หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 116
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 116
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆนะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สำรวจกายของเรา สำรวจใจของเรา อย่าไปปล่อยเวลาโน้นเวลานี้ รู้ว่าใจปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดเริ่มเกิดก่อตัวเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวพลั้งเผลอได้อย่างไร เราก็พยายามเริ่ม พยายามหัดวิเคราะห์ หัดสังเกตอย่าไปปล่อยเลยตามเลย ตื่นขึ้นมาภายใน 1 นาที 2 นาที 3 นาที จนรู้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
วันนี้วันที่เท่าไรท่านเจ้าคุณ วันที่ 3 วันที่ 4 ที่ 4 นะ ที่ 4 ผ่านพ้นเดือนพฤศจิกามายังไม่หนาวเลย ทุกปีงานปีใหม่นี้จะหนาว ปีนี้ความหนาวนี่ไม่มีเลย ความเย็นลงนิดหน่อย สภาพบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปเยอะ บรรยากาศโลก เพราะว่ามนุษย์ทำลายประเทศโน้นบ้างประเทศนี้บ้าง พากันทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติก็ย้อนกลับมาเล่นงาน ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็แล้ง เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็น้ำท่วม สองสามปีที่ผ่านมาน้ำท่วม หลังจากนั้นมาก็แล้ง นี่แหละภัยธรรมชาติ ไม่ว่าประเทศไหน ประเทศเพื่อนบ้านของเราก็ไฟไหม้ อะไรประเทศประเทศอินโดนีเซียหรือมาเลเซียที่ว่าไฟไหม้ทางภาคใต้ ฝุ่นฟุ้งควันลอยมาปกคลุมประเทศไทย นั่นแหละคนทำลายธรรมชาติ หาธรรมชาติอาศัยยากแล้ว
เพียงแค่ธรรมชาติภายนอกก็ไม่รู้จักทำ ไม่รู้จักสร้างขึ้นมา ยิ่งธรรมชาติภายในใจที่ปราศจากกิเลสก็ยิ่งห่างไกลอีก ธรรมชาติภายในใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็สะอาด เขาก็บริสุทธิ์ ส่วนมากก็มีตั้งแต่หากิเลสไปทับถม เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากมั่ง อยากมี อยากเป็น อยากไป ไม่อยากมี ไม่อยากตาย สารพัดอย่าง กิเลสไปปกปิดเอาไว้ ในหลักธรรม ท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง ให้บริหารอยู่ด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยปัญญา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกัน การบวชเข้ามา บวชเข้ามา จุดมุ่งหมายของการบวชอยู่ที่ไหน จุดมุ่งหมายของการบวชคืออะไร ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้ววิ่งทะเยอทะยานด้วยความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในลาภ ในรส ไม่ได้วิธีหนึ่งก็หาวิธีหนึ่งสารพัดอย่าง
ท่านให้ละความอยาก ละความทะเยอทะยานอยาก ยิ่งบวชเข้ามาแล้วยิ่งดิ้นรนแสวงหา ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้มาก น่าละอายนะ ไม่ว่าพระว่าชี ถ้าใครมีความอยาก ความโลภ ความยึด ความติด แทนที่จะขัดจะเกลาเอาออก เจริญพรหมวิหาร ความเมตตาเข้าไปทดแทน ทำหน้าที่ของเราให้จบ ดับ คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิดของเราให้จบ กับมีตั้งแต่ส่งเสริม โน้มน้าวหาเอกลาภ หาลาภ หายศ วิ่งอยู่ตลอดเวลา มันสวนทางกับคําสอนของพระพุทธองค์ แทนที่จะเป็นคนลดละ ละทั้งมานะละทั้งทิฏฐิ ละทั้งกิเลส แม้แต่เอกลาภก็พยายามห่างไกล จะมีจะเกิดมันก็เกิดขึ้นมาด้วยแรงบุญเองไม่ต้องไปดิ้นรน ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องพุ่งไปด้วยความทะยานทะยานอยาก
คนไหนปวารณาเอาไว้ยิ่งห่างไกลเป็นที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่ปวารณาหรือปวารณาก็วิ่งเข้าหาวิ่งเข้าใส่ แย่นะกิเลส ไม่มีใครอยากจะเป็น ไม่มีใครอยากจะหลง แต่ความไม่รู้ นึกว่าตัวเองรู้ นั่นแหละสาเหตุแห่งทุกข์ สมมติภายนอกเขาไม่รู้จักบริหาร ไม่รู้จักแก้ไข มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำส่วนการเกิดของใจก็มีตั้งแต่ส่งเสริม มันจะไปรู้เรื่องอะไร ฝึกหัดปฏิบัติใจ ฝึกหัดปฏิบัติกายก็ไม่รู้เรื่อง การเจริญสติก็ไม่รู้เรื่อง หลอกตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็ต้องพยายาม
สิ่งพวกนี้ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคลสร้างสะสมมาไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่อยากจะให้ อยากเอาออกอย่างเดียว ขยันหมั่นเพียรได้ยังเอาไม่อยู่ บางคนก็มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ บอกแล้วบอกอีกก็ บอกจนปากเปียกปากแฉะ ถ้าไม่เอาก็ไม่เอา คนที่มีบุญฟังนิดเดียว สะกิดนิดเดียว ก็จะรีบแก้ไขตัวเอง ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่ใกล้อยู่ไกล มาอยู่รวมกัน ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันความรับผิดชอบให้มาก มีอะไรเราก็ช่วยกัน อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ผ่านเข้ามาเอาโลง เมื่อเช้านี้ตี 5 ก็มาเอาโลง มาเอาทุกวัน เห็นไหม ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา อีกสักหน่อยก็เลยได้ตายจากกัน
แค่ว่ากินข้าวอิ่มแล้วไปทะเลาะเบาะแว้งกัน ตีกันเหมือนกับพวกอะไร พวกนักการเมือง ยังโชคดีนะที่ยังสงบอยู่ได้ประเทศไทย ถ้าไม่อย่างงั้นมันฆ่ากัน ตีกัน กินข้าวอิ่ม หิวแล้วก็ไปหากินข้าว กินข้าวแล้วก็จับกลุ่มตีกัน ทะเลาะกัน แทนที่จะฆ่ากิเลส ดับความเกิดภายในไม่เอา จะไปว่าคนโน้นว่าคนนี้ไม่ดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ กิเลสมารเล่นงาน แทนที่จะฆ่ากิเลสตัวภายในให้มันจบ อยู่ในวัดคงไม่มีนะหรือมีอยู่ ท่านเจ้าคุณก็ยังไปว่าคนโน้นคนนี้อยู่เหรอ หรือไปตามว่าชีคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้ามีก็ให้รีบแก้ไข บอกไม่ฟังนะเจ้าคุณไปร้องไห้เดี๋ยวไก่ตายหมด ปีนั้นไก่ตายเยอะ เจ้าคุณร้องไห้ ชีบอกไม่ฟัง พยายามบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น พิจารณาตัวเราอยู่ตลอดเวลา มีอะไรก็ช่วยกัน ทางลานเจดีย์ก็เหมือนกัน มีอะไรก็ช่วยกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบคุณโยมผู้ใจบุญที่ได้ยินข่าวทราบข่าวประกาศหลวงพ่อบอกว่าขาดน้ำ มาเยอะ มาเป็นพันๆ กว่าแพ็ค พันสองพันกว่าแพ็ค จนไม่มีที่จะเก็บ หลวงพ่อก็ขอขอบคุณมากๆ นะ เดี๋ยวหมดแล้วค่อยว่ากันใหม่ คงจะได้ไปอีกหลายเดือน เอาเก็บเข้าที่เข้าทาง น้ำแข็งก็เหมือนกัน ในวัดนี้ไม่รู้ว่ากี่ลังเป็นสิบๆ คนขายน้ำแข็งมีเท่าไรเขาก็ยัดใส่หมดนั่นแหละ ทิ้งระเกะระกะไปทั่ว เดือนละหลายหมื่นๆ
ให้รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ อันใดฟุ่มเฟือยก็ให้รู้จักระงับ รู้จักแก้ไขฟืนไฟก็เหมือนกัน ให้รู้จักใช้ อันไหนอย่าไปใช้ฟุ่มเฟือย ให้รู้จักประหยัด ประโยชน์ เงียบ เรียบ ง่าย ประหยัด ไม่ใช่ว่าฟุ่มเฟอะ มีมากเท่าไรเราก็ยิ่งประหยัด ก็ยังประโยชน์ให้มากที่สุด กว่าจะมีจะเป็นได้ ก็จะทำให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขได้ มันลําบาก ถ้าพวกท่านไม่เป็นหลักชัยไม่รู้หรอก การจัดระบบระเบียบ ค่ากับข้าวกับปลา ค่าฟืนค่าไฟ ค่าสารพัดจิปาถะ เราต้องประหยัดช่วยกัน แล้วก็ยังประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มาก ประโยชน์ส่วนตัวนี่อย่าให้มี รีบทำให้มันจบ แล้วก็ประโยชน์ส่วนรวมให้มันมาก อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบให้มาก
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคน ทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงแล้วก็ให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้สำรวจกายของเราแล้วหรือยัง ถึงจะยากลําบากถึงขนาดไหน ความคิด อารมณ์ต่างๆ การเกิดการดับของความคิดที่เกิดจากใจ ที่เกิดจากขันธ์ห้าให้หยุดเอาไว้ ด้วยการกระตุ้นการหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ
การสูดลมหายใจ เราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ คิดก็รู้ ทำก็รู้ ใจเกิดก็รู้ นั่นแหละเพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ ทั้งรู้ทั้งเกิด ทั้งหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เพียงแค่การเกิด เราต้องมาสร้างสติ มาสร้างผู้รู้ลงที่กายของเรา มาสร้างความรู้สึกตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกบ้าง อยู่ที่สัมผัสของกายบ้าง อยู่ที่การเคลื่อนไหวของกายบ้าง ก็เพื่อที่จะให้มีสติรู้ตัวให้ต่อเนื่อง กําลังสติไม่มีแล้วจะไปอบรมใจของเราได้อย่างไร
เพียงแค่การสร้างให้มีให้เกิดก็ยังทำไม่ชํานาญ การสังเกต การวิเคราะห์ในขั้นต่อไปอีก การรู้การเห็น จนรู้เท่าทันใจคลายออกจากความคิดอาการของใจเป็นอย่างไร เขาเริ่มเกิดเป็นอย่างไร ความคิดที่ผุดขึ้นมาหรืออาการของขันธ์ห้าเขาก่อตัวอย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร มันจะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เพียงแค่การสร้างสติให้ต่อเนื่องมันทั้งยาก เราก็ต้องมาความรู้ตัวพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ความเคยชินแบบ ความเคยชินแบบโลกๆ มันเอาไปก่อน
คิดก็รู้ บางทีก็อยู่ในกองบุญกองกุศล บางทีก็อยู่ในอานิสงส์บุญบารมี แต่ก็ยังหลงอยู่ ตราบใดที่ใจยังคลายออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ ใจยังหงายไม่ได้ ใจยังเกิด หลงทั้งนั้นแหละ หลงอยู่ในการสร้างคุณงามความดีหลงอยู่ในบุญก็ยังดี ดีกว่าไปสร้างบาปสร้างอกุศล ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ ดูตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ แล้วก็สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ จัดระบบระเบียบ อะไรพอคัดออกก็คัดออก อะไรพอละได้ก็ละ เราจะเอาสิ่งไหนเข้าไปทดแทน
ถ้าจะฝักใฝ่สนใจจริงๆ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเจริญสติไปแก้ไขตัวเรา ไม่ต้องให้คนอื่นเขาพร่ำสอนยาก ไปแสวงหายากเลย กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อะไรคือโลกอะไรคือธรรม ท่านบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารเป็นอย่างไร คําว่ากองสังขารเป็นลักษณะอย่างไร ขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงว่าไม่มีตัวไม่มีตน เราจะรู้ได้ด้วยวิธีไหนนี่แหละ
เพียงแค่การเจริญสติความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เชื่อมโยง เราอาจจะมีอยู่แต่เป็นกระท่อนกระแท่น เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ บางทีก็ปฏิบัติธรรมก็ไม่รู้จักธรรม เจริญสติก็ไม่รู้จักสติ จิตเป็นสุขก็รู้อยู่นิดๆ หน่อยๆ เราต้องพยายามศึกษา รู้เห็นแยกแยะ หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางคือการไม่กลับมาเกิด
สนุกทำบุญ สนุกสร้างบุญ อยู่กับบุญตัวใจก็เป็นบุญ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ รอวันเวลาธาตุขันธ์แตกดับ ก็มองเห็นหนทางเดินไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ต้องยอมรับความเป็นจริง รู้เห็นความเป็นจริง ไม่ใช่ปิดกั้นตัวเอง ต้องรู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วยเราละได้ด้วย จนหมดอะไรที่จะทำความเข้าใจ จนบริหารอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ
พูดยาก ถ้าไม่ขยันจริงจริงก็ยากอยู่นะ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าคนเราจะเอาจริงๆ ไม่เหลือวิสัย นี่กิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็เป็นโน่นเป็นนี่ ท่านถึงว่าเป็นรังแห่งโรค เรามาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างยกให้เป็นกรรม แต่เราต้องรู้เรื่องกรรม กรรมทางด้านรูปธรรม กรรมทางด้านนามธรรม เราก็รู้จักแก้ไข กายนี่เดี๋ยวถึงเวลาก็แตกดับต้องพยายามนะ หมั่นสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีกันไป
หลวงพ่อก็จะพาทำพาสร้างเท่าที่กําลังกายจะมีอยู่ เท่าที่กําลังกายจะเอื้ออํานวยให้ ถึงเวลาไหนก็ไปเวลานั้น ถ้าไม่ฟื้นก็ไป ถ้าไม่ไปก็อยู่ต่อ ถึงเวลาฟื้น เพราะว่าร่างกายมันก็เป็นรังแห่งโรคมานาน แก้ไขมานาน เดี๋ยวก็ทรุดเดี๋ยวก็ทรง เดี๋ยวก็ดีได้ทีละ 2-3 นาที แต่ก็ไม่เหลือวิสัยก็พยายามแก้อยู่ แก้เพื่อที่จะยังประโยชน์ให้กับหมู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้เต็มเปี่ยม เท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวย ใครมีโอกาสก็มาร่วมกัน ก็ขอขอบคุณทั้งเหล่ามนุษย์ ทั้งเหล่าเทวดาที่ได้มาร่วม ได้ยินข่าวทราบข่าวหลวงพ่อพูดออกไป เหล่ามนุษย์ได้ยินข่าวก็เข้ามาช่วย เทวดาได้รับรู้รับทราบว่าไปบอกกล่าว ถึงไม่ได้ลําบากเท่าไร รอเวลาประชุมกันเข้า ก็จะได้เป็นองค์มหาเจดีย์ใหญ่ ฝากเอาไว้ ช่วงนี้มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ ไม่ได้ลําบากความสมัครสมานสามัคคี อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข เรายังสมมติช่วยกันให้เกิดประโยชน์
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
วันนี้วันที่เท่าไรท่านเจ้าคุณ วันที่ 3 วันที่ 4 ที่ 4 นะ ที่ 4 ผ่านพ้นเดือนพฤศจิกามายังไม่หนาวเลย ทุกปีงานปีใหม่นี้จะหนาว ปีนี้ความหนาวนี่ไม่มีเลย ความเย็นลงนิดหน่อย สภาพบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปเยอะ บรรยากาศโลก เพราะว่ามนุษย์ทำลายประเทศโน้นบ้างประเทศนี้บ้าง พากันทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติก็ย้อนกลับมาเล่นงาน ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็แล้ง เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็น้ำท่วม สองสามปีที่ผ่านมาน้ำท่วม หลังจากนั้นมาก็แล้ง นี่แหละภัยธรรมชาติ ไม่ว่าประเทศไหน ประเทศเพื่อนบ้านของเราก็ไฟไหม้ อะไรประเทศประเทศอินโดนีเซียหรือมาเลเซียที่ว่าไฟไหม้ทางภาคใต้ ฝุ่นฟุ้งควันลอยมาปกคลุมประเทศไทย นั่นแหละคนทำลายธรรมชาติ หาธรรมชาติอาศัยยากแล้ว
เพียงแค่ธรรมชาติภายนอกก็ไม่รู้จักทำ ไม่รู้จักสร้างขึ้นมา ยิ่งธรรมชาติภายในใจที่ปราศจากกิเลสก็ยิ่งห่างไกลอีก ธรรมชาติภายในใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็สะอาด เขาก็บริสุทธิ์ ส่วนมากก็มีตั้งแต่หากิเลสไปทับถม เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากมั่ง อยากมี อยากเป็น อยากไป ไม่อยากมี ไม่อยากตาย สารพัดอย่าง กิเลสไปปกปิดเอาไว้ ในหลักธรรม ท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง ให้บริหารอยู่ด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยปัญญา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกัน การบวชเข้ามา บวชเข้ามา จุดมุ่งหมายของการบวชอยู่ที่ไหน จุดมุ่งหมายของการบวชคืออะไร ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้ววิ่งทะเยอทะยานด้วยความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในลาภ ในรส ไม่ได้วิธีหนึ่งก็หาวิธีหนึ่งสารพัดอย่าง
ท่านให้ละความอยาก ละความทะเยอทะยานอยาก ยิ่งบวชเข้ามาแล้วยิ่งดิ้นรนแสวงหา ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้มาก น่าละอายนะ ไม่ว่าพระว่าชี ถ้าใครมีความอยาก ความโลภ ความยึด ความติด แทนที่จะขัดจะเกลาเอาออก เจริญพรหมวิหาร ความเมตตาเข้าไปทดแทน ทำหน้าที่ของเราให้จบ ดับ คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิดของเราให้จบ กับมีตั้งแต่ส่งเสริม โน้มน้าวหาเอกลาภ หาลาภ หายศ วิ่งอยู่ตลอดเวลา มันสวนทางกับคําสอนของพระพุทธองค์ แทนที่จะเป็นคนลดละ ละทั้งมานะละทั้งทิฏฐิ ละทั้งกิเลส แม้แต่เอกลาภก็พยายามห่างไกล จะมีจะเกิดมันก็เกิดขึ้นมาด้วยแรงบุญเองไม่ต้องไปดิ้นรน ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องพุ่งไปด้วยความทะยานทะยานอยาก
คนไหนปวารณาเอาไว้ยิ่งห่างไกลเป็นที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่ปวารณาหรือปวารณาก็วิ่งเข้าหาวิ่งเข้าใส่ แย่นะกิเลส ไม่มีใครอยากจะเป็น ไม่มีใครอยากจะหลง แต่ความไม่รู้ นึกว่าตัวเองรู้ นั่นแหละสาเหตุแห่งทุกข์ สมมติภายนอกเขาไม่รู้จักบริหาร ไม่รู้จักแก้ไข มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำส่วนการเกิดของใจก็มีตั้งแต่ส่งเสริม มันจะไปรู้เรื่องอะไร ฝึกหัดปฏิบัติใจ ฝึกหัดปฏิบัติกายก็ไม่รู้เรื่อง การเจริญสติก็ไม่รู้เรื่อง หลอกตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็ต้องพยายาม
สิ่งพวกนี้ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคลสร้างสะสมมาไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่อยากจะให้ อยากเอาออกอย่างเดียว ขยันหมั่นเพียรได้ยังเอาไม่อยู่ บางคนก็มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ บอกแล้วบอกอีกก็ บอกจนปากเปียกปากแฉะ ถ้าไม่เอาก็ไม่เอา คนที่มีบุญฟังนิดเดียว สะกิดนิดเดียว ก็จะรีบแก้ไขตัวเอง ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่ใกล้อยู่ไกล มาอยู่รวมกัน ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันความรับผิดชอบให้มาก มีอะไรเราก็ช่วยกัน อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ผ่านเข้ามาเอาโลง เมื่อเช้านี้ตี 5 ก็มาเอาโลง มาเอาทุกวัน เห็นไหม ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา อีกสักหน่อยก็เลยได้ตายจากกัน
แค่ว่ากินข้าวอิ่มแล้วไปทะเลาะเบาะแว้งกัน ตีกันเหมือนกับพวกอะไร พวกนักการเมือง ยังโชคดีนะที่ยังสงบอยู่ได้ประเทศไทย ถ้าไม่อย่างงั้นมันฆ่ากัน ตีกัน กินข้าวอิ่ม หิวแล้วก็ไปหากินข้าว กินข้าวแล้วก็จับกลุ่มตีกัน ทะเลาะกัน แทนที่จะฆ่ากิเลส ดับความเกิดภายในไม่เอา จะไปว่าคนโน้นว่าคนนี้ไม่ดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ กิเลสมารเล่นงาน แทนที่จะฆ่ากิเลสตัวภายในให้มันจบ อยู่ในวัดคงไม่มีนะหรือมีอยู่ ท่านเจ้าคุณก็ยังไปว่าคนโน้นคนนี้อยู่เหรอ หรือไปตามว่าชีคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้ามีก็ให้รีบแก้ไข บอกไม่ฟังนะเจ้าคุณไปร้องไห้เดี๋ยวไก่ตายหมด ปีนั้นไก่ตายเยอะ เจ้าคุณร้องไห้ ชีบอกไม่ฟัง พยายามบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น พิจารณาตัวเราอยู่ตลอดเวลา มีอะไรก็ช่วยกัน ทางลานเจดีย์ก็เหมือนกัน มีอะไรก็ช่วยกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบคุณโยมผู้ใจบุญที่ได้ยินข่าวทราบข่าวประกาศหลวงพ่อบอกว่าขาดน้ำ มาเยอะ มาเป็นพันๆ กว่าแพ็ค พันสองพันกว่าแพ็ค จนไม่มีที่จะเก็บ หลวงพ่อก็ขอขอบคุณมากๆ นะ เดี๋ยวหมดแล้วค่อยว่ากันใหม่ คงจะได้ไปอีกหลายเดือน เอาเก็บเข้าที่เข้าทาง น้ำแข็งก็เหมือนกัน ในวัดนี้ไม่รู้ว่ากี่ลังเป็นสิบๆ คนขายน้ำแข็งมีเท่าไรเขาก็ยัดใส่หมดนั่นแหละ ทิ้งระเกะระกะไปทั่ว เดือนละหลายหมื่นๆ
ให้รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ อันใดฟุ่มเฟือยก็ให้รู้จักระงับ รู้จักแก้ไขฟืนไฟก็เหมือนกัน ให้รู้จักใช้ อันไหนอย่าไปใช้ฟุ่มเฟือย ให้รู้จักประหยัด ประโยชน์ เงียบ เรียบ ง่าย ประหยัด ไม่ใช่ว่าฟุ่มเฟอะ มีมากเท่าไรเราก็ยิ่งประหยัด ก็ยังประโยชน์ให้มากที่สุด กว่าจะมีจะเป็นได้ ก็จะทำให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขได้ มันลําบาก ถ้าพวกท่านไม่เป็นหลักชัยไม่รู้หรอก การจัดระบบระเบียบ ค่ากับข้าวกับปลา ค่าฟืนค่าไฟ ค่าสารพัดจิปาถะ เราต้องประหยัดช่วยกัน แล้วก็ยังประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มาก ประโยชน์ส่วนตัวนี่อย่าให้มี รีบทำให้มันจบ แล้วก็ประโยชน์ส่วนรวมให้มันมาก อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบให้มาก
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคน ทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงแล้วก็ให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้สำรวจกายของเราแล้วหรือยัง ถึงจะยากลําบากถึงขนาดไหน ความคิด อารมณ์ต่างๆ การเกิดการดับของความคิดที่เกิดจากใจ ที่เกิดจากขันธ์ห้าให้หยุดเอาไว้ ด้วยการกระตุ้นการหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ
การสูดลมหายใจ เราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ คิดก็รู้ ทำก็รู้ ใจเกิดก็รู้ นั่นแหละเพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ ทั้งรู้ทั้งเกิด ทั้งหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เพียงแค่การเกิด เราต้องมาสร้างสติ มาสร้างผู้รู้ลงที่กายของเรา มาสร้างความรู้สึกตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกบ้าง อยู่ที่สัมผัสของกายบ้าง อยู่ที่การเคลื่อนไหวของกายบ้าง ก็เพื่อที่จะให้มีสติรู้ตัวให้ต่อเนื่อง กําลังสติไม่มีแล้วจะไปอบรมใจของเราได้อย่างไร
เพียงแค่การสร้างให้มีให้เกิดก็ยังทำไม่ชํานาญ การสังเกต การวิเคราะห์ในขั้นต่อไปอีก การรู้การเห็น จนรู้เท่าทันใจคลายออกจากความคิดอาการของใจเป็นอย่างไร เขาเริ่มเกิดเป็นอย่างไร ความคิดที่ผุดขึ้นมาหรืออาการของขันธ์ห้าเขาก่อตัวอย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร มันจะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เพียงแค่การสร้างสติให้ต่อเนื่องมันทั้งยาก เราก็ต้องมาความรู้ตัวพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ความเคยชินแบบ ความเคยชินแบบโลกๆ มันเอาไปก่อน
คิดก็รู้ บางทีก็อยู่ในกองบุญกองกุศล บางทีก็อยู่ในอานิสงส์บุญบารมี แต่ก็ยังหลงอยู่ ตราบใดที่ใจยังคลายออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ ใจยังหงายไม่ได้ ใจยังเกิด หลงทั้งนั้นแหละ หลงอยู่ในการสร้างคุณงามความดีหลงอยู่ในบุญก็ยังดี ดีกว่าไปสร้างบาปสร้างอกุศล ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ ดูตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ แล้วก็สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ จัดระบบระเบียบ อะไรพอคัดออกก็คัดออก อะไรพอละได้ก็ละ เราจะเอาสิ่งไหนเข้าไปทดแทน
ถ้าจะฝักใฝ่สนใจจริงๆ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเจริญสติไปแก้ไขตัวเรา ไม่ต้องให้คนอื่นเขาพร่ำสอนยาก ไปแสวงหายากเลย กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อะไรคือโลกอะไรคือธรรม ท่านบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารเป็นอย่างไร คําว่ากองสังขารเป็นลักษณะอย่างไร ขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงว่าไม่มีตัวไม่มีตน เราจะรู้ได้ด้วยวิธีไหนนี่แหละ
เพียงแค่การเจริญสติความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เชื่อมโยง เราอาจจะมีอยู่แต่เป็นกระท่อนกระแท่น เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ บางทีก็ปฏิบัติธรรมก็ไม่รู้จักธรรม เจริญสติก็ไม่รู้จักสติ จิตเป็นสุขก็รู้อยู่นิดๆ หน่อยๆ เราต้องพยายามศึกษา รู้เห็นแยกแยะ หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางคือการไม่กลับมาเกิด
สนุกทำบุญ สนุกสร้างบุญ อยู่กับบุญตัวใจก็เป็นบุญ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ รอวันเวลาธาตุขันธ์แตกดับ ก็มองเห็นหนทางเดินไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ต้องยอมรับความเป็นจริง รู้เห็นความเป็นจริง ไม่ใช่ปิดกั้นตัวเอง ต้องรู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วยเราละได้ด้วย จนหมดอะไรที่จะทำความเข้าใจ จนบริหารอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ
พูดยาก ถ้าไม่ขยันจริงจริงก็ยากอยู่นะ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าคนเราจะเอาจริงๆ ไม่เหลือวิสัย นี่กิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็เป็นโน่นเป็นนี่ ท่านถึงว่าเป็นรังแห่งโรค เรามาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างยกให้เป็นกรรม แต่เราต้องรู้เรื่องกรรม กรรมทางด้านรูปธรรม กรรมทางด้านนามธรรม เราก็รู้จักแก้ไข กายนี่เดี๋ยวถึงเวลาก็แตกดับต้องพยายามนะ หมั่นสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีกันไป
หลวงพ่อก็จะพาทำพาสร้างเท่าที่กําลังกายจะมีอยู่ เท่าที่กําลังกายจะเอื้ออํานวยให้ ถึงเวลาไหนก็ไปเวลานั้น ถ้าไม่ฟื้นก็ไป ถ้าไม่ไปก็อยู่ต่อ ถึงเวลาฟื้น เพราะว่าร่างกายมันก็เป็นรังแห่งโรคมานาน แก้ไขมานาน เดี๋ยวก็ทรุดเดี๋ยวก็ทรง เดี๋ยวก็ดีได้ทีละ 2-3 นาที แต่ก็ไม่เหลือวิสัยก็พยายามแก้อยู่ แก้เพื่อที่จะยังประโยชน์ให้กับหมู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้เต็มเปี่ยม เท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวย ใครมีโอกาสก็มาร่วมกัน ก็ขอขอบคุณทั้งเหล่ามนุษย์ ทั้งเหล่าเทวดาที่ได้มาร่วม ได้ยินข่าวทราบข่าวหลวงพ่อพูดออกไป เหล่ามนุษย์ได้ยินข่าวก็เข้ามาช่วย เทวดาได้รับรู้รับทราบว่าไปบอกกล่าว ถึงไม่ได้ลําบากเท่าไร รอเวลาประชุมกันเข้า ก็จะได้เป็นองค์มหาเจดีย์ใหญ่ ฝากเอาไว้ ช่วงนี้มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ ไม่ได้ลําบากความสมัครสมานสามัคคี อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข เรายังสมมติช่วยกันให้เกิดประโยชน์
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา