หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 4
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 4
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 4
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มกราคม 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เรื่องอดีต เรื่องอนาคต หรือว่าเรื่องพันธะภาระหน้าที่การงานต่างๆ ความคิดทุกชนิดหยุดเอาไว้ เพียงแค่สร้างความรู้สึกให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจไปยาวๆ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้กันไม่ชำนาญเลย มันก็ยากที่จะรู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันจิต ว่าการเกิดของจิต ลักษณะของจิต ลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเป็นอย่างไร เขามีหมดเลยทีเดียว ตามปกติจิตที่ไม่ได้ฝึกนั้นเขายังต้องเกิด เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลง เขาเกิดมานาน แล้วก็มาสร้างภพสร้างชาติ สร้างขันธ์ห้าร่างกายของเรานี่แหละขึ้นมาปกปิดตัวเขาเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็เป็นส่วนรูปธรรม ส่วนหนึ่งก็เป็นนามธรรม เขาก็เป็นตัวบงการอาศัยอยู่ในกายนี้
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบหนทางแนวทางถึงได้เอามาแจง เอามาชี้แนะให้สัตว์โลกได้เดินตาม หมั่นเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา สติเราต้องสร้างขึ้นมา สติไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบันธรรม ใจจะเกิดเราก็รู้เท่าทัน ก็รู้จักควบคุมใจให้อยู่ในความสงบ เขาเรียกว่าสมถะ มีความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ตั้งใจคิดมีกันทุกคน จะมีมากมีน้อย บางทีก็เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาผุดขึ้นมาด้วยใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมโดยปริยาย เพราะความเคยชินของเขา ถ้าเราสังเกตทันปุ๊บ ใจของเราจะแยกออกจากความคิดที่ผุดขึ้นมา นี่แหละเขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก
เพียงแค่เห็นถูก ใจของเราดีดออกจากความคิด ใจของเราก็จะหงาย เขาเรียกว่าพลิก หงายของพลิกคว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา กายเนื้อของเราก็มีอยู่ กายของเราก็จะเบา ใจก็จะว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เพียงแค่รู้แค่เห็น กำลังสติปัญญาของเราต้องตามทำความเข้าใจอีก ใจเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจปรุงแต่งเราก็ดับความเกิดของใจ ดับที่นั่น ทีนี้เขาก็ไม่มีกำลังส่งเขาจะนิ่งขึ้น ๆ ๆ มีความหนักแน่นขึ้น รอบรู้ขึ้น ผิดถูกชั่วดีอย่างไรเขาก็รับรู้ สติปัญญาไปแก้ไขเรื่องอะไรที่เกิด สติปัญญาตามดูตามเห็น เรื่องอดีตเขาเรียกว่าอาการของสัญญา ความคิดทุกชนิดเขาเรียกว่ากองสังขารอยู่ในขันธ์ห้าของเราอยู่ในกายของเรา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ เป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง เข้าไปถึงตัววิญญาณตัวใจของเรา ถ้าใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ต้องแจงให้เห็น ให้รู้ ให้ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง จนกว่ากำลังสติปัญญาของเราจะเร็วไวบริหารได้ทำหน้าที่แทนใจได้ ต้องทำความเข้าใจ แยกแยะ ละขันธ์ห้าให้ได้ ตามดูขันธ์ห้า แล้วก็ละกิเลสให้ได้
ฉลาดมามากเราพยายามโง่เสียก่อน ปัญญาของเรามีทั้งร้อยเราก็คลายออกทั้งร้อย ปัญญาใหม่ที่เกิดจากสติหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา มันมีไม่มากหรอก ถ้าจิตใจน้อมเข้ามา มีความศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยแต่อย่าเป็นศรัทธาที่ขาดปัญญา ต้องเป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีมารยาสาไถย ไม่เป็นปัญญากิเลสปัญญาเฉโก ปัญญาเห็นแก่ตัว เอาออกให้มันหมด คลายออกให้มันหมด จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาทำหน้าที่แทนล้วนๆ
อันนี้เรื่องกายเรื่องใจ อันนี้โลกธรรมมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ เราพยายามหมั่นพร่ำสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันทั้งกลางคืน สติของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร นิวรณ์เขาครอบงำได้อย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน หรือว่ามีความหงุดหงิด การพูดง่าย การสังเกต การวิเคราะห์ การทำความเข้าใจต้องมีตลอด นอกจากเรานอนหลับ ถึงแม้นหลับใจถ้าไม่เกิดเขาก็ว่างเขาก็บริสุทธิ์ ถึงใจถึงสติของเรา ปัญญาตื่นตัวอยู่ ใจของเราก็ยังรับรู้อยู่ ถ้าเราแยกแยะได้ชัดเจน ถ้าเราแยกแยะไม่ชัดเจน หาเหตุหาผลไม่ชัดเจน ตัวใจเขาก็เกิดอยู่เรื่อยร่ำไป
ที่ท่านบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์ ทั้งเกิดด้วยก็ยังไม่พอ ทั้งหลงด้วย ทั้งรวมกันไปด้วย ถ้ากำลังสติหาเหตุหาผลไม่เต็มที่ในใจเขาก็ไม่ยอมรับง่ายๆ ถ้าตามดูตามรู้ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ใจเขาก็จะรู้เห็นความเป็นจริง เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่ายเอง เบื่อหน่ายแล้วก็อยู่อุเบกขา รู้จักดับ รู้จักละ ทำเอาสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน ถ้าคนเราฝักใฝ่สนใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรของสติปัญญา จนถึงจุดๆ หนึ่งก็จะอิ่มตัวคือความรู้แจ้งเห็นจริงหมด ถึงจุดหมายปลายทาง งานภายในจบก็เหลือตั้งแต่งานภายนอก ยังประโยชน์
คนทั่วไปสติปัญญาก็ยังไม่เต็มที่ ได้แต่การทำบุญได้แต่การให้ทานเป็นสิ่งที่ดี พยายามทำอย่าไปทิ้งบุญ ทำเพื่อละกิเลส การฝึกฝนตนเองก็เพื่อให้ละกิเลส คลายความหลงให้ได้ทุกอิริยาบถ ละกิเลส ให้ใจของเราสงบอยู่ขณะ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส ทีนี้ลึกลงไป อันนี้ส่วนรูปส่วนทวารทั้งหก อันนี้ส่วนนามธรรม เขาก่อตัวยังไง เขาเกิดอย่างไร ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีสติมีปัญญา
ใหม่ๆ ก็ทุกคนก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ ทำอยู่บ่อยๆ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตราอยู่ สักวันก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน บุญภายนอกเราก็ทำบุญภายในเราก็ทำ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็ของเราทั้งนั้น ไม่ใช่ของคนอื่น เรามีโอกาสได้อนุเคราะห์ได้ช่วยเหลือกันเพียงแค่รูปธรรม ทางด้านนามธรรม ทั้งด้านจิต เราก็ต้องพยายามช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเอง สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มกราคม 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เรื่องอดีต เรื่องอนาคต หรือว่าเรื่องพันธะภาระหน้าที่การงานต่างๆ ความคิดทุกชนิดหยุดเอาไว้ เพียงแค่สร้างความรู้สึกให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจไปยาวๆ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้กันไม่ชำนาญเลย มันก็ยากที่จะรู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันจิต ว่าการเกิดของจิต ลักษณะของจิต ลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเป็นอย่างไร เขามีหมดเลยทีเดียว ตามปกติจิตที่ไม่ได้ฝึกนั้นเขายังต้องเกิด เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลง เขาเกิดมานาน แล้วก็มาสร้างภพสร้างชาติ สร้างขันธ์ห้าร่างกายของเรานี่แหละขึ้นมาปกปิดตัวเขาเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็เป็นส่วนรูปธรรม ส่วนหนึ่งก็เป็นนามธรรม เขาก็เป็นตัวบงการอาศัยอยู่ในกายนี้
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบหนทางแนวทางถึงได้เอามาแจง เอามาชี้แนะให้สัตว์โลกได้เดินตาม หมั่นเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา สติเราต้องสร้างขึ้นมา สติไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบันธรรม ใจจะเกิดเราก็รู้เท่าทัน ก็รู้จักควบคุมใจให้อยู่ในความสงบ เขาเรียกว่าสมถะ มีความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ตั้งใจคิดมีกันทุกคน จะมีมากมีน้อย บางทีก็เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาผุดขึ้นมาด้วยใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมโดยปริยาย เพราะความเคยชินของเขา ถ้าเราสังเกตทันปุ๊บ ใจของเราจะแยกออกจากความคิดที่ผุดขึ้นมา นี่แหละเขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก
เพียงแค่เห็นถูก ใจของเราดีดออกจากความคิด ใจของเราก็จะหงาย เขาเรียกว่าพลิก หงายของพลิกคว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา กายเนื้อของเราก็มีอยู่ กายของเราก็จะเบา ใจก็จะว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เพียงแค่รู้แค่เห็น กำลังสติปัญญาของเราต้องตามทำความเข้าใจอีก ใจเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจปรุงแต่งเราก็ดับความเกิดของใจ ดับที่นั่น ทีนี้เขาก็ไม่มีกำลังส่งเขาจะนิ่งขึ้น ๆ ๆ มีความหนักแน่นขึ้น รอบรู้ขึ้น ผิดถูกชั่วดีอย่างไรเขาก็รับรู้ สติปัญญาไปแก้ไขเรื่องอะไรที่เกิด สติปัญญาตามดูตามเห็น เรื่องอดีตเขาเรียกว่าอาการของสัญญา ความคิดทุกชนิดเขาเรียกว่ากองสังขารอยู่ในขันธ์ห้าของเราอยู่ในกายของเรา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ เป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง เข้าไปถึงตัววิญญาณตัวใจของเรา ถ้าใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ต้องแจงให้เห็น ให้รู้ ให้ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง จนกว่ากำลังสติปัญญาของเราจะเร็วไวบริหารได้ทำหน้าที่แทนใจได้ ต้องทำความเข้าใจ แยกแยะ ละขันธ์ห้าให้ได้ ตามดูขันธ์ห้า แล้วก็ละกิเลสให้ได้
ฉลาดมามากเราพยายามโง่เสียก่อน ปัญญาของเรามีทั้งร้อยเราก็คลายออกทั้งร้อย ปัญญาใหม่ที่เกิดจากสติหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา มันมีไม่มากหรอก ถ้าจิตใจน้อมเข้ามา มีความศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยแต่อย่าเป็นศรัทธาที่ขาดปัญญา ต้องเป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีมารยาสาไถย ไม่เป็นปัญญากิเลสปัญญาเฉโก ปัญญาเห็นแก่ตัว เอาออกให้มันหมด คลายออกให้มันหมด จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาทำหน้าที่แทนล้วนๆ
อันนี้เรื่องกายเรื่องใจ อันนี้โลกธรรมมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ เราพยายามหมั่นพร่ำสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันทั้งกลางคืน สติของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร นิวรณ์เขาครอบงำได้อย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน หรือว่ามีความหงุดหงิด การพูดง่าย การสังเกต การวิเคราะห์ การทำความเข้าใจต้องมีตลอด นอกจากเรานอนหลับ ถึงแม้นหลับใจถ้าไม่เกิดเขาก็ว่างเขาก็บริสุทธิ์ ถึงใจถึงสติของเรา ปัญญาตื่นตัวอยู่ ใจของเราก็ยังรับรู้อยู่ ถ้าเราแยกแยะได้ชัดเจน ถ้าเราแยกแยะไม่ชัดเจน หาเหตุหาผลไม่ชัดเจน ตัวใจเขาก็เกิดอยู่เรื่อยร่ำไป
ที่ท่านบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์ ทั้งเกิดด้วยก็ยังไม่พอ ทั้งหลงด้วย ทั้งรวมกันไปด้วย ถ้ากำลังสติหาเหตุหาผลไม่เต็มที่ในใจเขาก็ไม่ยอมรับง่ายๆ ถ้าตามดูตามรู้ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ใจเขาก็จะรู้เห็นความเป็นจริง เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่ายเอง เบื่อหน่ายแล้วก็อยู่อุเบกขา รู้จักดับ รู้จักละ ทำเอาสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน ถ้าคนเราฝักใฝ่สนใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรของสติปัญญา จนถึงจุดๆ หนึ่งก็จะอิ่มตัวคือความรู้แจ้งเห็นจริงหมด ถึงจุดหมายปลายทาง งานภายในจบก็เหลือตั้งแต่งานภายนอก ยังประโยชน์
คนทั่วไปสติปัญญาก็ยังไม่เต็มที่ ได้แต่การทำบุญได้แต่การให้ทานเป็นสิ่งที่ดี พยายามทำอย่าไปทิ้งบุญ ทำเพื่อละกิเลส การฝึกฝนตนเองก็เพื่อให้ละกิเลส คลายความหลงให้ได้ทุกอิริยาบถ ละกิเลส ให้ใจของเราสงบอยู่ขณะ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส ทีนี้ลึกลงไป อันนี้ส่วนรูปส่วนทวารทั้งหก อันนี้ส่วนนามธรรม เขาก่อตัวยังไง เขาเกิดอย่างไร ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีสติมีปัญญา
ใหม่ๆ ก็ทุกคนก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ ทำอยู่บ่อยๆ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตราอยู่ สักวันก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน บุญภายนอกเราก็ทำบุญภายในเราก็ทำ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็ของเราทั้งนั้น ไม่ใช่ของคนอื่น เรามีโอกาสได้อนุเคราะห์ได้ช่วยเหลือกันเพียงแค่รูปธรรม ทางด้านนามธรรม ทั้งด้านจิต เราก็ต้องพยายามช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเอง สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ