หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 124
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 124
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ ถึงเราแยกรูปแยกนาม ละไม่ได้ ก็ขอให้รู้ สร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกอิริยาบถตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ เราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ หายใจเข้าออก หายใจยาว หายใจสั้น หายใจละเอียดหายใจเป็นธรรมชาติ เราพยายามหัดสังเกต เขาเรียกว่าส่วนสมองส่วนบนหรือว่าปัญญาส่วนบน ส่วนสมองของเรานี่แหละ เราพยายามสร้างความรู้ตัว ส่วนสมองส่วนบน
ส่วนใจนั้นก็บางครั้งเขาก็ปกติ ส่วนมากเขาก็เกิดเพราะว่าเขาหลงเกิดมานาน ถ้าเราไม่รู้จักลักษณะของสติที่เราสร้างขึ้นมา เราก็เอาสติปัญญาไปใช้ไม่ได้ ความหมายของการเจริญสติ กําลังของสติ แล้วก็กําลังที่ต่อเนื่อง เอาไปรู้เท่าทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้ รู้ใจยังไม่พอ แล้วก็รู้ลักษณะอาการของใจอีก ว่าความคิด ซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่าขันธ์ห้า เขาผุดขึ้นมา เขาคิด เขาก่อตัว ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร จะค่อยแจงออกไปเรื่อยๆ ถ้าเรากําลังสติเพียงพอเราก็จะสังเกตเห็นจนใจคลายออก ซึ่งเราแยกรูปแยกนาม หงายของที่คว่ำ แล้วก็ตามดู แต่เวลานี้กําลังสติของเรานี่มีไม่เพียงพอ เราจะไปใช้การใช้งานได้อย่างไร มีตั้งแต่กําลังปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า อันนั้นอาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ
แต่ในหลักธรรมการเกิดของใจนั้นก็หลงแล้ว เพียงแค่การเกิดของใจ การก่อตัวของใจ หลงปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แล้วก็หลงความคิด หลงอารมณ์ แล้วก็ทะเยอทะยานอยากพุ่งออกไป สารพัดอย่าง เราต้องมาควบคุมอบรมแก้ไข ชี้เหตุชี้ผล แต่ปัญญาที่เราสร้างขึ้นมากําลังไม่เพียงพอ จะไปชี้เหตุชี้ผลก็ไม่ได้ จะเอาไปใช้ก็ไม่ได้ ก็เลยหลงวนเวียนอยู่ในกรอบ อยู่ในวงกลม อยู่ในวัฏสงสาร อยู่ในโลกอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามชี้แยกแยะให้ชัดเจน อันนี้ส่วนสติส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานะ อันนี้ส่วนใจเราจะอบรมใจของเราได้หรือไม่ แยกแยะใจให้ใจยอมรับความจริงได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ หนุนกําลังตบะบารมีเข้าไปทดแทน เข้าไปแก้ไข เข้าไปอบรมใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราอบรมใจเราไม่ได้ ไม่มีใครที่จะอบรมให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเรา
เราก็ต้องพยายาม การอาศัยพึ่งพาบารมี เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา พยายามสร้างอยู่ตลอด ละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามศึกษาที่กายที่ใจของเรานี่แหละ ให้รู้ให้เห็น ไม่เข้าใจวันนี้ เพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ใจเกิดกิเลสแล้วก็พยายามดับพยายามละด้วยการให้ด้วยการเอาออก การได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่การลงมือ การสังเกต การวิเคราะห์ทุกอย่าง ต้องพยายามนะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นก็จะเสียเวลาเปล่า ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย หมั่นพร่ำสอนใจของเรา แก้ไขใจของเรา เป็นที่พึ่งให้ตัวเราให้ได้ ท่านก็บอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน คือเราสร้างสติ สร้างปัญญา ไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็เป็นที่พึ่งของใจ แต่เวลานี้ใจของเราไปหลง ไปยึดเอาทุกอย่าง กว่าจะคลายได้ กว่าจะแก้ไขได้ ก็ต้องอาศัยความเพียร อาศัยเวลาที่ต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เหลือวิสัยหรอก
แต่ละวันๆ เราอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ มีคุณค่า กําลังสติไม่มี เราก็สร้างขึ้นมาให้มีจนเต็มรอบ หรือจนเราทำความเข้าใจได้ สติปัญญาสมาธิเขาก็จะรักษาเรา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราไม่จําเป็นว่าต้องไปคร่ำเคร่งอะไรมากมายหรอก เราเพียงแค่ปรับระบบระเบียบ จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา ของใจ อันนี้ท่านให้ละความอยาก เปลี่ยนจากความอยากให้เป็นความบริหารด้วยปัญญา เปลี่ยนจากการเกิดของใจให้สติปัญญาไปเกิดแทน
แต่มันก็ต้องฝืน เพราะว่ากิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ การเกิดของใจเขาก็เกิดมานาน กว่าเราจะชี้เหตุชี้ผลต้องใช้ตบะอย่างแรงกล้าถึงจะเอาอยู่ ก็มาด้วยอำนาจของกิเลสนั่นแหละ มาด้วยความหลงนั่นแหละ ไม่มีใครอยากจะหลงหรอก มีตั้งแต่คนปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะเข้านิพพานกันหมดนั่นแหละ แต่การปฏิบัติขัดเกลาทำด้วยความอยาก ก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไว้พร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ
ส่วนใจนั้นก็บางครั้งเขาก็ปกติ ส่วนมากเขาก็เกิดเพราะว่าเขาหลงเกิดมานาน ถ้าเราไม่รู้จักลักษณะของสติที่เราสร้างขึ้นมา เราก็เอาสติปัญญาไปใช้ไม่ได้ ความหมายของการเจริญสติ กําลังของสติ แล้วก็กําลังที่ต่อเนื่อง เอาไปรู้เท่าทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้ รู้ใจยังไม่พอ แล้วก็รู้ลักษณะอาการของใจอีก ว่าความคิด ซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่าขันธ์ห้า เขาผุดขึ้นมา เขาคิด เขาก่อตัว ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร จะค่อยแจงออกไปเรื่อยๆ ถ้าเรากําลังสติเพียงพอเราก็จะสังเกตเห็นจนใจคลายออก ซึ่งเราแยกรูปแยกนาม หงายของที่คว่ำ แล้วก็ตามดู แต่เวลานี้กําลังสติของเรานี่มีไม่เพียงพอ เราจะไปใช้การใช้งานได้อย่างไร มีตั้งแต่กําลังปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า อันนั้นอาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ
แต่ในหลักธรรมการเกิดของใจนั้นก็หลงแล้ว เพียงแค่การเกิดของใจ การก่อตัวของใจ หลงปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แล้วก็หลงความคิด หลงอารมณ์ แล้วก็ทะเยอทะยานอยากพุ่งออกไป สารพัดอย่าง เราต้องมาควบคุมอบรมแก้ไข ชี้เหตุชี้ผล แต่ปัญญาที่เราสร้างขึ้นมากําลังไม่เพียงพอ จะไปชี้เหตุชี้ผลก็ไม่ได้ จะเอาไปใช้ก็ไม่ได้ ก็เลยหลงวนเวียนอยู่ในกรอบ อยู่ในวงกลม อยู่ในวัฏสงสาร อยู่ในโลกอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามชี้แยกแยะให้ชัดเจน อันนี้ส่วนสติส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานะ อันนี้ส่วนใจเราจะอบรมใจของเราได้หรือไม่ แยกแยะใจให้ใจยอมรับความจริงได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ หนุนกําลังตบะบารมีเข้าไปทดแทน เข้าไปแก้ไข เข้าไปอบรมใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราอบรมใจเราไม่ได้ ไม่มีใครที่จะอบรมให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเรา
เราก็ต้องพยายาม การอาศัยพึ่งพาบารมี เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา พยายามสร้างอยู่ตลอด ละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามศึกษาที่กายที่ใจของเรานี่แหละ ให้รู้ให้เห็น ไม่เข้าใจวันนี้ เพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ใจเกิดกิเลสแล้วก็พยายามดับพยายามละด้วยการให้ด้วยการเอาออก การได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่การลงมือ การสังเกต การวิเคราะห์ทุกอย่าง ต้องพยายามนะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นก็จะเสียเวลาเปล่า ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย หมั่นพร่ำสอนใจของเรา แก้ไขใจของเรา เป็นที่พึ่งให้ตัวเราให้ได้ ท่านก็บอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน คือเราสร้างสติ สร้างปัญญา ไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็เป็นที่พึ่งของใจ แต่เวลานี้ใจของเราไปหลง ไปยึดเอาทุกอย่าง กว่าจะคลายได้ กว่าจะแก้ไขได้ ก็ต้องอาศัยความเพียร อาศัยเวลาที่ต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เหลือวิสัยหรอก
แต่ละวันๆ เราอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ มีคุณค่า กําลังสติไม่มี เราก็สร้างขึ้นมาให้มีจนเต็มรอบ หรือจนเราทำความเข้าใจได้ สติปัญญาสมาธิเขาก็จะรักษาเรา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราไม่จําเป็นว่าต้องไปคร่ำเคร่งอะไรมากมายหรอก เราเพียงแค่ปรับระบบระเบียบ จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา ของใจ อันนี้ท่านให้ละความอยาก เปลี่ยนจากความอยากให้เป็นความบริหารด้วยปัญญา เปลี่ยนจากการเกิดของใจให้สติปัญญาไปเกิดแทน
แต่มันก็ต้องฝืน เพราะว่ากิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ การเกิดของใจเขาก็เกิดมานาน กว่าเราจะชี้เหตุชี้ผลต้องใช้ตบะอย่างแรงกล้าถึงจะเอาอยู่ ก็มาด้วยอำนาจของกิเลสนั่นแหละ มาด้วยความหลงนั่นแหละ ไม่มีใครอยากจะหลงหรอก มีตั้งแต่คนปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะเข้านิพพานกันหมดนั่นแหละ แต่การปฏิบัติขัดเกลาทำด้วยความอยาก ก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไว้พร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ