เราก็พยายามเจริญให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปรู้ ลักษณะของใจ รู้การละกิเลส รู้การอบรมใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามในขันธ์ห้าของเรา
ความหลง ความหลงทำให้ใจของเราถึงเกิด ความหลงให้ใจของเราถึงยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราแยกสังเกตรู้เท่าทัน ตามความเข้าใจหมด ใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดู รู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ใจของเราว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เราก็จะมองเห็นความเป็นจริง แต่เวลานี้การเจริญสติมีน้อยแทบจะไม่มี มีตั้งแต่ปัญญาทางสมมติ ทางโลกียะ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยัง ความหลงยังปกคลุมอยู่ คือสมมติยังครอบงำอยู่ ใจก็ยังเป็นบุญอยู่ บางทีก็รู้อยู่ แต่เราดับการเกิดไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ เหมือนกับหินทับเอาไว้อยู่ กายเนื้อทางสมมติก็ควบคุมเอาไว้อยู่ กายถึงหนัก ใจถึงหนัก แยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็มายึดเอาตรงนี้แหละ แล้วก็ไปยึดเอาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามันถูกต้อง มันไม่ใช่
เราอิงอาศัยอยู่ เรามาอาศัยอยู่ มาความเข้าใจ แล้วก็บริหารให้ดี แยกแยะให้ได้ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ หน้าที่ของสมมติให้ดี หมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้วางก้อนสมมุติ แต่เราต้องให้วาง ตัววิญญาณให้วาง ให้แยกให้คลายเสียก่อน ให้รู้ให้เห็น เขาก็อยู่ในกายของเรานี่แหละ อย่าพากันทิ้ง พยายามพากันทำ ทุกริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าเราจะมาคร่ำเคร่งอยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้าเราแยกแยะได้ความเข้าใจได้ ขัด ละเกลากิเลสออกจากใจของเราได้หมดจด แล้วก็วางใจของเราให้เป็นธรรมชาติ สติปัญญา สมาธิ ความว่าง ธรรมจะรักษาเรา
ใหม่ๆ ความรู้ตัวไม่มี สติไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา ใจของเราไม่สงบ เราก็ใช้สมถะเข้าไปควบคุม ใจของเรายังเกิดกิเลส เราก็พยายามละกิเลสด้วยการเจริญพรหมวิหาร ในสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการเอาออกด้วยการให้ ด้วยการอดด้วยการทน สร้างตบะบารมี มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเรา มีความขยันหมั่นเพียรอยู่ตลอดเวลา เรื่องทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลยในชีวิต เราต้องดูแลความเข้าใจ จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริงทุกอย่างไม่เกิดนั่นแหล่ะ เพียงแค่การเกิดกระดิกนิดเดียว ความอยากนิดเดียว เราก็ดับ ดับแล้วก็วางเขา กําลังส่งเขาก็ไม่มี
ในหลักธรรมที่ว่าใจส่งออกไปภายนอกนั้นล่ะสาเหตุแห่งทุกข์ สมุทัยส่งออกไปข้างนอกก็ยังไม่พอ ยังไปหลงเอาขันธ์ห้าอีก ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจอีก นี่แหละเขาเรียกว่าวิบากกรรม เขาเรียกว่ากรรม ตัวกรรมเก่าตัวขันธ์ห้า มาปรุงแต่งใจ หมุนเป็นวงกลม เขาเรียกว่าอะไร หมุนเป็นธรรมจักร หมุนกงล้อแห่งกรรม นี่แหละกงล้อแห่งกรรม ถ้าเราแยกแยะได้เราก็ตัดกงล้อแห่งกรรมตรงนั้น ทำความเข้าใจ เมื่อใจรู้เห็นความเป็นจริงแล้ว ใจก็จะไม่เข้าไปหลง เข้าไปยึด ขันธ์ห้าที่จะมาปรุงแต่งใจ เรารู้ความจริงแล้ว ทำความเข้าใจได้แล้ว เราก็ละ ละออก ดับไม่ให้เขาเกิด ดับที่นั้นที่นี้ ทีนี้เขาก็เหือดแห้งไป เหือดแห้งไป กรรมเก่าเขาเรียกว่ากรรมเก่าตรงนี้ก็มาปรุงแต่งใจเราไม่ได้ ทีนี้เราก็มาดับที่ใจอีกไม่ให้ใจปรุงแต่งอีก ดับความเกิดของใจ ดับความยึด คลาย ความยึดมั่นถือมั่น เขาคลายได้แล้วมาละกิเลสที่ใจอีก มาดับความเกิดของใจอีก
ใจเกิดเมื่อไรเราก็ดับเมื่อนั้นแหละ มันก็จะค่อยเหือดแห้งไปเรื่อยๆ เหือดแห้งไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือนั่นแหละ จนเหลือแต่ความว่าง ความบริสุทธิ์ นอกนั้นก็เป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญา หน้าที่แทน ไปคิด ไปพิจารณา ทำหน้าที่แทน แม้แต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศล เราก็ให้ละอีก ให้ดับอีก ไม่ให้ไปในทางอกุศลอีก ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดีธรรมชาติของโลกธรรมก็เป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของใจก็เป็นอย่างนี้ ถ้าขาดการความเข้าใจที่ต่อเนื่องมันก็ได้แต่วิ่งหา วิ่งหาทั้งทางสมมติ วิ่งหาทั้งภายในภายนอก ไม่มีที่จบสิ้น ตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีกอยู่อย่างนี้ ถ้าเรารู้เหตุรู้ผล มองเห็นต้นตอแล้วเราแก้ไขที่ต้นตอ นอกนั้นก็เป็นกําไรของชีวิต สร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์ เป็นบุญเป็นกําไรของสมมติเท่านั้นเอง
เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทั้งสมมติเราก็ไม่ให้เสียทิ้ง ทั้งวิมุตติเราก็ไม่เสียทิ้ง เพราะว่าการที่จะได้มาเกิดมันก็ยาก ทีนี้เรามาจัดการดับความเกิดเสีย ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด แต่เขาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เราก็ต้องมาความเข้าใจ เพราะทุกชีวิตก็มีบุญมีอานิสงส์มีคุณค่า แต่บารมีอานิสงส์ทางสมมติอาจจะสร้างมาต่างกัน แล้วก็มาสร้างมาสานต่อ จนถึงจุดหมายปลายทางกันทุกคน
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มิถุนายน 2556
พยายามดูดีๆ นะ พระเราชีเราความอยากความหิว ความอยากนี้เกิดจากใจ ความหิวนี้เกิดจากกาย ตัวรู้ความอยากความหิวคือสติ พยายามดูรู้ รู้ความปกติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะเอาจะมีจะเป็นก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก เรื่องการขบการฉันการรับประทานข้าวปลาอาหารนี่แหละสำคัญเพราะว่าเกี่ยวเนื่องกันกับกายของเรา โดยเฉพาะความอยาก อยากมาให้กายเราก็ต้องหยุดต้องดับ พิจารณาด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย จะไปเอาตั้งแต่เวลาฝึก เวลาเดิน เวลานั่ง อันนั้นเป็นเพียงแค่เสี้ยว
เราต้องดูรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้ฐานของใจ รู้ลักษณะของใจ แก้ไขใจของตัวเรา ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความอยาก เรารู้จักละจักดับ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน หมั่นพร่ำสอนตัวเราตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็สอนใจเรา อยู่หลายคนเราก็สอนใจเรา เพราะเป็นเรื่องของเรา แล้วก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรในทางที่ถูก เราก็พยายามเจริญให้มากๆ ให้มีเพียบพร้อม ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งภายนอกทั้งภายใน จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหละ พยายามดูดีๆ
ช่วยกันทุกวัน ช่วยกันสร้างอานิสงส์ ประโยชน์ของสมมติ ประโยชน์ของวิมุตติ ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนเราก็ดูแลช่วยกัน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความเป็นระเบียบนั่นแหละคือข้อวัตรปฏิบัติ สะอาดจากข้างใน เป็นระเบียบจากข้างใน จัดระบบระเบียบของกายของเรา จัดระบบระเบียบของใจของเรา ไม่ให้ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความกังวล เกิดความลังเล
แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะจัดกันเท่าไร มีแต่ปล่อยใจ ทั้งเกิดทั้งหลง ถ้าแยกแยะไม่ได้ ก็บอกว่าตัวเองไม่หลง ถ้าแยกได้ สังเกตได้ ทำความเข้าใจได้ นั่นแหละถึงจะเห็นความหลง เพราะว่าธรรมชาติของใจ ธรรมชาติของขันธ์ห้าเขาปิดกั้นตัวเองมานาน นอกจากกําลังสติปัญญาที่จะเข้าไปวิเคราะห์เห็นแยกแยะตามทำความเข้าใจให้วิญญาณในขันธ์ห้าของเรามองเห็นความเป็นจริง รอบรู้ในธาตุขันธ์ของตัวเอง รอบรู้ในกองสังขารของตัวเอง ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมวิญญาณหรือว่าใจถึงส่งไปภายนอก ทำไมถึงคิด ทำไมถึงปรุงถึงแต่ง
ในหลักธรรมท่านให้ละ ให้ดับความเกิด ให้หยุด ให้คลายออกให้หมด ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมคือธรรมชาติ เขาหลงมานาน เราต้องมาเจริญสติมาเจริญปัญญา เข้าไปหาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล ตามดูรู้เห็นเหตุเห็นผล ให้วิญญาณของเรามองเห็นความเป็นจริงได้นั้นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ แต่ก็ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยการสร้างบารมีอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเห็นแล้วจะปล่อยละเลยเลย มันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม คนเรามันมีการแก้ไขได้ ปรับปรุงได้ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่
ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์เหมือนกันหมด แต่สร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน เรามาสร้างต่อมาสานต่อขณะอยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราก็พยายามทำให้ดี ทั้งระดับสมมติเราก็ทำให้ดีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทางด้านจิตใจเราก็คลาย สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็พยายามขยันหมั่นเพียร อย่าไปงอมืองอเท้า พากันขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้ เราจะไปบีบบังคับกันไม่ได้หรอกของพวกนี้ ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคล สร้างมาไม่เหมือนกัน ใครสร้างมาสะสมมาดีต่อไปไม่ลําบาก ใครสร้างมาน้อยก็ต้องขยันหมั่นเพียรขึ้น หมั่นขัดเกลา หมั่นละกิเลส หมั่นสร้างความเพียร ทางสมมติเราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับสมมติ ได้อาศัยสมมติเพราะว่ากายของเรายังอาศัยสมมติอยู่
ในส่วนลึกๆ ใจก็ยังอาศัยสมมติคืออาศัยกายเป็นก้อนสมมติอยู่ สมมติบัญญัติวิมุตติ สมมุติวิมุตติ โลกธรรม เราก็ต้องความเข้าใจ ให้ถึงความหมาย รู้ความหมาย รู้เห็น เห็น เห็นความหมาย เห็นโลก รอบรู้ในโลก รอบรู้ในกองสังขารของเรา รอบรู้ในดวงวิญญาณของเรา ดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชี ความอยาก ความยินดี อยากไม่ใช่ว่าอยากเฉพาะเรื่องอาหารอย่างเดียว อยากมี อยากเป็น อยากไป อยากมา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากมาอีก กลับกันเลยทีเดียว ใจต้องอยู่ในความเป็นกลาง ความว่าง ผิดถูกชั่วดียังไงปัญญาเข้าไปแก้ไขหมดทุกเรื่อง คนเราส่วนมากจะชอบดี จะผลักไสในสิ่งไม่ดี
ในหลักธรรมท่านให้ทำความเข้าใจละสิ่งไม่ดี เจริญสิ่งที่ดีแต่ไม่ให้หลงไม่ให้ยึด เพื่อให้เกิดประโยชน์ พูดง่าย แต่การเข้าถึงนี่ต้องมีความเพียร จนทำความเข้าใจได้นั่นแหละ หมดความสงสัยได้นั่นแหละ จนละดับความเกิดได้หมดจด นั่นแหละ ถึงวางกายวางใจได้เป็นอิสรภาพจริงๆ มัวแต่เมาเล่นสนุกสนาน มันก็ช้า ถ้าคนเข้าใจดูมีความเพียรตลอดทั้งกลางวันทั้งกลางคืน มีความสุข อยู่กับสมมติ ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย ได้หมดทุกอย่างเลย
สมมติภายนอกเราก็ได้ประโยชน์ไม่ทิ้ง ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อย่างใครเข้ามาในป่าก็ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น นี่แหละพากันช่วยกันปลูกต้นไม้ ทุกปีๆ คนทั่วไปอยากจะได้ธรรมชาติ แต่พากันกลับทำลายธรรมชาติเพียงแค่ระดับของสมมตินะ อยากจะได้ธรรมชาติเราก็ช่วยกันดูแล ช่วยกันปลูก ช่วยกันรักษา เราไม่อยากจะได้มันก็ได้เพราะว่าการกระทำของเรามี
การละกิเลสก็เหมือนกัน เรารู้ฐานการเกิด การดับ เราความเข้าใจ เราละ เราละกิเลสได้หมดจดเท่าไร เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ความบริสุทธิ์ เพราะมันเป็นธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลส เขาก็บริสุทธิ์ ถ้าเขาไม่เกิด เขาก็นิ่ง อันนี้ของเราล่ะ ทั้งเกิด ทั้งเป็นทาสของความอยาก ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าส่งออกไปสักกี่เรื่อง จะไปวิ่งหาตั้งแต่ธรรมภายนอก ธรรมภายนอกก็ได้อยู่ระดับหนึ่ง คือการอนุเคราะห์เกื้อหนุนส่งเข้าไปถึงตัวธรรมภายในคือตัวใจ ถ้าสมมติของเราลําบาก ที่นั่งที่อยู่ที่อาศัย ที่หลับ ที่นอนลําบาก มันก็ปล่อยให้กายลําบากใจก็ต้องดิ้นรน ถ้าสมมติบริบูรณ์ ไม่ได้ลําบาก ใจมันก็สงบนิ่ง มันก็จะเข้าหาความสงบหากัน ปล่อยกันวางได้เร็วได้ไว
การที่จะศึกษาธรรมะต้องเป็นคนขยัน เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรอบคอบ ถ้าอยู่ถ้าความเข้าใจได้แล้ว ละกิเลสได้หมดจดแล้ว สติ สมาธิ ปัญญาเขาจะรักษาเรา นั่นแหละคือธรรมรักษา ความบริสุทธิ์ ความว่างรักษา จะร้องตะโกนดู ใจก็ว่างใจก็นิ่ง อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด ใจก็นิ่ง มันก็โล่งก็โปร่ง เขาเรียกว่ากายวิเวก ใจวิเวก ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากขันธ์ห้า วิเวกจากความยึดมั่นถือมั่น
คนเราทั่วไปนี้การเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสัก 5 นาทีมันก็ทั้งยาก มันก็เลยได้บ้างไม่ได้บ้างได้กระปริบกระปรอยกับการทำบุญให้ทาน มันก็ยากที่จะเข้าไปถึงจุดหมายได้ กับคนที่มี ความเพียร มีปัญญารู้จักแนวทางแล้ว ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ค้นคว้าจนหมดความสงสัย หมดความลังเล กําจัดกิเลสออกจากใจของตัวเรา ทำความหมายกับคําว่ากิเลส ทำคําความหมายกับคําว่าชีวิต ทำความหมายกับลักษณะของสมมติ วิมุตติ โลกธรรมแปด
ไม่จำเป็นต้องไปฟังมากมาย ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากมาย คนที่จะเอาพูดปากเปียกปากแฉะ เขาก็ไม่เอา คนที่จะเอาอยู่คนเดียว รู้จักวิถี รู้จักแนวทาง หาทางใจของตัวเอง หาความเป็นกลางภายใน ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น รู้ไม่ทัน ก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักระงับ ยับยั้งเอาไว้ เริ่มใหม่ ก็ต้องพยายามกัน ต่างคนก็ต่างอาศัยกันอยู่ ยิ่งอาศัยกันอยู่ต่างระดับ ถ้าโลกเราไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีความเมตตา ไม่มีความอนุเคราะห์ โลกก็วุ่นวาย จะเอาตั้งแต่ทิฏฐิมานะของตัวเอง ไปอยู่ที่ไหนมันก็ลําบาก หาคนที่จะมีความเสียสละอย่างยิ่งด้วยมันก็ยาก เอาให้ได้สัก 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ ยิ่งการบวชเป็นพระเป็นชีนี้ก็ยิ่งสละออกให้มันหมด อย่ามีความเห็นแก่ตัว ยิ่งบวชเข้ามาดิ้นรนแสวงหาแล้วยิ่งห่างไกลทันที กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามพิจารณา
ไม่ใช่วิ่งหา หาทุกอย่าง หาลาภ หายศ หาทรัพย์สินเงินทอง นั่นก็โง่เลยทีเดียว แทนที่จะสลัดขัดเกลาออก ถ้าจะมีก็ให้มีมาด้วยแรงบุญ อานุภาพแห่งบุญ อย่าน้อมเข้ามาใส่ตัวแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่การน้อมมันก็ผิดแล้ว พระเราถึงไม่รู้เรื่องทำกันเท่าไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน บางทีก็บวชมาแล้วก็แสวงหาธรรมมาแบกบาตรแบกกลดไปขอตังค์ที่บ้านโน้น ขอตังค์ที่บ้านนี้ รู้จักใครก็เที่ยวหาขอหมด ว่าเป็นพระกรรมฐาน แทนที่จะขัดเกลากิเลสกายวิเวกใจวิเวก
การเป็นพระหรือใจของเรานั้นละกิเลสได้มากเท่าไร มันก็เข้าถึงองค์พระ ใจของเราปล่อยใจของเราวาง วางความยึดมั่นถือมั่น ดับความเกิดได้นั่นแหละคือพุทธะคือผู้รู้ ธาตุรู้ ผู้รู้ พระพุทธเจ้าก็จะมาอยู่กับเราเอง ถ้าเรามีทรัพย์ภายในเต็มเปี่ยม แล้วมีตั้งแต่คนมาขออานิสงส์ผลบุญจากเราเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนไปแสวงหา หลั่งไหลมาเอง ถ้าอานิสงส์บุญของเราเพียงพอ ไปจำเป็นต้องไปดิ้นรน เราละออกได้หมดเท่าไรบุญเขาของเราก็ยิ่งเต็ม ดับความเกิดได้มากเท่าไร ใจของเราก็ยิ่งไม่ต้องกลับมาเกิดกัน มองเห็นแนวทางว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
ต้องความเข้าใจให้เข้าถึงหลักของความหมายของการปฏิบัติ ปฏิบัติวิ่งหา มันจะไปได้อะไร ยิ่งหาเท่าไรยิ่งห่างไกล เพียงแค่เรื่องสติก็ยังไม่เข้าใจ คําว่าปัจจุบันธรรม จิตต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาจะคลายได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ ตัววิญญาณกําลังสติของเราต้องหาเหตุหาผลหมั่นอบรม หมั่นดับ หมั่นละ หมั่นเจริญพรหมวิหาร เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้ามให้อภัยทานอโหสิกรรม เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามขยันหมั่นเพียร ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามเริ่มอยู่บ่อยๆ มันประกอบต่อเนื่องกันหมด เหมือนกับขึ้นบนบ้าน เราก็อาศัยบันได บันได ลูกบันไดก็ยังอาศัยราวบันได ถ้าเราเข้าใจ แล้วก็ทั้งบ้านทั้งบันไดก็เป็นอันเดียวกัน กายกับใจก็เป็นอันเดียวกัน
การสร้างบารมี หลวงพ่อก็พาพาสร้าง ทั้งสมมติภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เนื่องจากไม่มีอะไรก็ให้ทุกคนได้มีความสุข อาศัยกาลอาศัยเวลา ยังจะพากันมาเกียจคร้านอยู่ก็ช่วยเหลือไม่ได้ ต้องเป็นคนขยัน มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น จากความไม่มี จากไม่มีใคร ก็ยังให้ทุกคนได้มีความสุข จากไม่มีใครอยากจะเข้ามา ก็ล้นหลั่งไหลเข้ามา เพราะว่าอานิสงส์บุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ย่อมหลั่งไหลมา ยังจะพากันมามัวเมามาเกียจคร้านก็ช่วยเหลือไม่ได้
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว หายใจเข้าอย่างไร ถึงไม่อึดอัด หายใจออกอย่างไร ถึงไม่อึดอัดหายใจเข้าอย่างไรถึงจะมีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้เวลาลมสัมผัสปลายจมูกของเราไม่ต้องตามถึงท้อง อันนี้เป็นแค่เพียงอุบายในการเจริญสติ เราก็พยายามเจริญให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปรู้ ลักษณะของใจ รู้การละกิเลส รู้การอบรมใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามในขันธ์ห้าของเรา
ความหลง ความหลงทำให้ใจของเราถึงเกิด ความหลงให้ใจของเราถึงยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราแยกสังเกตรู้เท่าทัน ตามความเข้าใจหมด ใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดู รู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ใจของเราว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เราก็จะมองเห็นความเป็นจริง แต่เวลานี้การเจริญสติมีน้อยแทบจะไม่มี มีตั้งแต่ปัญญาทางสมมติ ทางโลกียะ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยัง ความหลงยังปกคลุมอยู่ คือสมมติยังครอบงำอยู่ ใจก็ยังเป็นบุญอยู่ บางทีก็รู้อยู่ แต่เราดับการเกิดไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ เหมือนกับหินทับเอาไว้อยู่ กายเนื้อทางสมมติก็ควบคุมเอาไว้อยู่ กายถึงหนัก ใจถึงหนัก แยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็มายึดเอาตรงนี้แหละ แล้วก็ไปยึดเอาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามันถูกต้อง มันไม่ใช่
เราอิงอาศัยอยู่ เรามาอาศัยอยู่ มาความเข้าใจ แล้วก็บริหารให้ดี แยกแยะให้ได้ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ หน้าที่ของสมมติให้ดี หมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้วางก้อนสมมุติ แต่เราต้องให้วาง ตัววิญญาณให้วาง ให้แยกให้คลายเสียก่อน ให้รู้ให้เห็น เขาก็อยู่ในกายของเรานี่แหละ อย่าพากันทิ้ง พยายามพากันทำ ทุกริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าเราจะมาคร่ำเคร่งอยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้าเราแยกแยะได้ความเข้าใจได้ ขัด ละเกลากิเลสออกจากใจของเราได้หมดจด แล้วก็วางใจของเราให้เป็นธรรมชาติ สติปัญญา สมาธิ ความว่าง ธรรมจะรักษาเรา
ใหม่ๆ ความรู้ตัวไม่มี สติไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา ใจของเราไม่สงบ เราก็ใช้สมถะเข้าไปควบคุม ใจของเรายังเกิดกิเลส เราก็พยายามละกิเลสด้วยการเจริญพรหมวิหาร ในสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการเอาออกด้วยการให้ ด้วยการอดด้วยการทน สร้างตบะบารมี มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเรา มีความขยันหมั่นเพียรอยู่ตลอดเวลา เรื่องทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลยในชีวิต เราต้องดูแลความเข้าใจ จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริงทุกอย่างไม่เกิดนั่นแหล่ะ เพียงแค่การเกิดกระดิกนิดเดียว ความอยากนิดเดียว เราก็ดับ ดับแล้วก็วางเขา กําลังส่งเขาก็ไม่มี
ในหลักธรรมที่ว่าใจส่งออกไปภายนอกนั้นล่ะสาเหตุแห่งทุกข์ สมุทัยส่งออกไปข้างนอกก็ยังไม่พอ ยังไปหลงเอาขันธ์ห้าอีก ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจอีก นี่แหละเขาเรียกว่าวิบากกรรม เขาเรียกว่ากรรม ตัวกรรมเก่าตัวขันธ์ห้า มาปรุงแต่งใจ หมุนเป็นวงกลม เขาเรียกว่าอะไร หมุนเป็นธรรมจักร หมุนกงล้อแห่งกรรม นี่แหละกงล้อแห่งกรรม ถ้าเราแยกแยะได้เราก็ตัดกงล้อแห่งกรรมตรงนั้น ทำความเข้าใจ เมื่อใจรู้เห็นความเป็นจริงแล้ว ใจก็จะไม่เข้าไปหลง เข้าไปยึด ขันธ์ห้าที่จะมาปรุงแต่งใจ เรารู้ความจริงแล้ว ทำความเข้าใจได้แล้ว เราก็ละ ละออก ดับไม่ให้เขาเกิด ดับที่นั้นที่นี้ ทีนี้เขาก็เหือดแห้งไป เหือดแห้งไป กรรมเก่าเขาเรียกว่ากรรมเก่าตรงนี้ก็มาปรุงแต่งใจเราไม่ได้ ทีนี้เราก็มาดับที่ใจอีกไม่ให้ใจปรุงแต่งอีก ดับความเกิดของใจ ดับความยึด คลาย ความยึดมั่นถือมั่น เขาคลายได้แล้วมาละกิเลสที่ใจอีก มาดับความเกิดของใจอีก
ใจเกิดเมื่อไรเราก็ดับเมื่อนั้นแหละ มันก็จะค่อยเหือดแห้งไปเรื่อยๆ เหือดแห้งไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือนั่นแหละ จนเหลือแต่ความว่าง ความบริสุทธิ์ นอกนั้นก็เป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญา หน้าที่แทน ไปคิด ไปพิจารณา ทำหน้าที่แทน แม้แต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศล เราก็ให้ละอีก ให้ดับอีก ไม่ให้ไปในทางอกุศลอีก ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดีธรรมชาติของโลกธรรมก็เป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของใจก็เป็นอย่างนี้ ถ้าขาดการความเข้าใจที่ต่อเนื่องมันก็ได้แต่วิ่งหา วิ่งหาทั้งทางสมมติ วิ่งหาทั้งภายในภายนอก ไม่มีที่จบสิ้น ตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีกอยู่อย่างนี้ ถ้าเรารู้เหตุรู้ผล มองเห็นต้นตอแล้วเราแก้ไขที่ต้นตอ นอกนั้นก็เป็นกําไรของชีวิต สร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์ เป็นบุญเป็นกําไรของสมมติเท่านั้นเอง
เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทั้งสมมติเราก็ไม่ให้เสียทิ้ง ทั้งวิมุตติเราก็ไม่เสียทิ้ง เพราะว่าการที่จะได้มาเกิดมันก็ยาก ทีนี้เรามาจัดการดับความเกิดเสีย ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด แต่เขาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เราก็ต้องมาความเข้าใจ เพราะทุกชีวิตก็มีบุญมีอานิสงส์มีคุณค่า แต่บารมีอานิสงส์ทางสมมติอาจจะสร้างมาต่างกัน แล้วก็มาสร้างมาสานต่อ จนถึงจุดหมายปลายทางกันทุกคน
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน