หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 119

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 119
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 119
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ดูดีๆนะ พระเราชีเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารู้กายรู้ใจของเรา จนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่ากายของเราเกิดความหิว หรือว่าใจปกติ ส่วนสติปัญญาของเราให้รู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักวิเคราะห์พิจารณา ความอยากเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร ความอยากนี่เกิดจากใจ ความหิว อาการความหิวนี่จะเกิดขึ้นที่กาย ใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว เรื่องความอยากนี่ต้องดูรู้ให้ชัดเจน ถ้าอยากจะรู้เห็นความเกิดความดับความอยากได้ชัดเจน ก็ลองอดอาหารสักมื้อหนึ่ง 2 มื้อ 3 มื้อ ใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว แต่เราก็ต้องดูรู้ทุกเรื่องนั่นแหละ ตั้งแต่การเกิดการก่อตัวของใจ การก่อตัวของความคิด การเจริญสติ ลักษณะของสติ

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติรู้กายเป็นอย่างไร รู้ใจเป็นอย่างไร คําว่าปัจจุบันธรรม ตื่นขึ้นมาตาก็ทำหน้าที่ดูก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังก็ห้ามไม่ได้ เพราะว่า หูตา จมูก ลิ้น กาย เป็นทางผ่านของ รูป รส กลิ่น เสียง เข้าไปถึงตัวใจหรือว่าตัววิญญาณ เราต้องพยายามดูรู้ฐานของวิญญาณของใจของเราให้ได้ มันสลับซับซ้อน ตัวใจก็ปิดกั้นตัวเองโดยการมาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง เอาความเกิดมาปิดกั้นตัวเอง เอากิเลสความทะเยอทะยานอยากมาปิดกั้นตัวเอง สร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเอง

ขันธ์ห้านี้ก็ส่วนรูป ก็มองด้วยตาเนื้อ ส่วนอาการของความคิดนามธรรม ก็มองด้วยการเจริญภาวนา สร้างความรู้ตัว รู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะการเกิดการดับ รู้ลักษณะของความปกติ รู้ลักษณะของความว่าง มีกันทุกคน แต่จะจัดระบบระเบียบได้ถูกต้องหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นอยู่กับปัญญาที่ถูกต้อง ปัญญาที่ถูกต้องนั้นต้องเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การสร้างกําลังจิตเป็นอย่างนี้ มีหมด

ก่อนที่จะขัดเกลากิเลสได้ ขัดเกลาใจของเราได้ เราต้องละกิเลสออกให้มันหมด ดับความเกิดนั้นน่ะ ถ้าใจไม่เกิด ใจก็ไม่มีกิเลส เพราะว่าตัวเดิมใจเดิมนั้นไม่มีกิเลส เพียงแค่การเกิด การคิด การปรุง การแต่ง นั่นกิเลสอย่างละเอียด เพราะว่าถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เวลานี้มันหลงตั้งแต่ชั้นหนาเตอะ ตั้งแต่ชั้นโลกธรรมไปยึดเอาหมดโลกธรรม โลกทั้งโลกนี้เป็นของเราหมด แล้วก็มายึดเอากายอีก แล้วก็ไปมั่นหมายเอาตัวใจว่าเป็นของเราอีก ถ้าไม่ศึกษาให้ละเอียดปล่อยวางได้จริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ยังอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีกันไป เท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวยให้ ดีกว่าจะทำใจให้ไปทนทุกข์ทรมาน เราก็พยายามช่วยแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง

หายใจเข้า หายใจออกก็ลมหายใจของเรา ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ขาย แต่ไม่สนใจดู ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจที่เขาคลายออกจากความคิดเขาก็โล่งโปร่ง เขาก็ว่าง คลายเฉยๆ ต้องชี้เหตุชี้ผลตามดูทุกเรื่องจนหมดความสงสัย จนไม่มีอะไรที่จะค้นคว้า แล้วก็วางใจให้เป็นอิสระภาพถึงจะมีความสุข แต่ก็ยังเจือปนด้วยความทุกข์ เพราะว่ากายมันยังเป็นความทุกข์ ยังต้องทำความเข้าใจ ดูแลจัดการจนกว่าเขาจะหมดสภาพคือหมดลมหายใจ เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือนเดิม ทุกอย่าง ในโลกนี้เพียงแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เราได้ยิน เราได้ฟังเฉยๆ แต่เราต้องหัดวิเคราะห์ให้เข้าถึง ให้เห็น ถึงจะรู้ความเป็นจริง มันแยกออกเป็นละเอียดเยอะแยะ ฝ่ายรูป ฝ่ายนาม ฝ่ายวัตถุ ฝ่ายนาม ถ้าไม่สร้างความรู้ตัวให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่อง เห็นเหตุเห็นผลก็ยากที่จะเข้าใจ ทุกเวลานั่นแหละ หลวงพ่อถึงย้ำพยายามย้ำให้ได้ทุกอิริยาบถ ไม่จําเป็นว่าต้องเวลาโน้นต้องทำ เวลานี้ต้องทำ กิเลสก็ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ได้ว่าเวลาโน้นมันจะเกิด เวลานี้มันจะเกิด กระทั่งถึงเวลานี้แหละ พระชีเราก็เหมือนกัน เวลาจะขบจะฉัน ก็ดูขณะนี้แหละ รู้ขณะนี้แหละ อะไรคือเมื่อปัญญาส่วนสมองส่วนบน อะไรคือใจ ใจอยู่ตรงไหน อยู่กลางใจนั่นแหละ เพียงแค่ปัญญากับใจก็ยังแยกไม่ได้ ใจกับอาการของใจก็ยังแยกไม่ได้อีก การดับ การควบคุมก็ยังไม่มีอีก มันก็เลย มันจะไปสะอาดได้อย่างไรตัวใจ

แต่ใจนั้นสะอาดแต่ก่อน แต่เขามาสร้างความสกปรกใส่ใหม่ เพิ่มใหม่เท่านั้นเอง เรามาคลายออก มาดับความเกิด มาคลายความคิด มาดับความเกิด ใจนี่มันปรุงมันแต่ง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด การปรุงแต่งนั่นแหละคือเชื้อของกิเลส เราดับทีนั้นทีนี้ก็สั้นลงๆๆ ใจก่อตัวก็ดับ มันเริ่มก่อตัวมันก็นิ่งดูฐานของใจ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ไปส่งเสริม คิดเองเออเองส่งเสริมกันไป ก็เลยอาจจะเป็นปัญญาที่เห็นความถูกต้องระดับของสมมติ แต่หลักธรรมแล้วผิดหมดเลย

เราต้องคลายความหลง คลายใจออกจากความคิด ละกิเลส ดับความเกิด หนุนกําลังสติไปเกิดแทน ปัญญาไปเกิดแทนให้เร็ว ให้ไว ให้เต็มเปี่ยมเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด หยุดคิดแล้วค่อยคิด หยุดคิด ใจไม่คิด สมองเป็นตัวคิด นี่ตัวหลังนี้ ขนาดสติปัญญาคิดให้เป็นอกุศลก็ไม่ให้คิด ให้คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วก็เวลาไหนควรคิดหรือว่าเวลาไหนไม่ควรคิด เพียงแค่ความคิดนะ ยังไม่ออกทางวาจาด้วย คนทั่วไปแล้วก็วาจาก็ไม่รู้จักควบคุม เรื่องใจน่ะมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก สิ่งพวกนี้จะไปโทษกันไม่ได้หรอก ยกให้เป็นกรรม ถ้าคนไหนสนใจก็จะเข้าใจ คนไหนไม่สนใจก็ตามวิบากของกรรมขอให้เป็นกุศลกรรม

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างแล้วหรือยัง หลวงพ่อก็จะย้ำ ก็จะกําชับให้รู้จักวิธีการ ให้รู้จักแนวทาง แล้วก็ไปสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง แล้วก็ไปใช้การใช้งานสํารวจใจของเรา ความรู้ตัวหรือว่าสติ เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ตื่นขึ้นมาปุ๊บ รู้ใจปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง จะลุกจะก้าวจะเดินใจก็นิ่ง สติพากายไปใจรับรู้ ถ้ากําลังสติของเราต่อเนื่องเชื่อมโยงใจจะเกิดปรุงแต่งทรงไปภายนอกเขาก็จะเห็นอาการเกิดของใจ อาการเกิดของความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า เขาก่อตัวอย่างไร อาการเริ่มเกิดอย่างไร ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง

ถ้าเราสังเกตทัน ขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวมใจมันจะดีดออกจากความคิดตรงนั้น ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ใจก็จะหงาย ท่านถึงเรียกว่าหงายของที่คว่ำ แต่ก่อนใจมันคว่ำอยู่เหมือนกับขันที่คว่ำอยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่าสมมติเขาครอบงำอยู่ ถ้าใจมันแยกได้ พลิกได้ หงายได้ เขาก็หงายขึ้นมา เขาเรียกว่าหงายของพลิกคว่ำ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ สัมมาทิฏฐิความเห็นถูก นี่แหละเห็นถูกของพระพุทธองค์ เห็นถูกแล้วยังไม่พอ ต้องตามดูอีกว่าอะไรเป็นอะไร ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ห้ามีกี่ มีห้ากอง กองสังขาร กองวิญญาณ กองสัญญา กองเป็นกลางบ้างอกุศลบ้าง นี่แหละที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ถ้าแยกไม่ได้มันก็รวมกันเป็นกองเดียวกัน มันหลงอยู่ในกองเดียวกัน ถ้าแยกได้ ตามดูได้ เราต้องละได้อีก อบรมใจของเราให้ได้ท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน

ตนตัวแรกคือตัวสติที่เราสร้างขึ้นมา แล้วไปอบรมใจ ใจปกติเป็นอย่างนี้ ใจไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้นะ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้นะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ธาตุเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใจที่ปราศจากกิเลสใจที่สะอาด ใจที่บริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง ปรุงแต่งออกไปโดยตรง เหตุเกิดจากภายนอกมาทำให้ข้างในเกิดหรือว่าเกิดขึ้นจากข้างในของเรา เราต้องแยกให้ได้แยะให้ได้ แยก รูป รสกลิ่น เสียง ออกจากใจของเราให้ได้ แล้วก็สังเกตดูว่าอาการของขันธ์ห้าที่จะผุดขึ้นมา ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมให้ได้ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ดับเอาไว้ เขาเรียกว่าใช้สมถะ

แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคล ใช้สมถะก็ยังไม่พอ ต้องเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ใจเกิดความโลภก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการออก เกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี มองโลกในทางที่ดีๆ ส่วนมากไม่ใช่อย่างนั้น ไปที่โน่นคนโน้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น ยิ่งฝึกไปเท่าไร มาวัดนี้มันก็มาเพ่งโทษ ท่านเจ้าคุณ ไม่พาเดิน ไม่พานั่ง ไม่พาฝึก ตัวเองยังไม่ฝึก ตัวเองยังจะไปให้คนอื่นเขาฝึกให้ เราต้องฝึกตัวเองสิ แก้ไขตัวเองสิ อยากรู้จักวิธี รู้จักแนวทางก็มาถาม ถามแล้วก็ชี้แนะให้ทุกวัน

หลวงพ่อก็พูดอยู่ทุกวัน การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ ตื่นขึ้นมาพวกท่านได้สร้างแล้วหรือยัง เอาไปทำแล้วหรือยัง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การละความโลภเป็นอย่างนี้ การละความกลัวเป็นอย่างนี้ ใจปรุงแต่งเป็นอย่างนี้ รู้จักวิธีแล้วไปทำ ทำให้รู้ให้เห็น ให้มี ให้เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตามดูตามทำความเข้าใจแล้วละ ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ไปหาทำที่โน่นที่นี่มันไม่เจอหรอกถ้าไม่ลงที่ใจของตัวเอง ลงที่กายของเรา การไปหาภายนอกก็ไปเพียงแค่ไปหาวิธีแนวทางหาประสบการณ์ ตามความเป็นจริงนั้นทุกคนปฏิบัติธรรมกันมานานแล้ว ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาได้ 60-70 สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ความหลงปิดกั้นไว้นิดหน่อย

การเกิดของใจ การปรุงแต่งของใจ ความคิดกับขันธ์ห้าเขารวมกัน ก็หาตั้งแต่สิ่งดีๆ นั่นแหละมาปิดกั้นตัวเรา มาปิดกั้นเอาไว้ เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน จะให้เขาคลายได้แค่นาที 2 นาที ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลา อาศัยความต่อเนื่อง ความขยันหมั่นเพียร ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แล้วการกระทำก็ต้องถึงพร้อม ไม่มีความเห็นแก่ตัว มีเป็นบุคคลที่มีความเสียสละทั้งกําลังกาย กําลังใจ ทั้งกําลังทรัพย์ ทุกอย่าง เท่าที่กําลังของเรามี ก็อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล บุญสมมติเราก็ไม่ปล่อยทิ้ง บุญวิมุตติเราก็ไม่ปล่อยทิ้ง เพราะว่าโลกกับธรรมอยู่ร่วมกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน เพียงแค่เราพลิก เราแยกแยะ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล ก็มีตั้งแต่จะบริหารกายบริหารใจของเรา จนกระทั่งหมดวาระของเขาเท่านั้นเอง

สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสังเกตวิเคราะห์ต่อให้รู้เรื่องทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง