หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 111
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 111
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ เราละไม่ได้ตลอด ก็ขอให้หยุดขณะเรากําลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องพนมมือ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก หรือว่าอานาปานสติ พวกเราก็ขาดการสนใจ ขาดการวิเคราะห์ หายใจเข้าเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออกเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจที่ละเอียดเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออกหายใจเข้าเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับ เวลาจะดูจะรู้ทีอึดอัด หายใจก็อึดอัด หน้าอกก็แน่น สมองก็ตึง อันนี้ยังผิดธรรมชาติ เราพยายามหัดวิเคราะห์บ่อยๆ ลมวิ่งเข้าวิ่งออกก็มีตั้งแต่เกิดโน่นแหละ แต่เราไม่ได้สร้างความรู้ตัวเฉยๆ เพราะว่าความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า เขาเกิดมานาน ก็หลงมานาน นี่เขาก็เลยคิดปรุงแต่งส่งไปสารพัดเรื่อง นั่นแหละเขายังหลงอยู่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดหรอก เขาหลงตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดโน่น หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ให้ลึกลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าเรายังไม่ได้เห็นฐานของใจที่แท้จริง
พระพุทธเจ้าหรือว่าพระพุทธองค์ท่านได้มาค้นพบ เจริญสติลงที่กายของเราให้ได้ แล้วก็เอาสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่ไปอบรมใจ ไปอบรมใจ ช่วงใหม่ๆ อบรมไม่ได้ก็ใช้วิธีการต่างๆ สารพัดอย่าง ทั้งอบทั้งรม ทั้งเฆี่ยนทั้งตี สารพัดอย่างที่จะเอาใจให้สงบ เอาใจให้อยู่ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน นามธรรมนี้มีอยู่ 4 ส่วน ส่วนรูปธรรมมีร่างกาย ส่วนร่างกายนี้ 1 ส่วนรวมกันเป็น 5 ส่วน ที่ท่านเรียกว่าขันธ์ห้า
เราอาจจะได้ยินตั้งแต่ชื่อว่าขันธ์ห้า เป็นกองทุกข์ กองโน้นบ้าง กองนี้บ้าง แต่เรายังไม่ได้เห็น ได้ยินตั้งแต่ชื่อ ขันธ์ห้าก็ทั้งกาย ทั้งกายทั้งใจรวมกันหมดนี่แหล่ะ ท่านถึงให้มาเจริญสติ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ลงที่กายของเรา เพื่อที่จะไปอบรมใจของเรา ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ในข้อแรก ในหนทางเดินในอริยมรรค
อริยมรรคคือทางเดิน แยกได้คลายได้ ใจก็จะพลิก ใจก็จะหงาย ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งมาปรุงใจของเรา ซึ่งท่านเปรียบเสมือนกับพยับแดด เวลาความคิดผุดขึ้นมา แล้วใจของเราก็ไปรวม ถ้าใจของเราไม่รวม สติของเราก็ตามดู สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามดู ใจก็ว่างรับรู้อยู่ เห็นการเกิดตั้งแต่ก่อตัวเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ท่านเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า เวลาเขาดับ ไปแล้วก็ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามา บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง แต่เรายังไม่เห็นตั้งแต่การเกิดการแยกการคลาย จะไปรู้เท่าทันได้อย่างไร ในเมื่อกําลังสติของเรามีอยู่นิดเดียว บางทีก็ไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาของโลกๆ ที่คิดเองเออเอง ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ใจกับความคิดเขารวมกันอยู่ตลอดเวลา คือเขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ
กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การแยกการคลายเป็นอย่างไร การตามดู การตามรู้ การตามเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร การแยก รูป รส กลิ่น เสียงออกจากใจเป็นอย่างไร หู ตา จมูก ลิ้น กายเป็นทางผ่าน ของรูป รส กลิ่น เสียง เรามีสติคอยสังเกตใจของเราหรือเปล่า ใจเกิดความอยากหรือไม่
เพียงแค่การเกิดความคิดนั้นเขาก็หลงแล้ว ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด เพียงแค่ความคิดที่เกิดจากตัวใจนะ ทีนี้มาหลงโลกธรรมอีก หลงลาภยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทาอีก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้วิญญาณในขันธ์ห้า ให้รอบรู้ในโลกธรรม ตามดูชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แล้วก็ขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด เป็นเรื่องของเราทุกคน
แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แต่คนเรานั้นจิตใจมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานยาก มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เพราะว่าความทะเยอทะยานอยากนี่ท่านเปรียบเอาไว้ เหมือนกับยางเหนียวเลยทีเดียว เหมือนกับกับดินพอกหางหมู จะขัดจะเกลาก็ต้องสร้างตบะสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ การฝักใฝ่การสนใจ การวิเคราะห์ รู้ลักษณะของการเจริญสติที่ต่อเนื่องที่เชื่อมโยงเป็นอย่างไร อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ เราต้องแจงให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เขาเรียกว่าตนตัวแรก ส่วนใจตัวที่สองน่ะ ตนตัวที่สอง แต่ส่วนมากก็ตามอำเภอใจ ตามอำนาจของกิเลส ก็เลยหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็เขาเรียกว่าภพของมนุษย์ ทีนี้มาหลงภพของมนุษย์อีก ก็หลงเกิดต่ออีก ถ้ากายเนื้อแตกดับเขาก็ไปต่ออีก บางทีก็ไปในกุศลบ้าง บางทีก็ไปในอกุศลบ้าง แต่เวลานี้เขาก็ทั้งเกิดทั้งหลงด้วย แต่เราก็ว่าเราไม่หลง
ในเมื่อเราได้มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงให้ได้ทุกอิริยาบถ เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนโน้น ทั้งที่ผ่านๆ มานั้นสติที่รู้ตัวอยู่ปัจจุบันนี้ ไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจ เกิดจากขันธ์ห้า เราไปมั่นหมายเอาตรงนั้นอยู่ นั่นแหละความหลง หลงอยู่ในความคิด หลงอยู่ในความรู้ แล้วก็หลงในขันธ์ห้าตรงนั้น ก็หลงไปหมด ถ้าแยกแยะขันธ์ห้าได้ตามดู รู้เห็นความเป็นจริงได้ ใจก็ปล่อยวางอัตตาตัวตนได้ ทีนี้เราก็มาละกิเลสที่ใจให้มันหมดจดอีก
การพูดง่ายอยู่ แต่การกระทำ การลงมือจริงๆ เนี่ยต้องขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ต้องเป็นบุคคลที่มีการฝักใฝ่สนใจขัดเกลากิเลสตัวเราเอง จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาทำหน้าที่แทน ถ้าเรามีสติปัญญาอบรมใจของเราได้ จนใจของเราปล่อยวางได้หมด ดับความเกิดได้ วางใจให้เป็นอิสรภาพได้ถึงจะอยู่ดีมีความสุข แต่กายก็เป็นก้อนทุกข์อยู่ดี เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขา จนกว่าจะหมดวาระ หมดเวลา หมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมตินี้จริงๆ แต่เราวางด้วยปัญญา วางที่ใจของเรา วางความคิด วางอารมณ์ ละกิเลสออกจากใจของเรา ดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ กิเลสของเราทั้งนั้น คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เรามาดำเนินทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไขเราให้ดี เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าคนโน้น ไปว่าคนนี้ ไปอคติคนโน้น ไปอคติคนนี้ เรามีหน้าที่ที่จะขัดเกลาทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไข ทำหน้าที่ของเราให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี ทำปัจจุบันให้ดี สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ แต่พวกเราเข้าไม่ถึงกันเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายาม
ความจริงก็อยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ ถ้าใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิด เขาก็นิ่ง ใจไม่มีกิเลส เขาก็สะอาด เขาก็สว่าง เขาก็ว่าง เขาก็บริสุทธิ์ เพราะว่าใจเดิมนั้นไม่มีกิเลส ใจไม่มีตัวไม่มีตน ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ เราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาสร้างผู้รู้ เน้นลงที่กายของเรา ใจนั้นเป็นธาตุรู้ แนวทางนั้นมีมานาน สัจธรรมความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบนั้นเอามาเปิดเผย มีอยู่ นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร รู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะหมดความสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์
เราต้องพยายามทำใจของเราให้สะอาด น้อมนําเอาปัญญา เอาความรู้ ที่พระพุทธองค์ท่านได้ประกาศเอาไว้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญสมาธิเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ พรหมวิหาร อุเบกขาเป็นอย่างนี้ ท่านวางเอาไว้หมด ถ้าเราดำเนินตามคําสอนของท่าน สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว พยายามเอานะ พยายามขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาเราก็รีบสร้างความรู้ตัว เพียงแค่การสร้างสติให้ได้เสียก่อน ถ้าเราสร้างสติได้แล้ว แยกแยะได้แล้ว ตามดูได้แล้ว กําลังสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ รอบรู้ในโลก รอบรู้ในธรรม รอบรู้ในความเป็นจริง รอบรู้ในกองสังขาร จนเอาปัญญาไปใช้ให้ใจรับรู้ ใจของเราก็จะมีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ก็พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก หรือว่าอานาปานสติ พวกเราก็ขาดการสนใจ ขาดการวิเคราะห์ หายใจเข้าเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออกเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจที่ละเอียดเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออกหายใจเข้าเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับ เวลาจะดูจะรู้ทีอึดอัด หายใจก็อึดอัด หน้าอกก็แน่น สมองก็ตึง อันนี้ยังผิดธรรมชาติ เราพยายามหัดวิเคราะห์บ่อยๆ ลมวิ่งเข้าวิ่งออกก็มีตั้งแต่เกิดโน่นแหละ แต่เราไม่ได้สร้างความรู้ตัวเฉยๆ เพราะว่าความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า เขาเกิดมานาน ก็หลงมานาน นี่เขาก็เลยคิดปรุงแต่งส่งไปสารพัดเรื่อง นั่นแหละเขายังหลงอยู่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดหรอก เขาหลงตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดโน่น หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ให้ลึกลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าเรายังไม่ได้เห็นฐานของใจที่แท้จริง
พระพุทธเจ้าหรือว่าพระพุทธองค์ท่านได้มาค้นพบ เจริญสติลงที่กายของเราให้ได้ แล้วก็เอาสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่ไปอบรมใจ ไปอบรมใจ ช่วงใหม่ๆ อบรมไม่ได้ก็ใช้วิธีการต่างๆ สารพัดอย่าง ทั้งอบทั้งรม ทั้งเฆี่ยนทั้งตี สารพัดอย่างที่จะเอาใจให้สงบ เอาใจให้อยู่ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน นามธรรมนี้มีอยู่ 4 ส่วน ส่วนรูปธรรมมีร่างกาย ส่วนร่างกายนี้ 1 ส่วนรวมกันเป็น 5 ส่วน ที่ท่านเรียกว่าขันธ์ห้า
เราอาจจะได้ยินตั้งแต่ชื่อว่าขันธ์ห้า เป็นกองทุกข์ กองโน้นบ้าง กองนี้บ้าง แต่เรายังไม่ได้เห็น ได้ยินตั้งแต่ชื่อ ขันธ์ห้าก็ทั้งกาย ทั้งกายทั้งใจรวมกันหมดนี่แหล่ะ ท่านถึงให้มาเจริญสติ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ลงที่กายของเรา เพื่อที่จะไปอบรมใจของเรา ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ในข้อแรก ในหนทางเดินในอริยมรรค
อริยมรรคคือทางเดิน แยกได้คลายได้ ใจก็จะพลิก ใจก็จะหงาย ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งมาปรุงใจของเรา ซึ่งท่านเปรียบเสมือนกับพยับแดด เวลาความคิดผุดขึ้นมา แล้วใจของเราก็ไปรวม ถ้าใจของเราไม่รวม สติของเราก็ตามดู สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามดู ใจก็ว่างรับรู้อยู่ เห็นการเกิดตั้งแต่ก่อตัวเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ท่านเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า เวลาเขาดับ ไปแล้วก็ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามา บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง แต่เรายังไม่เห็นตั้งแต่การเกิดการแยกการคลาย จะไปรู้เท่าทันได้อย่างไร ในเมื่อกําลังสติของเรามีอยู่นิดเดียว บางทีก็ไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาของโลกๆ ที่คิดเองเออเอง ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ใจกับความคิดเขารวมกันอยู่ตลอดเวลา คือเขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ
กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การแยกการคลายเป็นอย่างไร การตามดู การตามรู้ การตามเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร การแยก รูป รส กลิ่น เสียงออกจากใจเป็นอย่างไร หู ตา จมูก ลิ้น กายเป็นทางผ่าน ของรูป รส กลิ่น เสียง เรามีสติคอยสังเกตใจของเราหรือเปล่า ใจเกิดความอยากหรือไม่
เพียงแค่การเกิดความคิดนั้นเขาก็หลงแล้ว ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด เพียงแค่ความคิดที่เกิดจากตัวใจนะ ทีนี้มาหลงโลกธรรมอีก หลงลาภยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทาอีก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้วิญญาณในขันธ์ห้า ให้รอบรู้ในโลกธรรม ตามดูชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แล้วก็ขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด เป็นเรื่องของเราทุกคน
แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แต่คนเรานั้นจิตใจมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานยาก มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เพราะว่าความทะเยอทะยานอยากนี่ท่านเปรียบเอาไว้ เหมือนกับยางเหนียวเลยทีเดียว เหมือนกับกับดินพอกหางหมู จะขัดจะเกลาก็ต้องสร้างตบะสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ การฝักใฝ่การสนใจ การวิเคราะห์ รู้ลักษณะของการเจริญสติที่ต่อเนื่องที่เชื่อมโยงเป็นอย่างไร อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ เราต้องแจงให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เขาเรียกว่าตนตัวแรก ส่วนใจตัวที่สองน่ะ ตนตัวที่สอง แต่ส่วนมากก็ตามอำเภอใจ ตามอำนาจของกิเลส ก็เลยหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็เขาเรียกว่าภพของมนุษย์ ทีนี้มาหลงภพของมนุษย์อีก ก็หลงเกิดต่ออีก ถ้ากายเนื้อแตกดับเขาก็ไปต่ออีก บางทีก็ไปในกุศลบ้าง บางทีก็ไปในอกุศลบ้าง แต่เวลานี้เขาก็ทั้งเกิดทั้งหลงด้วย แต่เราก็ว่าเราไม่หลง
ในเมื่อเราได้มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงให้ได้ทุกอิริยาบถ เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนโน้น ทั้งที่ผ่านๆ มานั้นสติที่รู้ตัวอยู่ปัจจุบันนี้ ไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจ เกิดจากขันธ์ห้า เราไปมั่นหมายเอาตรงนั้นอยู่ นั่นแหละความหลง หลงอยู่ในความคิด หลงอยู่ในความรู้ แล้วก็หลงในขันธ์ห้าตรงนั้น ก็หลงไปหมด ถ้าแยกแยะขันธ์ห้าได้ตามดู รู้เห็นความเป็นจริงได้ ใจก็ปล่อยวางอัตตาตัวตนได้ ทีนี้เราก็มาละกิเลสที่ใจให้มันหมดจดอีก
การพูดง่ายอยู่ แต่การกระทำ การลงมือจริงๆ เนี่ยต้องขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ต้องเป็นบุคคลที่มีการฝักใฝ่สนใจขัดเกลากิเลสตัวเราเอง จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาทำหน้าที่แทน ถ้าเรามีสติปัญญาอบรมใจของเราได้ จนใจของเราปล่อยวางได้หมด ดับความเกิดได้ วางใจให้เป็นอิสรภาพได้ถึงจะอยู่ดีมีความสุข แต่กายก็เป็นก้อนทุกข์อยู่ดี เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขา จนกว่าจะหมดวาระ หมดเวลา หมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมตินี้จริงๆ แต่เราวางด้วยปัญญา วางที่ใจของเรา วางความคิด วางอารมณ์ ละกิเลสออกจากใจของเรา ดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ กิเลสของเราทั้งนั้น คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เรามาดำเนินทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไขเราให้ดี เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าคนโน้น ไปว่าคนนี้ ไปอคติคนโน้น ไปอคติคนนี้ เรามีหน้าที่ที่จะขัดเกลาทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไข ทำหน้าที่ของเราให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี ทำปัจจุบันให้ดี สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ แต่พวกเราเข้าไม่ถึงกันเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายาม
ความจริงก็อยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ ถ้าใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิด เขาก็นิ่ง ใจไม่มีกิเลส เขาก็สะอาด เขาก็สว่าง เขาก็ว่าง เขาก็บริสุทธิ์ เพราะว่าใจเดิมนั้นไม่มีกิเลส ใจไม่มีตัวไม่มีตน ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ เราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาสร้างผู้รู้ เน้นลงที่กายของเรา ใจนั้นเป็นธาตุรู้ แนวทางนั้นมีมานาน สัจธรรมความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบนั้นเอามาเปิดเผย มีอยู่ นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร รู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะหมดความสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์
เราต้องพยายามทำใจของเราให้สะอาด น้อมนําเอาปัญญา เอาความรู้ ที่พระพุทธองค์ท่านได้ประกาศเอาไว้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญสมาธิเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ พรหมวิหาร อุเบกขาเป็นอย่างนี้ ท่านวางเอาไว้หมด ถ้าเราดำเนินตามคําสอนของท่าน สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว พยายามเอานะ พยายามขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาเราก็รีบสร้างความรู้ตัว เพียงแค่การสร้างสติให้ได้เสียก่อน ถ้าเราสร้างสติได้แล้ว แยกแยะได้แล้ว ตามดูได้แล้ว กําลังสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ รอบรู้ในโลก รอบรู้ในธรรม รอบรู้ในความเป็นจริง รอบรู้ในกองสังขาร จนเอาปัญญาไปใช้ให้ใจรับรู้ ใจของเราก็จะมีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ก็พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ