หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 66
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 66
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 66
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็รู้จักวิเคราะห์ใจ ทำความเข้าใจกับจิตกับวิญญาณในกายของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่มเสีย เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเราที่จะวิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจ วิเคราะห์ความเป็นอยู่ สถานะของเรา เราก็รีบแก้ไขทั้งสมมติภายนอกเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทั้งวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็แก้ไข ว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไรบ้างมีความปกติ มีความสงบ หรือว่ามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน
เพียงแค่การเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ก็ทั้งยาก มีตั้งแต่การแสวงหาด้วยความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก อยากรู้ธรรม อยากได้ธรรม อยากเห็นธรรม แต่การดับ การแยกแยะ การวิเคราะห์ที่ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละต้องพยายามทำกันแล้วก็ขยันด้วย ขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอก สมมติภายนอกเราก็ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ พูดน้อยนอนน้อย ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเอาออกจากใจของเราให้มากๆ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เป็นบุคคลที่มีความหมั่นเพียร รู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า การเกิดการดับของสติปัญญา อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม แต่นี่คือกองกุศล อันนี้คือกองอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ
ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครเขาจะทำให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง อย่าไปมัวถกเถียงกันให้เสียเวลา หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเรา แก้ไขใจของเรา ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา เราทำได้ไม่ได้ก็ต้องพยายามทำทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง ทำไมเราถึงไม่มีความพร้อม เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็ยังแก้ไขไม่ค่อยได้ มันก็ยิ่งยากเข้าไปในเรื่องของวิมุตติ ทางด้านจิตใจอีก กายของเรานี่แหละเป็นความทุกข์ กายของเรานี่แหละเป็นของหนัก ถ้าใจมาหลงมายึดก็หนักที่ใจ กายก็หนัก ใจก็หนัก หนักตัวเราแล้วก็ไปหนักสถานที่ หนักคนอื่น แบกกายของเราให้เป็นภาระของคนโน้น ภาระของคนนี้ ถ้าคนไม่เข้าใจ ถ้าคนเข้าใจก็เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่จะช่วยเหลืออนุเคราะห์ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทั้งทางสมมติทั้งทางวิมุตติ ถ้าแจงไม่ได้ แยกไม่ได้ ก็หนักทั้งสมมติ หนักทั้งวิมุตติ
แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ สร้างบุญมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญเก่าเราก็มี บุญใหม่เราก็มาศึกษามาค้นคว้า มาทำความเข้าใจต่อ ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว ถ้าเรารู้จักถึงการแก้ปัญหา ปัญหามันเกิดที่เหตุ เหตุเกิดภายใน ทางด้านนามธรรม ทางด้านวิญญาณ ทั้งด้านรูปธรรมแล้วก็แก้ไขยังสมมติอย่างโลกธรรมของเราให้น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ทางด้านจิตวิญญาณเราก็รีบแก้ไขตั้งแต่การเกิด การแยกรูปแยกนาม การคลายความหลง การดับความเกิด การละกิเลส
ถ้าบุคคลไม่มีความเพียรที่เข้มงวดที่ต่อเนื่องก็ให้อาศัยการสร้างตบะสร้างบารมี สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ที่ทำการทำงาน ที่ไร่ที่นา เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา บุคคลเช่นนี้แหละ จะดำเนินชีวิตของตัวเราให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ให้ไปตกค้างอยู่ที่ไหน จะเดินให้ถึงฝั่งให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี พิจารณาตัวเองกันตลอดเวลา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนพากันดำเนินมาดี ความขยันหมั่นเพียร ทุกคนก็มี มีมากบ้างน้อยบ้าง บางคนก็เกียจคร้าน บางคนก็ขยัน บางคนก็มีความรับผิดชอบที่สูง เพราะว่าต่างคนก็ต่างมีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน ถ้าเกียจคร้านเราก็ช่วยเหลือไม่ได้
เกิดมาคนละทิศละที่ละทางก็มาอยู่ร่วมกัน จะใกล้บ้างไกลบ้าง บางทีก็มาด้วยแรงสติแรงปัญญา บางทีก็มาด้วยเหตุด้วยผล บางคนก็มาด้วยความเกียจคร้าน ก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์หัดพิจารณาเอา ถ้าเรารู้ว่าเราเกียจคร้านเราก็เพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบให้มากขึ้น มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว บางคนบางท่านก็ขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ มีความรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องบอก
นี่แหละถ้าคนเราอยู่ร่วมกัน มีความเสียสละ มีเหตุมีผล ทั้งภายในภายนอก แก้ไขตัวเรา ข้างนอกไม่จำเป็นต้องไปพูดกันมากมาย ไปทะเลาะเบาะแว้งกัน การทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ดี ให้เราเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล จัดการกับกิเลสของเราให้มันจบ สมมติก็บริบูรณ์ดีอยู่แล้ว หลวงพ่อก็มายังสมมติสถานที่ตรงนี้จากความไม่มี ความเพียบพร้อมก็ยังทำให้เกิดความบริบูรณ์ให้ทุกคนได้มีความสุข มาอยู่แล้วก็พยายามยังความสุขให้มีให้เกิดขึ้นจากตัวเรา แล้วก็ให้เกิดขึ้นจากใจของเราแล้วก็ล้นสู่ภายนอก
อย่ามาขวางทาง อย่ามาเป็นภาระให้หมู่ให้คณะ อย่ามาฉุดรั้ง เราก็ต้องพยายามมีอะไรไม่ดีก็รีบช่วยเหลือกันแก้ไขกันไป ให้มันถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว แม้แต่วาจาก็อย่าไปกระทบกระทั่งกัน อย่าไปอคติ อย่าไปเพ่งโทษกัน ให้รู้จักสำรวมตั้งแต่ตัวใจ ตั้งแต่การก่อตัวของใจ การเกิดของใจ เราจัดการภายในได้ ไม่ให้ส่งออกมาทางกายทางวาจา ถ้าจะส่งออกมาทางกายทางวาจา เราก็รีบจัดการให้มันดี ทั้งภายนอกทั้งภายใน อะไรไม่ดี เราก็รีบแก้ไขเสีย อะไรที่มันดีเราก็พยายามยังความเจริญให้มันสูงขึ้นไป
ไม่จำเป็นต้องไปพูดมาก พูดน้อย ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาให้มากๆ ทั้งภายนอกภายใน อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ใช่ว่าจะเอามาแต่จะถกจะเถียงกัน เราพากันยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดอานิสงส์ให้มากมาย คนรุ่นหลังมาก็จะได้มาสร้างสานต่อ จะไม่ได้เสียเวลา ถ้าบอกไม่เชื่อฟัง พูดให้ฟังอยู่ทุกวันนะ จะมายังความเดือดร้อนให้หมู่ให้คณะก็จำเป็น ทุกคนเลยนะ หลวงพ่อบอกไว้ให้แต่ทุกคนเลยว่าให้พิจารณาตัวเองทันที เราต้องแก้ไขที่เหตุทันที
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันพิจารณาเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็รู้จักวิเคราะห์ใจ ทำความเข้าใจกับจิตกับวิญญาณในกายของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่มเสีย เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเราที่จะวิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจ วิเคราะห์ความเป็นอยู่ สถานะของเรา เราก็รีบแก้ไขทั้งสมมติภายนอกเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทั้งวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็แก้ไข ว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไรบ้างมีความปกติ มีความสงบ หรือว่ามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน
เพียงแค่การเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ก็ทั้งยาก มีตั้งแต่การแสวงหาด้วยความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก อยากรู้ธรรม อยากได้ธรรม อยากเห็นธรรม แต่การดับ การแยกแยะ การวิเคราะห์ที่ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละต้องพยายามทำกันแล้วก็ขยันด้วย ขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอก สมมติภายนอกเราก็ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ พูดน้อยนอนน้อย ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเอาออกจากใจของเราให้มากๆ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เป็นบุคคลที่มีความหมั่นเพียร รู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า การเกิดการดับของสติปัญญา อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม แต่นี่คือกองกุศล อันนี้คือกองอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ
ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครเขาจะทำให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง อย่าไปมัวถกเถียงกันให้เสียเวลา หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเรา แก้ไขใจของเรา ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา เราทำได้ไม่ได้ก็ต้องพยายามทำทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง ทำไมเราถึงไม่มีความพร้อม เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็ยังแก้ไขไม่ค่อยได้ มันก็ยิ่งยากเข้าไปในเรื่องของวิมุตติ ทางด้านจิตใจอีก กายของเรานี่แหละเป็นความทุกข์ กายของเรานี่แหละเป็นของหนัก ถ้าใจมาหลงมายึดก็หนักที่ใจ กายก็หนัก ใจก็หนัก หนักตัวเราแล้วก็ไปหนักสถานที่ หนักคนอื่น แบกกายของเราให้เป็นภาระของคนโน้น ภาระของคนนี้ ถ้าคนไม่เข้าใจ ถ้าคนเข้าใจก็เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่จะช่วยเหลืออนุเคราะห์ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทั้งทางสมมติทั้งทางวิมุตติ ถ้าแจงไม่ได้ แยกไม่ได้ ก็หนักทั้งสมมติ หนักทั้งวิมุตติ
แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ สร้างบุญมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญเก่าเราก็มี บุญใหม่เราก็มาศึกษามาค้นคว้า มาทำความเข้าใจต่อ ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว ถ้าเรารู้จักถึงการแก้ปัญหา ปัญหามันเกิดที่เหตุ เหตุเกิดภายใน ทางด้านนามธรรม ทางด้านวิญญาณ ทั้งด้านรูปธรรมแล้วก็แก้ไขยังสมมติอย่างโลกธรรมของเราให้น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ทางด้านจิตวิญญาณเราก็รีบแก้ไขตั้งแต่การเกิด การแยกรูปแยกนาม การคลายความหลง การดับความเกิด การละกิเลส
ถ้าบุคคลไม่มีความเพียรที่เข้มงวดที่ต่อเนื่องก็ให้อาศัยการสร้างตบะสร้างบารมี สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ที่ทำการทำงาน ที่ไร่ที่นา เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา บุคคลเช่นนี้แหละ จะดำเนินชีวิตของตัวเราให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ให้ไปตกค้างอยู่ที่ไหน จะเดินให้ถึงฝั่งให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี พิจารณาตัวเองกันตลอดเวลา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนพากันดำเนินมาดี ความขยันหมั่นเพียร ทุกคนก็มี มีมากบ้างน้อยบ้าง บางคนก็เกียจคร้าน บางคนก็ขยัน บางคนก็มีความรับผิดชอบที่สูง เพราะว่าต่างคนก็ต่างมีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน ถ้าเกียจคร้านเราก็ช่วยเหลือไม่ได้
เกิดมาคนละทิศละที่ละทางก็มาอยู่ร่วมกัน จะใกล้บ้างไกลบ้าง บางทีก็มาด้วยแรงสติแรงปัญญา บางทีก็มาด้วยเหตุด้วยผล บางคนก็มาด้วยความเกียจคร้าน ก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์หัดพิจารณาเอา ถ้าเรารู้ว่าเราเกียจคร้านเราก็เพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบให้มากขึ้น มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว บางคนบางท่านก็ขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ มีความรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องบอก
นี่แหละถ้าคนเราอยู่ร่วมกัน มีความเสียสละ มีเหตุมีผล ทั้งภายในภายนอก แก้ไขตัวเรา ข้างนอกไม่จำเป็นต้องไปพูดกันมากมาย ไปทะเลาะเบาะแว้งกัน การทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ดี ให้เราเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล จัดการกับกิเลสของเราให้มันจบ สมมติก็บริบูรณ์ดีอยู่แล้ว หลวงพ่อก็มายังสมมติสถานที่ตรงนี้จากความไม่มี ความเพียบพร้อมก็ยังทำให้เกิดความบริบูรณ์ให้ทุกคนได้มีความสุข มาอยู่แล้วก็พยายามยังความสุขให้มีให้เกิดขึ้นจากตัวเรา แล้วก็ให้เกิดขึ้นจากใจของเราแล้วก็ล้นสู่ภายนอก
อย่ามาขวางทาง อย่ามาเป็นภาระให้หมู่ให้คณะ อย่ามาฉุดรั้ง เราก็ต้องพยายามมีอะไรไม่ดีก็รีบช่วยเหลือกันแก้ไขกันไป ให้มันถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว แม้แต่วาจาก็อย่าไปกระทบกระทั่งกัน อย่าไปอคติ อย่าไปเพ่งโทษกัน ให้รู้จักสำรวมตั้งแต่ตัวใจ ตั้งแต่การก่อตัวของใจ การเกิดของใจ เราจัดการภายในได้ ไม่ให้ส่งออกมาทางกายทางวาจา ถ้าจะส่งออกมาทางกายทางวาจา เราก็รีบจัดการให้มันดี ทั้งภายนอกทั้งภายใน อะไรไม่ดี เราก็รีบแก้ไขเสีย อะไรที่มันดีเราก็พยายามยังความเจริญให้มันสูงขึ้นไป
ไม่จำเป็นต้องไปพูดมาก พูดน้อย ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาให้มากๆ ทั้งภายนอกภายใน อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ใช่ว่าจะเอามาแต่จะถกจะเถียงกัน เราพากันยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดอานิสงส์ให้มากมาย คนรุ่นหลังมาก็จะได้มาสร้างสานต่อ จะไม่ได้เสียเวลา ถ้าบอกไม่เชื่อฟัง พูดให้ฟังอยู่ทุกวันนะ จะมายังความเดือดร้อนให้หมู่ให้คณะก็จำเป็น ทุกคนเลยนะ หลวงพ่อบอกไว้ให้แต่ทุกคนเลยว่าให้พิจารณาตัวเองทันที เราต้องแก้ไขที่เหตุทันที
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันพิจารณาเอา