หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 126
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 126
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
คุณตาท่านวายชนม์ไป 2-3 วัน ท่านก็มามอบทุนให้ช่วยสร้างเจดีย์อีก ขนาดตายไปแล้วก็ยังรวบรวมเงินทุนปัจจัยจากพี่น้องที่มาร่วมบุญด้วย มาขอช่วยในการสร้างเจดีย์อีกเพิ่มเติมกันอีกไม่จบไม่สิ้น นั่นแหละตายไปก็ยังได้สร้างอานิสงส์ฝากเอาไว้ให้กับทุกคน ไม่ได้ไปสุรุ่ยสุร่ายในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ ได้สร้างบุญสร้างอานิสงส์เอาไว้ขณะยังมีลมหายใจ ก็สร้างอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ตกถึงลูกถึงหลาน เป็นบุคคลที่เอาเป็นตัวอย่าง เป็นเยี่ยงอย่าง ลูกหลานก็ได้สานต่อไป
การเจริญสติปัญญาท่านก็มอบให้ การสร้างอานิสงส์ ตบะ บารมี สัมมาทิฏฐิ ใจก็อยู่ในกองบุญกองกุศล เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม แล้วก็น้อมกาย น้อมใจเข้ามาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ถึงไม่จบก็ไปต่อเอาภพหน้า ไม่จบจริงๆ ก็จะไปต่อเรื่อยๆ พื้นฐานที่พวกเราสร้างนี่แหละจะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปจนถึงวันถึงจุดหมายคือละกิเลสได้หมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน พยายามเจริญสติเข้าไปอบรม อบรมกาย อบรมวาจา อบรมใจของเราเป็นที่พึ่งของตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ใช่ว่าทำตามอำนาจของกิเลสของความอยาก ทำตามอำเภอใจ ไม่ใช่ ต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ทั้งรอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่าเรายังอาศัยสมมติอยู่ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติไม่ใช่อะไรหรอก กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ เอาแต่งอมืองอเท้า เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
เราต้องพยายามศึกษาสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน จะไปโทษตั้งแต่คนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ใจของเรามันไม่ดีถึงไปโทษคนโน้นคนนี้ ถ้าใจของเราดีแล้ว ถึงภายนอกจะไม่ดี ใจของเราก็ดีเหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ข้างนอกดีถึงขนาดไหน ใจของเรามันก็ไม่ดีเหมือนเดิม
ท่านถึงบอกให้แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล เราต้องดูให้ละเอียด เราก็จะได้มองเห็นหนทางว่าเราจะดำเนินไปอย่างไร มาอย่างไร จงภูมิใจในตัวเอง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ แก้ไขตัวเอง เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปอคติไปเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ เรามีโอกาสก็รีบสร้างอานิสงส์ สร้างกุศลภายในกายก้อนเนื้อก้อนนี้ให้ถึงจุดหมายให้ถึงฝั่ง อย่าไปมัวเมาเล่นต้องขยันหมั่นเพียร คนที่จะบรรลุถึงเป้าหมายได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องพนมมือ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น สบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ เขาเรียกว่าความรู้ตัว เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่เวลาหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนโน้นสติตัวนี้เราไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า เราไปมั่นหมายเอาตัวเก่าของเก่าซึ่งใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจอยู่ตลอดเวลา รวมกันกับคลื่นสมองไปด้วยกันเป็นก้อน เราถึงรู้ คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวเราใหม่ หรือว่ามาเจริญสติตัวใหม่ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ให้เข้มแข็ง ก็เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา
รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม ซึ่งเรียกว่าสมถภาวนา ทำใจให้สงบอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกําลังสติของเรามีความเข้มแข็งต่อเนื่อง เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นตัวใจ รู้เท่าทันตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ใจเขาก็จะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงปรากฏเปิดทางให้
เราก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าที่ท่านบอกว่าขันธ์ห้าไม่เที่ยงเป็นเรื่องอะไรบ้าง เรื่องอดีตก็เป็นกองของสัญญา หรือว่าเรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะตามดูตามรู้ตามเห็นว่าเขาเกิดอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร นี่แหละที่ท่านว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เวลาเขาจบไปแล้ว ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏเรื่องใหม่ก็เข้ามา ใจของเราเขาไปหลงเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียว เป็นตัวเดียวกันไปด้วยกัน นี่แหละเขาเรียกว่าหลง
หลงความคิด หลงอารมณ์ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทำให้ยึดมั่นถือมั่น กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ถ้าเราแยกแยะได้ ตามดูได้ ใจรับรู้อยู่ สติปัญญาตามดู มองเห็นความเป็นจริง เห็นความไม่เที่ยง ใจก็จะมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร ใจก็จะปล่อย ใจก็จะวาง ทีนี้เราก็เอาปัญญาเข้าไปละ เข้าไปดับ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด
ในคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านชี้ลงที่เหตุ แล้วก็ละที่เหตุ แก้ไขที่เหตุ ใจที่ยังมีกิเลสอยู่เราก็พยายามละกิเลสที่นั้นที่นี่ เราละกิเลสได้หมด ใจก็สะอาด อยากจะได้ธรรมก็รู้จักละกิเลส อยากจะได้ธรรม เพียงแค่ความอยากก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้แล้ว ตัวใจ กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสฝ่ายดำฝ่ายขาว กิเลสฝ่ายดีไม่ดี ท่านถึงว่ากุศลหรือว่าอกุศล ท่านให้ละอกุศลเจริญกุศล ไม่ให้เข้าไปหลงเข้าไปยึด วางหมดทั้งดีทั้งดำทั้งขาว วางหมด ทำใจให้เป็นกลางๆ ทำใจอยู่ให้อยู่ในความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น กว่าจะพูดคํานี้ได้ กําลังสติปัญญาของเราต้องค้นคว้าพิจารณาหาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผลได้ทุกอย่าง เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้
เราอาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ สร้างคุณงามความดีอยู่ในระดับของสมมติก่อนที่จะเข้าถึงระดับของวิมุตติ ก็สร้างตบะ สร้างบารมี เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยัน เรามีความเสียสละ ใจของจิต ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา หรือว่ามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามขัดเกลาออกจากจิตจากใจของเราทีนั้นทีนี้ สักวันหนึ่งเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เราพยายามล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ทีนี้ความกตัญญู ความเสียสละ เราก็ต้องพยายามทำ เจริญตบะบารมีให้เต็มเปี่ยม ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ช่วยเหลือตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง จนกว่าจะพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์
กฎของธรรมชาติเหมือนกับคุณตา ท่านได้พลัดพรากจากลูกจากหลาน จากพี่จากน้อง พวกเราก็จะได้ไปเหมือนกัน ให้เรามองเห็นความเป็นจริงตรงนี้ แล้วก็พยายามแก้ไขจิตใจของเราให้รับรู้ รับทราบตามความเป็นจริง เราก็จะได้ไปเหมือนกัน ก่อนที่จะไปนี้เราต้องเคลียร์ทาง มองเห็นหนทาง แล้วก็แก้ไขตัวเรา ในวันข้างหน้าก็จะได้ไม่ได้ลําบาก ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
การเจริญสติปัญญาท่านก็มอบให้ การสร้างอานิสงส์ ตบะ บารมี สัมมาทิฏฐิ ใจก็อยู่ในกองบุญกองกุศล เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม แล้วก็น้อมกาย น้อมใจเข้ามาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ถึงไม่จบก็ไปต่อเอาภพหน้า ไม่จบจริงๆ ก็จะไปต่อเรื่อยๆ พื้นฐานที่พวกเราสร้างนี่แหละจะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปจนถึงวันถึงจุดหมายคือละกิเลสได้หมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน พยายามเจริญสติเข้าไปอบรม อบรมกาย อบรมวาจา อบรมใจของเราเป็นที่พึ่งของตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ใช่ว่าทำตามอำนาจของกิเลสของความอยาก ทำตามอำเภอใจ ไม่ใช่ ต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ทั้งรอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่าเรายังอาศัยสมมติอยู่ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติไม่ใช่อะไรหรอก กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ เอาแต่งอมืองอเท้า เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
เราต้องพยายามศึกษาสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน จะไปโทษตั้งแต่คนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ใจของเรามันไม่ดีถึงไปโทษคนโน้นคนนี้ ถ้าใจของเราดีแล้ว ถึงภายนอกจะไม่ดี ใจของเราก็ดีเหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ข้างนอกดีถึงขนาดไหน ใจของเรามันก็ไม่ดีเหมือนเดิม
ท่านถึงบอกให้แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล เราต้องดูให้ละเอียด เราก็จะได้มองเห็นหนทางว่าเราจะดำเนินไปอย่างไร มาอย่างไร จงภูมิใจในตัวเอง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ แก้ไขตัวเอง เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปอคติไปเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ เรามีโอกาสก็รีบสร้างอานิสงส์ สร้างกุศลภายในกายก้อนเนื้อก้อนนี้ให้ถึงจุดหมายให้ถึงฝั่ง อย่าไปมัวเมาเล่นต้องขยันหมั่นเพียร คนที่จะบรรลุถึงเป้าหมายได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องพนมมือ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น สบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ เขาเรียกว่าความรู้ตัว เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่เวลาหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนโน้นสติตัวนี้เราไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า เราไปมั่นหมายเอาตัวเก่าของเก่าซึ่งใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจอยู่ตลอดเวลา รวมกันกับคลื่นสมองไปด้วยกันเป็นก้อน เราถึงรู้ คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวเราใหม่ หรือว่ามาเจริญสติตัวใหม่ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ให้เข้มแข็ง ก็เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา
รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม ซึ่งเรียกว่าสมถภาวนา ทำใจให้สงบอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกําลังสติของเรามีความเข้มแข็งต่อเนื่อง เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นตัวใจ รู้เท่าทันตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ใจเขาก็จะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงปรากฏเปิดทางให้
เราก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าที่ท่านบอกว่าขันธ์ห้าไม่เที่ยงเป็นเรื่องอะไรบ้าง เรื่องอดีตก็เป็นกองของสัญญา หรือว่าเรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะตามดูตามรู้ตามเห็นว่าเขาเกิดอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร นี่แหละที่ท่านว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เวลาเขาจบไปแล้ว ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏเรื่องใหม่ก็เข้ามา ใจของเราเขาไปหลงเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียว เป็นตัวเดียวกันไปด้วยกัน นี่แหละเขาเรียกว่าหลง
หลงความคิด หลงอารมณ์ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทำให้ยึดมั่นถือมั่น กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ถ้าเราแยกแยะได้ ตามดูได้ ใจรับรู้อยู่ สติปัญญาตามดู มองเห็นความเป็นจริง เห็นความไม่เที่ยง ใจก็จะมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร ใจก็จะปล่อย ใจก็จะวาง ทีนี้เราก็เอาปัญญาเข้าไปละ เข้าไปดับ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด
ในคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านชี้ลงที่เหตุ แล้วก็ละที่เหตุ แก้ไขที่เหตุ ใจที่ยังมีกิเลสอยู่เราก็พยายามละกิเลสที่นั้นที่นี่ เราละกิเลสได้หมด ใจก็สะอาด อยากจะได้ธรรมก็รู้จักละกิเลส อยากจะได้ธรรม เพียงแค่ความอยากก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้แล้ว ตัวใจ กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสฝ่ายดำฝ่ายขาว กิเลสฝ่ายดีไม่ดี ท่านถึงว่ากุศลหรือว่าอกุศล ท่านให้ละอกุศลเจริญกุศล ไม่ให้เข้าไปหลงเข้าไปยึด วางหมดทั้งดีทั้งดำทั้งขาว วางหมด ทำใจให้เป็นกลางๆ ทำใจอยู่ให้อยู่ในความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น กว่าจะพูดคํานี้ได้ กําลังสติปัญญาของเราต้องค้นคว้าพิจารณาหาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผลได้ทุกอย่าง เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้
เราอาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ สร้างคุณงามความดีอยู่ในระดับของสมมติก่อนที่จะเข้าถึงระดับของวิมุตติ ก็สร้างตบะ สร้างบารมี เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยัน เรามีความเสียสละ ใจของจิต ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา หรือว่ามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามขัดเกลาออกจากจิตจากใจของเราทีนั้นทีนี้ สักวันหนึ่งเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เราพยายามล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ทีนี้ความกตัญญู ความเสียสละ เราก็ต้องพยายามทำ เจริญตบะบารมีให้เต็มเปี่ยม ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ช่วยเหลือตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง จนกว่าจะพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์
กฎของธรรมชาติเหมือนกับคุณตา ท่านได้พลัดพรากจากลูกจากหลาน จากพี่จากน้อง พวกเราก็จะได้ไปเหมือนกัน ให้เรามองเห็นความเป็นจริงตรงนี้ แล้วก็พยายามแก้ไขจิตใจของเราให้รับรู้ รับทราบตามความเป็นจริง เราก็จะได้ไปเหมือนกัน ก่อนที่จะไปนี้เราต้องเคลียร์ทาง มองเห็นหนทาง แล้วก็แก้ไขตัวเรา ในวันข้างหน้าก็จะได้ไม่ได้ลําบาก ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ