หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 35
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 35
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 35
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 มีนาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ สามเณรน้อย ตื่นขึ้นมาแต่เช้ามีบุญ กลางค่ำกลางคืนก็ออกไปฝึก ไปเดินไปนั่ง กลางวันก็ช่วยการช่วยงาน มีบุญแต่ตัวน้อยๆ วางภาระหน้าที่ ไม่ยึดติดกับพ่อกับแม่ ไม่ยึดติดกับบ้านกับช่อง หัดปล่อยหัดวางออกจากบ้าน ไม่กังวล ฝึกแต่ตัวน้อยๆ ตัวโตขึ้นไปก็จะเก่ง ฝึกความเสียสละ ความกตัญญู ความกตเวที อายุมากขึ้นเดี๋ยวก็เดินปัญญาได้เอง เดินปัญญาแยกรูปแยกนาม แยกกายแยกจิต แยกจิตแยกความคิด ละกิเลส ดับความเกิด
คนเราก็ได้อานิสงส์จากพ่อจากแม่ จากปู่จากย่าจากตาจากยาย จากพี่จากน้อง มีศรัทธาเชื่อมั่น เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมั่นในบุญในบาปในกุศล มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต แล้วก็รีบแก้ไข ลืมกฎที่เจ้าคุณตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง ถ้าอยากห้ามทาน ให้นั่งดู ถ้าอยากห้ามเอา ให้ดับความอยากให้ได้เสียก่อน มันอยากอะไรไม่เอาให้มัน ถ้าผ่านไปแล้วใจมันยังเสียดายอาลัยอาวรณ์หรือไม่ มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา
การฝึกหัดปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละความอยากละกิเลส ถ้าเราไม่รู้จักละรู้จักดับ เรามันก็ ก็ได้แค่ฝึก ความอยากเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็หยุดมันเมื่อนั้นแหละ เราใช้สติปัญญาเข้าไปหยุด สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาก็คือความรู้สึกตัว อยู่กับลมหายใจบ้าง หรือว่าอยู่กับสารพัดที่เราจะกำหนดให้อยู่ มันอยาก เราหยุด เราอดเราข่ม มันอยาก เราเอาออก เราให้ เราคลาย ความอยากก็จะเหือดแห้งไป ก็เหลือตั้งแต่ความต้องการของปัญญาเอามาให้กายของเรา ดูดีๆนะสามเณร ถ้าอยาก แล้วก็ให้ผ่านเลยไป ไม่ให้อยาก ให้ดับให้ได้เสียก่อนค่อยเอา ถ้าวันสึกน้ำหนักไปเพิ่ม 3 กิโลอีก ก็ไม่ได้สึกอีก ไม่ให้อยากแต่น้ำหนักต้องเพิ่ม ต้องทำให้ได้ ท่านเจ้าคุณตั้งกฎเอาไว้
เมื่อวานนี้ยังพูดไม่จบ ให้ท่านเจ้าคุณเป็นคนดูแล เป็นองค์ดูแลหมู่คณะบริวารแทนหลวงปู่ แทนหลวงปู่ มีอะไรผิดพลาดก็มาหาท่านเจ้าคุณ ลูกพระ ลูกเณร ลูกชี ถ้าท่านเจ้าคุณทำหน้าที่บกพร่อง หรือปกครองหมู่คณะไม่อยู่ในครองศีลครองธรรม ไม่ถูกต้องก็ประชุมกันพิจารณาโทษ แล้วก็นิมนต์มาแจงโทษให้ฟัง อะไรผิดอะไรถูกก็ให้พิจารณาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ผิดมากผิดน้อย ถ้าบริหารไม่ดีไม่ถูกต้อง ให้ประชุมกัน ให้ประชุมกันแล้วก็เอามาชี้ข้อผิดพลาดให้ดู แล้วก็ลงโทษได้ ได้เลย อนุญาตให้ลงโทษได้เลย โทษหนักโทษเบา ถ้าโทษหนักก็อัปเปหิออกจากวัดไปเลย ถ้าโทษเบาก็แล้วแต่จะพากันพิจารณาลงโทษเอา จะล้างห้องส้วมล้างห้องน้ำ หรือว่าทำความสะอาดตรงไหนก็จัดการได้เลย
ถ้าผู้นำใช้อำนาจไม่ถูกต้อง ผู้นำต้องเป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ ผู้แก้ไข นำความสุขมาสู่พี่สู่น้อง ประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ผิดพลาดรีบแก้ไข ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่อำนาจบาตรใหญ่ อย่างนั้นเป็นผู้นำไม่ถูก ผู้นำต้องเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ยอมรับผิดแล้วก็รีบแก้ไข ทำใจให้เหมือนแผ่นดินแผ่นน้ำ ใครเหยียบย่ำก็อุเบกขาแก้ไขด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าโดนนิดโดนหน่อยเอาตั้งแต่ร้องห่มร้องไห้ เห็นว่าปีไหนไปร้องไห้ไก่ตายเกือบหมด โดนว่านิดหน่อยไปร้องไห้ที่เล้าไก่ ไก่ตายเกือบหมดในปีนั้น เหลือรอดมาได้ก็มาขยายพันธุ์ใหม่
เห็นตัวเล็กๆ ก็อย่ารังแกเน้อ ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ อาศัยบารมี ลูกเด็กเล็กแดงเข้ามาวัดติดหมดนะ เอาไอติมไปล่อเด็ก จะทำไอติมไปเลี้ยงเด็กว่าอย่างนั้น อาศัยคนตัวเล็กแต่จิตใจเป็นพรหมวิหาร ความเมตตาให้กว้างให้ใหญ่ หนักเอาเบาสู้ ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะได้เป็นที่พึ่งของหมู่ของคณะ ของเพื่อนของฝูง อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญก็ให้รีบทำ ไม่ใช่ว่ามีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจในทางที่ผิด ใช้ในทางที่ถูก ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็พากันพิจารณาเอานะ พวกลูกพระลูกชีลูกเณร พากันพิจารณาโทษเอา
ผู้เฒ่าก็จะได้อยู่สบาย ไม่ได้ลำบาก ได้ผู้เฒ่ามาอยู่ด้วยก็เหมือนมีพ่อมีแม่มาอยู่บ้าน มาก็มีความอุ่นใจ อย่าให้คนแก่ได้ลำบาก มีอะไรก็ช่วยกัน ช่วยกันหมดนั่นแหละ ไม่ใช่เฉพาะท่านเจ้าคุณ ก็ช่วยกันทุกองค์ทุกรูปนั่นแหละ กว่าจะได้มาเป็นวัดได้ กว่าจะได้มาเป็นที่พักที่อาศัยได้ กว่าจะได้มาเป็นที่ร่มรื่นร่มเย็นได้ก็อาศัยความเพียร อาศัยกาลอาศัยเวลาอย่างมากเลยทีเดียว ถ้าไม่มีความเสียสละ ไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีการกระทำ มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
จะเอาตั้งแต่ธรรมะ ความเสียสละไม่มี พรหมวิหารไม่มี มันก็ไปไม่ถึงฝั่ง ถ้าจะเอาตั้งแต่ตัวคนเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น เราทำภารกิจภายในของเราจบ สมมติเขาก็เข้ามายุ่งเกี่ยวเรา คนอื่นก็มายุ่งเกี่ยวเรา สมมติภายนอกก็มายุ่งเกี่ยว เราก็ต้องรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เอาตั้งแต่วิ่งหนีสมมติ มันวิ่งหนีไม่ได้หรอกสมมติ เพราะว่าร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจกับกายของเราเสียก่อน ทำความเข้าใจกับใจของเราเสียก่อน ทำหน้าที่ของเราให้ดี ส่วนมากก็มีตั้งแต่วิ่งไปหาเรื่องคนโน้นหาเรื่องคนนี้ เอาเรื่องคนโน้นคนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนั้นไม่ดี คนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ ก็ของเรานั่นแหละมันไม่ดีมันถึงวิ่งไปหา ไปว่าคนโน้นไปว่าคนนี้ ภายนอกไม่ดีก็เป็นส่วนของเขา ถ้าของเราไม่ดี ข้างนอกจะดีถึงขนาดไหน ของเรามันก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม
เรามาจัดการที่เราเสีย แก้ไขที่เรา คนอื่นภายนอก เราพอช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็อุเบกขาเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน เราต้องขยัน ขยันหมั่นเพียร สำเหนียก พิจารณาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา รู้ตั้งแต่เหตุผลภายในเหตุผลภายนอก แจงให้ละเอียด กายของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร มีวิญญาณเข้ามาครองได้อย่างไร ความคิดเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อะไรส่วนรูปอะไรส่วนนาม จะไปมัวเอาตั้งแต่ธรรม แต่การละกิเลสไม่มี การดับความเกิดไม่มี การแยกรูปแยกนาม การเจริญสติไม่มี มันจะไปได้อะไร
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ บุคคลที่มีความเพียรมาดี มีพรหมวิหาร มีความเสียสละ มีจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศลมันก็จะไปได้เร็วได้ไว สติก็ยังไม่รู้จัก ความรู้ตัวก็ยังไม่ต่อเนื่อง จะเอาตั้งแต่ธรรมมันจะไปได้อย่างไร ทั้งที่ใจเป็นบุญนั่นแหละ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลงแล้ว เพียงแค่การคลาย การแยกรูปแยกนามก็ไม่มี การดับความเกิดก็ไม่มี มีตั้งแต่ปัญญาธรรม กิเลสธรรมทั้งนั้นที่มันเกิดมันวิ่ง ก็ปิดกั้นตัวเอง
ยิ่งค้นคว้าเขาไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นเยอะ ถ้าจับตัว ถ้าเห็นฐานตัวของวิญญาณได้ มันก็หาเรื่องปกปิดตัวเองเอาไว้ตั้งเยอะแยะ ที่เล่าให้ฟังนี้หลวงพ่อเห็นมาหมดนั่นแหละ กระทั่งไม่หลับไม่นอนเป็น 8-9 คืน ทั้งกลางคืนกลางวัน ตามดูจิตตามดวงวิญญาณของตัวเองมันเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร มันหลงอย่างไร มันรวมอะไร กว่าจะเอามันอยู่ก็ตั้ง 4 ปี มันถึงจะสงบได้ ขนาดใจมันว่างมาแต่เป็นเด็ก
ไม่ให้พลาดโอกาสของสติปัญญาไปได้เลยแหละ อันนี้เพียงแค่ปลายเหตุเท่านั้นแหละที่มาเล่าให้ฟัง อดหลับอดนอน อดอาหาร ก็ทดสอบดูหมดนั่นแหละ อยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำ ฝ่าสิงห์สาราสัตว์ต่างๆ แม้กระทั่งงูเหลือมมันมารัดเอวมานั่นเดี๋ยวก็อยากให้มันกิน ก็มันอยากจะกิน ให้มันกินก็ไม่กล้ากิน อยู่ในถ้ำทั้งกลางวันทั้งกลางคืน เอาการงานเป็นการปฏิบัติ เอาการงานเป็นการฝึกฝนตนเอง ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย
ประโยชน์ภายนอกก็ไม่ทิ้ง ประโยชน์ภายในก็ไม่ทิ้ง จนยังประโยชน์สมมติจนล้นออกไปสู่พี่สู่น้อง สู่สังคม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ จะเอาตั้งแต่หลักของการปฏิบัติ แต่การละกิเลสมันไม่มีมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ความขยันหมั่นเพียรไม่มี ความเสียสละไม่มี มันจะไปได้อะไร ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ เราต้องรู้จักตัวบุญสิ มันก็ได้อยู่นั่นแหละบุญ มันได้ไม่เต็มเปี่ยม แต่ก็ยังดี ยังดีกว่าไม่ได้ ยังดีกว่าไม่ทำ ส่วนมากก็ทำบุญหลอกๆ นั่นแหละ ทำบุญเอาหน้าเอาตา ทำบุญแต่ปากแต่ใจมันยังวิ่งอยู่ตลอด มันไม่รู้จัก ใจมันหลอก หลอกว่าทำบุญ ทำใจให้มันสงบนิ่ง สะอาดบริสุทธิ์ บุญมันถึงเต็ม มันเต็มอยู่แต่ต้องให้มันเต็มตลอด ไม่ให้มันเกิด ดับความเกิด ละกิเลส ละความหลงให้มันได้ ดับความเกิดให้มันได้ มันถึงจะเต็มได้
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าเรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว เราพยายามไปสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง มีความรู้ตัวแล้วก็รู้ใจ ว่าเวลาตากระทบรูปใจของเราปกติหรือไม่ หูกระทบเสียงใจของเราปกติหรือไม่ ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เราก็จะเห็นการเกิดของใจหรือว่าการเกิดของวิญญาณเขาเริ่มก่อตัว
เขาให้เราสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนเสียก่อน ให้เป็นส่วนที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ตัวเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วก็รู้จักวิธีใช้ ใจเกิดปุ๊บ เราก็ไปสังเกตใจ เขาเริ่มเกิดตรงไหน เราควบคุมเราดับเขาได้หรือไม่ อันนี้เพียงแค่สติกับใจก็แยกออกจากกัน สร้างความรู้ตัว ตัวใหม่กับตัวใจตัวให้ชัดเจนเสียก่อน บางทีก็มีความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด เขาเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า อยู่เฉยๆ ก็ความคิดผุดขึ้นมา ตัวใจของเราจะกระโดดเข้าไปรวมเอง ถ้าเราเห็นถ้าเราสังเกตทัน ใจก็จะดีดออกจากความคิดเองซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘หงายของที่คว่ำ’
แต่ก่อนนี้ ตัวใจหรือตัววิญญาณมันคว่ำอยู่ มันหลงความคิดหลงอารมณ์ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าแยกออกปุ๊บเขาก็จะหงายขึ้น เขาก็จะเป็นวิมุตติหลุดพ้นจากขันธ์ห้า แต่เพียงแค่แยกได้เท่านั้นเองนะ เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจให้ละเอียด ให้เขารับรู้ทุกอย่าง เขาก็จะกลับเข้าสู่สภาพเดิม แต่การดับความเกิด การละกิเลสก็ต้องเข้มข้นขึ้นมาอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้เราเจริญสติเข้าไปสังเกตให้ทันเสียก่อน เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ตรงสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องนี่แหละมันสำคัญ ไม่พยายามทำ กลัวจะไม่มีความรู้ กลัวจะไม่รู้ กลัวจะไม่เห็นสารพัดอย่างที่มันมาหลอกเอาไว้ ตัววิญญาณก็ปกปิดตัวเองเอาไว้ เพราะว่ามันชอบเที่ยว กำลังสติของเราต้องหาเหตุหาผล แจงแล้วก็หมั่นพร่ำสอนเขา ตามดูรายละเอียดว่ามันเป็นแค่เพียงมายา เป็นแค่เพียงอาการ ไปหลง ถ้าตามดูได้ทุกเรื่อง เขารู้ความจริงทุกอย่างนั่นแหละ เขาก็จะหาทางหลบหลีกเอง หลบหลีกไม่ได้ก็อยู่อุเบกขา ใจยังเกิดกิเลสเราก็ดับกิเลสอีก ให้เป็นความต้องการของสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน
ถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านว่า อัตตาเป็นอย่างนี้นะ อนัตตาเป็นอย่างนี้นะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกองสังขารในขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างนี้ รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในโลก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทบเข้ามาทางทวารทั้งหกของเรา ภาษาธรรมที่ท่านเรียกว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร
ตัววิญญาณรับรู้แล้วเกิดกิเลสหรือไม่ เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ การสร้างกำลังใจเป็นอย่างไรมีหมดทุกอย่าง ขอให้เรารู้ฐานของใจ เราก็แก้ไขตัวเราเอง ถ้าจะเอาจะมีจะเป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ ก็ไปทำหน้าที่แทนใจ ให้ใจรับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข แต่เราต้องตามดูความคิด ดูอารมณ์ของเราในกายของเราให้ละเอียดให้ได้เสียก่อน ทำความเข้าใจให้ได้หมดจดเสียก่อน สติปัญญาก็จะล้นออกไปทำหน้าที่ข้างนอก จะทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา เป็นความรับผิดชอบยังสมมติให้เกิดประโยชน์
แต่คนทั่วไปภายในก็ไม่รอบ ภายนอกก็ไม่รอบ สติปัญญาก็ไม่ต่อเนื่อง ก็ได้แค่ทำบุญให้ทาน ก็ทำความเข้าใจเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราวเท่านั้นเอง เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้มันได้ทุกเรื่อง รอบรู้ให้มันเห็นทุกชิ้นทุกส่วนทุกอย่างในกายของเรา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกนิวรณ์ต่างๆ มลทินต่างๆ ความเกิดของวิญญาณแต่ละชิ้นแต่ละทีเป็นอย่างไร เราต้องรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ
ท่านถึงบอกว่าให้ดูลึกลงไปให้เห็นเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ส่วนจิตวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรมก็มาจากเหตุ ส่วนโลกธรรมมันก็มีเหตุ แต่เขาก็ยังเกี่ยวเนื่องอาศัยกันอยู่ แต่ทำความเข้าใจให้รู้ด้วยปัญญา เหมือนกับเราจะขึ้นบ้านเราก็ต้องอาศัยบันได บันไดกว่ามันจะขึ้นถึงตัวเรือนได้ การที่จะก้าวถึงตัวเรือนนั้น คือเพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่ตัววิญญาณมันคลายออกจากความคิด แต่ความเป็นระเบียบในตัวเรือน กิเลสหรือว่าความสะอาดบนตัวเรือนของเราอีก เราต้องแก้ไขด้วยสติด้วยปัญญาของเราอีก ก็ต้องพยายามนะ มันไม่เหลือวิสัยหรอก
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ความเป็นระเบียบภายนอก ความเป็นประโยชน์ภายนอก ให้ก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ให้ไม่ให้หลงไม่ให้ยึด แต่มันก็พูดง่ายอยู่ แต่เราก็ต้องพยายามไปทำให้มันมีมันเกิด สติไม่มีเราก็ทำให้มีให้เกิด ใจของเราเป็นอกุศลเราพยายามละอกุศล เจริญกุศลเสีย ใจของเรายังหลงเราก็ต้องแยกต้องคลายตามหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของเรา สักวันหนึ่งเราก็คงก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อพูด ให้รู้เหตุรู้ผลตั้งแต่ต้นเหตุเสียก่อน ทีนี้ปัญญาจะตามค้นคว้าไม่ต้องมาฟังหลวงพ่อเลย เราจะได้ฟังธรรมตลอดเวลา รูป รส กลิ่น เสียง ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
สติที่เราสร้างขึ้นมานี่จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา ความเป็นกลาง ความว่าง เป็นเครื่องตัดสินไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น ใจของเราว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร นั่นแหละคือเครื่องตัดสิน เอาความถูกต้อง แม้แต่สติปัญญาแต่เป็นอกุศลเราก็ยังให้ดับให้หยุดอีก ให้เจริญกุศลแต่ไม่ให้ใจเข้าไปหลงไปยึดอีก มันก็จะมีตั้งแต่อยู่กับบุญอย่างเดียว
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาค้นคว้าเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 มีนาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ สามเณรน้อย ตื่นขึ้นมาแต่เช้ามีบุญ กลางค่ำกลางคืนก็ออกไปฝึก ไปเดินไปนั่ง กลางวันก็ช่วยการช่วยงาน มีบุญแต่ตัวน้อยๆ วางภาระหน้าที่ ไม่ยึดติดกับพ่อกับแม่ ไม่ยึดติดกับบ้านกับช่อง หัดปล่อยหัดวางออกจากบ้าน ไม่กังวล ฝึกแต่ตัวน้อยๆ ตัวโตขึ้นไปก็จะเก่ง ฝึกความเสียสละ ความกตัญญู ความกตเวที อายุมากขึ้นเดี๋ยวก็เดินปัญญาได้เอง เดินปัญญาแยกรูปแยกนาม แยกกายแยกจิต แยกจิตแยกความคิด ละกิเลส ดับความเกิด
คนเราก็ได้อานิสงส์จากพ่อจากแม่ จากปู่จากย่าจากตาจากยาย จากพี่จากน้อง มีศรัทธาเชื่อมั่น เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมั่นในบุญในบาปในกุศล มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต แล้วก็รีบแก้ไข ลืมกฎที่เจ้าคุณตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง ถ้าอยากห้ามทาน ให้นั่งดู ถ้าอยากห้ามเอา ให้ดับความอยากให้ได้เสียก่อน มันอยากอะไรไม่เอาให้มัน ถ้าผ่านไปแล้วใจมันยังเสียดายอาลัยอาวรณ์หรือไม่ มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา
การฝึกหัดปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละความอยากละกิเลส ถ้าเราไม่รู้จักละรู้จักดับ เรามันก็ ก็ได้แค่ฝึก ความอยากเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็หยุดมันเมื่อนั้นแหละ เราใช้สติปัญญาเข้าไปหยุด สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาก็คือความรู้สึกตัว อยู่กับลมหายใจบ้าง หรือว่าอยู่กับสารพัดที่เราจะกำหนดให้อยู่ มันอยาก เราหยุด เราอดเราข่ม มันอยาก เราเอาออก เราให้ เราคลาย ความอยากก็จะเหือดแห้งไป ก็เหลือตั้งแต่ความต้องการของปัญญาเอามาให้กายของเรา ดูดีๆนะสามเณร ถ้าอยาก แล้วก็ให้ผ่านเลยไป ไม่ให้อยาก ให้ดับให้ได้เสียก่อนค่อยเอา ถ้าวันสึกน้ำหนักไปเพิ่ม 3 กิโลอีก ก็ไม่ได้สึกอีก ไม่ให้อยากแต่น้ำหนักต้องเพิ่ม ต้องทำให้ได้ ท่านเจ้าคุณตั้งกฎเอาไว้
เมื่อวานนี้ยังพูดไม่จบ ให้ท่านเจ้าคุณเป็นคนดูแล เป็นองค์ดูแลหมู่คณะบริวารแทนหลวงปู่ แทนหลวงปู่ มีอะไรผิดพลาดก็มาหาท่านเจ้าคุณ ลูกพระ ลูกเณร ลูกชี ถ้าท่านเจ้าคุณทำหน้าที่บกพร่อง หรือปกครองหมู่คณะไม่อยู่ในครองศีลครองธรรม ไม่ถูกต้องก็ประชุมกันพิจารณาโทษ แล้วก็นิมนต์มาแจงโทษให้ฟัง อะไรผิดอะไรถูกก็ให้พิจารณาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ผิดมากผิดน้อย ถ้าบริหารไม่ดีไม่ถูกต้อง ให้ประชุมกัน ให้ประชุมกันแล้วก็เอามาชี้ข้อผิดพลาดให้ดู แล้วก็ลงโทษได้ ได้เลย อนุญาตให้ลงโทษได้เลย โทษหนักโทษเบา ถ้าโทษหนักก็อัปเปหิออกจากวัดไปเลย ถ้าโทษเบาก็แล้วแต่จะพากันพิจารณาลงโทษเอา จะล้างห้องส้วมล้างห้องน้ำ หรือว่าทำความสะอาดตรงไหนก็จัดการได้เลย
ถ้าผู้นำใช้อำนาจไม่ถูกต้อง ผู้นำต้องเป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ ผู้แก้ไข นำความสุขมาสู่พี่สู่น้อง ประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ผิดพลาดรีบแก้ไข ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่อำนาจบาตรใหญ่ อย่างนั้นเป็นผู้นำไม่ถูก ผู้นำต้องเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ยอมรับผิดแล้วก็รีบแก้ไข ทำใจให้เหมือนแผ่นดินแผ่นน้ำ ใครเหยียบย่ำก็อุเบกขาแก้ไขด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าโดนนิดโดนหน่อยเอาตั้งแต่ร้องห่มร้องไห้ เห็นว่าปีไหนไปร้องไห้ไก่ตายเกือบหมด โดนว่านิดหน่อยไปร้องไห้ที่เล้าไก่ ไก่ตายเกือบหมดในปีนั้น เหลือรอดมาได้ก็มาขยายพันธุ์ใหม่
เห็นตัวเล็กๆ ก็อย่ารังแกเน้อ ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ อาศัยบารมี ลูกเด็กเล็กแดงเข้ามาวัดติดหมดนะ เอาไอติมไปล่อเด็ก จะทำไอติมไปเลี้ยงเด็กว่าอย่างนั้น อาศัยคนตัวเล็กแต่จิตใจเป็นพรหมวิหาร ความเมตตาให้กว้างให้ใหญ่ หนักเอาเบาสู้ ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะได้เป็นที่พึ่งของหมู่ของคณะ ของเพื่อนของฝูง อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญก็ให้รีบทำ ไม่ใช่ว่ามีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจในทางที่ผิด ใช้ในทางที่ถูก ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็พากันพิจารณาเอานะ พวกลูกพระลูกชีลูกเณร พากันพิจารณาโทษเอา
ผู้เฒ่าก็จะได้อยู่สบาย ไม่ได้ลำบาก ได้ผู้เฒ่ามาอยู่ด้วยก็เหมือนมีพ่อมีแม่มาอยู่บ้าน มาก็มีความอุ่นใจ อย่าให้คนแก่ได้ลำบาก มีอะไรก็ช่วยกัน ช่วยกันหมดนั่นแหละ ไม่ใช่เฉพาะท่านเจ้าคุณ ก็ช่วยกันทุกองค์ทุกรูปนั่นแหละ กว่าจะได้มาเป็นวัดได้ กว่าจะได้มาเป็นที่พักที่อาศัยได้ กว่าจะได้มาเป็นที่ร่มรื่นร่มเย็นได้ก็อาศัยความเพียร อาศัยกาลอาศัยเวลาอย่างมากเลยทีเดียว ถ้าไม่มีความเสียสละ ไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีการกระทำ มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
จะเอาตั้งแต่ธรรมะ ความเสียสละไม่มี พรหมวิหารไม่มี มันก็ไปไม่ถึงฝั่ง ถ้าจะเอาตั้งแต่ตัวคนเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น เราทำภารกิจภายในของเราจบ สมมติเขาก็เข้ามายุ่งเกี่ยวเรา คนอื่นก็มายุ่งเกี่ยวเรา สมมติภายนอกก็มายุ่งเกี่ยว เราก็ต้องรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เอาตั้งแต่วิ่งหนีสมมติ มันวิ่งหนีไม่ได้หรอกสมมติ เพราะว่าร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจกับกายของเราเสียก่อน ทำความเข้าใจกับใจของเราเสียก่อน ทำหน้าที่ของเราให้ดี ส่วนมากก็มีตั้งแต่วิ่งไปหาเรื่องคนโน้นหาเรื่องคนนี้ เอาเรื่องคนโน้นคนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนั้นไม่ดี คนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ ก็ของเรานั่นแหละมันไม่ดีมันถึงวิ่งไปหา ไปว่าคนโน้นไปว่าคนนี้ ภายนอกไม่ดีก็เป็นส่วนของเขา ถ้าของเราไม่ดี ข้างนอกจะดีถึงขนาดไหน ของเรามันก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม
เรามาจัดการที่เราเสีย แก้ไขที่เรา คนอื่นภายนอก เราพอช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็อุเบกขาเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน เราต้องขยัน ขยันหมั่นเพียร สำเหนียก พิจารณาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา รู้ตั้งแต่เหตุผลภายในเหตุผลภายนอก แจงให้ละเอียด กายของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร มีวิญญาณเข้ามาครองได้อย่างไร ความคิดเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อะไรส่วนรูปอะไรส่วนนาม จะไปมัวเอาตั้งแต่ธรรม แต่การละกิเลสไม่มี การดับความเกิดไม่มี การแยกรูปแยกนาม การเจริญสติไม่มี มันจะไปได้อะไร
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ บุคคลที่มีความเพียรมาดี มีพรหมวิหาร มีความเสียสละ มีจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศลมันก็จะไปได้เร็วได้ไว สติก็ยังไม่รู้จัก ความรู้ตัวก็ยังไม่ต่อเนื่อง จะเอาตั้งแต่ธรรมมันจะไปได้อย่างไร ทั้งที่ใจเป็นบุญนั่นแหละ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลงแล้ว เพียงแค่การคลาย การแยกรูปแยกนามก็ไม่มี การดับความเกิดก็ไม่มี มีตั้งแต่ปัญญาธรรม กิเลสธรรมทั้งนั้นที่มันเกิดมันวิ่ง ก็ปิดกั้นตัวเอง
ยิ่งค้นคว้าเขาไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นเยอะ ถ้าจับตัว ถ้าเห็นฐานตัวของวิญญาณได้ มันก็หาเรื่องปกปิดตัวเองเอาไว้ตั้งเยอะแยะ ที่เล่าให้ฟังนี้หลวงพ่อเห็นมาหมดนั่นแหละ กระทั่งไม่หลับไม่นอนเป็น 8-9 คืน ทั้งกลางคืนกลางวัน ตามดูจิตตามดวงวิญญาณของตัวเองมันเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร มันหลงอย่างไร มันรวมอะไร กว่าจะเอามันอยู่ก็ตั้ง 4 ปี มันถึงจะสงบได้ ขนาดใจมันว่างมาแต่เป็นเด็ก
ไม่ให้พลาดโอกาสของสติปัญญาไปได้เลยแหละ อันนี้เพียงแค่ปลายเหตุเท่านั้นแหละที่มาเล่าให้ฟัง อดหลับอดนอน อดอาหาร ก็ทดสอบดูหมดนั่นแหละ อยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำ ฝ่าสิงห์สาราสัตว์ต่างๆ แม้กระทั่งงูเหลือมมันมารัดเอวมานั่นเดี๋ยวก็อยากให้มันกิน ก็มันอยากจะกิน ให้มันกินก็ไม่กล้ากิน อยู่ในถ้ำทั้งกลางวันทั้งกลางคืน เอาการงานเป็นการปฏิบัติ เอาการงานเป็นการฝึกฝนตนเอง ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย
ประโยชน์ภายนอกก็ไม่ทิ้ง ประโยชน์ภายในก็ไม่ทิ้ง จนยังประโยชน์สมมติจนล้นออกไปสู่พี่สู่น้อง สู่สังคม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ จะเอาตั้งแต่หลักของการปฏิบัติ แต่การละกิเลสมันไม่มีมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ความขยันหมั่นเพียรไม่มี ความเสียสละไม่มี มันจะไปได้อะไร ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ เราต้องรู้จักตัวบุญสิ มันก็ได้อยู่นั่นแหละบุญ มันได้ไม่เต็มเปี่ยม แต่ก็ยังดี ยังดีกว่าไม่ได้ ยังดีกว่าไม่ทำ ส่วนมากก็ทำบุญหลอกๆ นั่นแหละ ทำบุญเอาหน้าเอาตา ทำบุญแต่ปากแต่ใจมันยังวิ่งอยู่ตลอด มันไม่รู้จัก ใจมันหลอก หลอกว่าทำบุญ ทำใจให้มันสงบนิ่ง สะอาดบริสุทธิ์ บุญมันถึงเต็ม มันเต็มอยู่แต่ต้องให้มันเต็มตลอด ไม่ให้มันเกิด ดับความเกิด ละกิเลส ละความหลงให้มันได้ ดับความเกิดให้มันได้ มันถึงจะเต็มได้
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าเรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว เราพยายามไปสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง มีความรู้ตัวแล้วก็รู้ใจ ว่าเวลาตากระทบรูปใจของเราปกติหรือไม่ หูกระทบเสียงใจของเราปกติหรือไม่ ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เราก็จะเห็นการเกิดของใจหรือว่าการเกิดของวิญญาณเขาเริ่มก่อตัว
เขาให้เราสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนเสียก่อน ให้เป็นส่วนที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ตัวเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วก็รู้จักวิธีใช้ ใจเกิดปุ๊บ เราก็ไปสังเกตใจ เขาเริ่มเกิดตรงไหน เราควบคุมเราดับเขาได้หรือไม่ อันนี้เพียงแค่สติกับใจก็แยกออกจากกัน สร้างความรู้ตัว ตัวใหม่กับตัวใจตัวให้ชัดเจนเสียก่อน บางทีก็มีความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด เขาเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า อยู่เฉยๆ ก็ความคิดผุดขึ้นมา ตัวใจของเราจะกระโดดเข้าไปรวมเอง ถ้าเราเห็นถ้าเราสังเกตทัน ใจก็จะดีดออกจากความคิดเองซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘หงายของที่คว่ำ’
แต่ก่อนนี้ ตัวใจหรือตัววิญญาณมันคว่ำอยู่ มันหลงความคิดหลงอารมณ์ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าแยกออกปุ๊บเขาก็จะหงายขึ้น เขาก็จะเป็นวิมุตติหลุดพ้นจากขันธ์ห้า แต่เพียงแค่แยกได้เท่านั้นเองนะ เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจให้ละเอียด ให้เขารับรู้ทุกอย่าง เขาก็จะกลับเข้าสู่สภาพเดิม แต่การดับความเกิด การละกิเลสก็ต้องเข้มข้นขึ้นมาอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้เราเจริญสติเข้าไปสังเกตให้ทันเสียก่อน เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ตรงสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องนี่แหละมันสำคัญ ไม่พยายามทำ กลัวจะไม่มีความรู้ กลัวจะไม่รู้ กลัวจะไม่เห็นสารพัดอย่างที่มันมาหลอกเอาไว้ ตัววิญญาณก็ปกปิดตัวเองเอาไว้ เพราะว่ามันชอบเที่ยว กำลังสติของเราต้องหาเหตุหาผล แจงแล้วก็หมั่นพร่ำสอนเขา ตามดูรายละเอียดว่ามันเป็นแค่เพียงมายา เป็นแค่เพียงอาการ ไปหลง ถ้าตามดูได้ทุกเรื่อง เขารู้ความจริงทุกอย่างนั่นแหละ เขาก็จะหาทางหลบหลีกเอง หลบหลีกไม่ได้ก็อยู่อุเบกขา ใจยังเกิดกิเลสเราก็ดับกิเลสอีก ให้เป็นความต้องการของสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน
ถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านว่า อัตตาเป็นอย่างนี้นะ อนัตตาเป็นอย่างนี้นะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกองสังขารในขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างนี้ รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในโลก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทบเข้ามาทางทวารทั้งหกของเรา ภาษาธรรมที่ท่านเรียกว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร
ตัววิญญาณรับรู้แล้วเกิดกิเลสหรือไม่ เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ การสร้างกำลังใจเป็นอย่างไรมีหมดทุกอย่าง ขอให้เรารู้ฐานของใจ เราก็แก้ไขตัวเราเอง ถ้าจะเอาจะมีจะเป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ ก็ไปทำหน้าที่แทนใจ ให้ใจรับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข แต่เราต้องตามดูความคิด ดูอารมณ์ของเราในกายของเราให้ละเอียดให้ได้เสียก่อน ทำความเข้าใจให้ได้หมดจดเสียก่อน สติปัญญาก็จะล้นออกไปทำหน้าที่ข้างนอก จะทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา เป็นความรับผิดชอบยังสมมติให้เกิดประโยชน์
แต่คนทั่วไปภายในก็ไม่รอบ ภายนอกก็ไม่รอบ สติปัญญาก็ไม่ต่อเนื่อง ก็ได้แค่ทำบุญให้ทาน ก็ทำความเข้าใจเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราวเท่านั้นเอง เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้มันได้ทุกเรื่อง รอบรู้ให้มันเห็นทุกชิ้นทุกส่วนทุกอย่างในกายของเรา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกนิวรณ์ต่างๆ มลทินต่างๆ ความเกิดของวิญญาณแต่ละชิ้นแต่ละทีเป็นอย่างไร เราต้องรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ
ท่านถึงบอกว่าให้ดูลึกลงไปให้เห็นเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ส่วนจิตวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรมก็มาจากเหตุ ส่วนโลกธรรมมันก็มีเหตุ แต่เขาก็ยังเกี่ยวเนื่องอาศัยกันอยู่ แต่ทำความเข้าใจให้รู้ด้วยปัญญา เหมือนกับเราจะขึ้นบ้านเราก็ต้องอาศัยบันได บันไดกว่ามันจะขึ้นถึงตัวเรือนได้ การที่จะก้าวถึงตัวเรือนนั้น คือเพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่ตัววิญญาณมันคลายออกจากความคิด แต่ความเป็นระเบียบในตัวเรือน กิเลสหรือว่าความสะอาดบนตัวเรือนของเราอีก เราต้องแก้ไขด้วยสติด้วยปัญญาของเราอีก ก็ต้องพยายามนะ มันไม่เหลือวิสัยหรอก
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ความเป็นระเบียบภายนอก ความเป็นประโยชน์ภายนอก ให้ก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ให้ไม่ให้หลงไม่ให้ยึด แต่มันก็พูดง่ายอยู่ แต่เราก็ต้องพยายามไปทำให้มันมีมันเกิด สติไม่มีเราก็ทำให้มีให้เกิด ใจของเราเป็นอกุศลเราพยายามละอกุศล เจริญกุศลเสีย ใจของเรายังหลงเราก็ต้องแยกต้องคลายตามหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของเรา สักวันหนึ่งเราก็คงก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อพูด ให้รู้เหตุรู้ผลตั้งแต่ต้นเหตุเสียก่อน ทีนี้ปัญญาจะตามค้นคว้าไม่ต้องมาฟังหลวงพ่อเลย เราจะได้ฟังธรรมตลอดเวลา รูป รส กลิ่น เสียง ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
สติที่เราสร้างขึ้นมานี่จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา ความเป็นกลาง ความว่าง เป็นเครื่องตัดสินไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น ใจของเราว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร นั่นแหละคือเครื่องตัดสิน เอาความถูกต้อง แม้แต่สติปัญญาแต่เป็นอกุศลเราก็ยังให้ดับให้หยุดอีก ให้เจริญกุศลแต่ไม่ให้ใจเข้าไปหลงไปยึดอีก มันก็จะมีตั้งแต่อยู่กับบุญอย่างเดียว
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาค้นคว้าเอา