หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 110
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 110
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เรารู้ลักษณะของคําว่าปัจจุบันธรรม เวลาลมหายใจเข้ากระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็บางครั้งก็ปกติ บางครั้งก็มีความสุข บางครั้งก็โล่งก็โปร่ง เพราะว่าธรรมชาติ ใจไม่เกิด ใจไม่มีกิเลสเขาก็ปกติ เขาก็นิ่ง ความปกตินั่นแหละภาษาธรรมะท่านเรียกว่าศีล ความปกตินั่นแหละเขาเรียกว่าสมาธิ แต่กําลังสติมีไม่เพียงพอ เวลาเขาเกิดความโลภ ความโกรธ ความอยากนี่เขาก็เกิดขึ้นมาเลย เราก็ต้องพยายามรู้จักดับ รู้จักหยุด
ตัวใจนี่ก็หลงมานาน เขาหลงมาตั้งแต่เรายังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ หลงเกิด จนกระทั่งมาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้าเข้ามาปิดกั้นเอาไว้ ก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลงอยู่นะ ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติ รู้จักลักษณะของสติเน้นลงที่กายของเรา มีพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่ได้มาค้นพบเปิดเผยใจที่ไม่เกิด ใจที่เป็นกลาง ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า เน้นลงอยู่ที่กายของตัวเรา มีกายมนุษย์นี่แหละที่เจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจได้ ใจเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ หาแต่สิ่งดีๆ มาปิดกั้นเอาไว้ ทั้งขันธ์ห้าเป็นเพื่อนกับใจ ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดกับตัวใจโดยตรง
เราต้องมาสร้างสติตัวใหม่ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ ด้วยการเจริญอานาปานสติลงที่กายของเราให้ต่อเนื่องกัน ถ้าพลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ขณะที่เราสร้างสติให้ต่อเนื่องกันนี่แหละ บางทีใจของเราก็เกิดคิดไปที่โน่น คิดไปที่นี่ บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นตรงนั้น เห็นการก่อตัวของใจ เห็นการเกิดของใจ เคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ถ้าเราเห็นขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันปุ๊บ ใจจะดีดออก ดีดออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ใจก็จะหงาย ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เหมือนกับไม่มีกาย แต่กายสมมติก็มีอยู่ ให้เราตามดูความเกิดความดับของความคิด นั่นแหละเขาเรียกว่าเห็น เห็นอาการอนิจจัง ความไม่เที่ยง ขณะปรุงแต่งเขาเรียกว่าเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ เวลาดับไป แล้วก็หายไป อนัตตา ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ ท่านถึงว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจนั้นว่างรับรู้อยู่ สติตามดูเห็นตรงนี้ เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ทุกเรื่องที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ส่วนมากใจกับอาการของใจรวมกันไปเป็นสิ่งเดียวกัน เขาหลงอยู่ตรงนั้นอยู่ เขาหลงอยู่ เราก็ว่าเราไม่หลง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อนขณะที่เจริญสติให้ต่อเนื่อง แต่ก่อนสติตัวนี้ไม่มี เราถึงรู้ว่าแต่ก่อนนี่สติเราไม่มีเลย มีตั้งแต่สติปัญญาของโลกของสมมติ มาฝึก มาสร้าง จนเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปอบรมจนใจคลายได้ ตามดูได้ เพียงแค่การสร้างให้ได้เสียก่อน แล้วก็ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทันใจก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม รู้จักอบรมใจของเรา อันนี้ควรละ อันนี้ควรเจริญ อันนี้ควรเจริญ อันนี้ควรดำเนิน
ถ้าใจมองเห็นความเป็นจริง แม้แต่การเกิดของใจเขาก็ไม่เกิด แม้แต่ความคิดที่เกิดจากใจ นั่นแหละดับความเกิดขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ใจยังมีกิเลส เราก็พยายามละกิเลสออกให้มันหมด การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราจะคร่ำเคร่งขนาดไหน ก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ข้อวัตรปฏิบัติมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส ข้อวัตรมาก ข้อวัตรปฏิบัติคร่ำเคร่งอย่างไร ความโลภของเราละได้แล้วหรือยัง ความโกรธ ความอยาก ความยินดียินร้าย เราละได้แล้วหรือยัง มลทินต่างๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดต่างๆ เราละได้หมดแล้วหรือยัง อะไรเราละได้ เราก็รู้ อะไรเรายังละไม่ได้ เราก็พยายามละ ไม่ใช่ว่ามาสร้างแต่กิเลสหมักหมม ให้มันมากขึ้นๆ เป็นทวีคูณเหมือนกับดินพอกหางหมู เราก็ต้องพยายามขัดเกลาตัวเรา
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เพราะว่ากายของคนเรานี้มีแต่กองทุกข์ มีแต่ก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็สารพัดอย่าง แม้แต่องค์หลวงพ่อเองนี่ก็ไม่รู้จะอยู่กับพวกท่านได้นานสักเท่าไร เพราะสภาพร่างกายมันแย่ลงเต็มทีแล้ว มีแต่ทรงกับทรุด แต่ละวันๆ อยู่ด้วยแรงบุญ อยู่ด้วยอานิสงส์ของบุญ เพื่อที่จะยังประโยชน์ให้กับทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ประโยชน์เราๆ ก็ทำให้เต็มที่ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ประโยชน์ทุกคนก็สร้างอนุเคราะห์ให้ ทั้งสมมติ อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ ให้ทุกคนเพื่อที่จะได้มาฝึกหัดปฏิบัติ เพื่อที่ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงขนาดนั้นก็ยังพากันประมาทอยู่ ก็ต้องพยายาม บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากการตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย มันมีเวลาไม่นานนะ อยู่ในโลกมนุษย์แป๊บเดียว แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี อะไรที่จะเป็นบุญก็ให้รีบทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ก็ให้รีบทำ การขัดเกลากิเลสนี้มันขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคล ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีคุณค่า มีประโยชน์มากมายมหาศาล เราต้องพยายามดูเอา
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเขาออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
ตัวใจนี่ก็หลงมานาน เขาหลงมาตั้งแต่เรายังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ หลงเกิด จนกระทั่งมาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้าเข้ามาปิดกั้นเอาไว้ ก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลงอยู่นะ ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติ รู้จักลักษณะของสติเน้นลงที่กายของเรา มีพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่ได้มาค้นพบเปิดเผยใจที่ไม่เกิด ใจที่เป็นกลาง ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า เน้นลงอยู่ที่กายของตัวเรา มีกายมนุษย์นี่แหละที่เจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจได้ ใจเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ หาแต่สิ่งดีๆ มาปิดกั้นเอาไว้ ทั้งขันธ์ห้าเป็นเพื่อนกับใจ ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดกับตัวใจโดยตรง
เราต้องมาสร้างสติตัวใหม่ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ ด้วยการเจริญอานาปานสติลงที่กายของเราให้ต่อเนื่องกัน ถ้าพลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ขณะที่เราสร้างสติให้ต่อเนื่องกันนี่แหละ บางทีใจของเราก็เกิดคิดไปที่โน่น คิดไปที่นี่ บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นตรงนั้น เห็นการก่อตัวของใจ เห็นการเกิดของใจ เคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ถ้าเราเห็นขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันปุ๊บ ใจจะดีดออก ดีดออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ใจก็จะหงาย ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เหมือนกับไม่มีกาย แต่กายสมมติก็มีอยู่ ให้เราตามดูความเกิดความดับของความคิด นั่นแหละเขาเรียกว่าเห็น เห็นอาการอนิจจัง ความไม่เที่ยง ขณะปรุงแต่งเขาเรียกว่าเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ เวลาดับไป แล้วก็หายไป อนัตตา ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ ท่านถึงว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจนั้นว่างรับรู้อยู่ สติตามดูเห็นตรงนี้ เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ทุกเรื่องที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ส่วนมากใจกับอาการของใจรวมกันไปเป็นสิ่งเดียวกัน เขาหลงอยู่ตรงนั้นอยู่ เขาหลงอยู่ เราก็ว่าเราไม่หลง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อนขณะที่เจริญสติให้ต่อเนื่อง แต่ก่อนสติตัวนี้ไม่มี เราถึงรู้ว่าแต่ก่อนนี่สติเราไม่มีเลย มีตั้งแต่สติปัญญาของโลกของสมมติ มาฝึก มาสร้าง จนเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปอบรมจนใจคลายได้ ตามดูได้ เพียงแค่การสร้างให้ได้เสียก่อน แล้วก็ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทันใจก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม รู้จักอบรมใจของเรา อันนี้ควรละ อันนี้ควรเจริญ อันนี้ควรเจริญ อันนี้ควรดำเนิน
ถ้าใจมองเห็นความเป็นจริง แม้แต่การเกิดของใจเขาก็ไม่เกิด แม้แต่ความคิดที่เกิดจากใจ นั่นแหละดับความเกิดขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ใจยังมีกิเลส เราก็พยายามละกิเลสออกให้มันหมด การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราจะคร่ำเคร่งขนาดไหน ก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ข้อวัตรปฏิบัติมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส ข้อวัตรมาก ข้อวัตรปฏิบัติคร่ำเคร่งอย่างไร ความโลภของเราละได้แล้วหรือยัง ความโกรธ ความอยาก ความยินดียินร้าย เราละได้แล้วหรือยัง มลทินต่างๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดต่างๆ เราละได้หมดแล้วหรือยัง อะไรเราละได้ เราก็รู้ อะไรเรายังละไม่ได้ เราก็พยายามละ ไม่ใช่ว่ามาสร้างแต่กิเลสหมักหมม ให้มันมากขึ้นๆ เป็นทวีคูณเหมือนกับดินพอกหางหมู เราก็ต้องพยายามขัดเกลาตัวเรา
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เพราะว่ากายของคนเรานี้มีแต่กองทุกข์ มีแต่ก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็สารพัดอย่าง แม้แต่องค์หลวงพ่อเองนี่ก็ไม่รู้จะอยู่กับพวกท่านได้นานสักเท่าไร เพราะสภาพร่างกายมันแย่ลงเต็มทีแล้ว มีแต่ทรงกับทรุด แต่ละวันๆ อยู่ด้วยแรงบุญ อยู่ด้วยอานิสงส์ของบุญ เพื่อที่จะยังประโยชน์ให้กับทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ประโยชน์เราๆ ก็ทำให้เต็มที่ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ประโยชน์ทุกคนก็สร้างอนุเคราะห์ให้ ทั้งสมมติ อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ ให้ทุกคนเพื่อที่จะได้มาฝึกหัดปฏิบัติ เพื่อที่ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงขนาดนั้นก็ยังพากันประมาทอยู่ ก็ต้องพยายาม บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากการตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย มันมีเวลาไม่นานนะ อยู่ในโลกมนุษย์แป๊บเดียว แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี อะไรที่จะเป็นบุญก็ให้รีบทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ก็ให้รีบทำ การขัดเกลากิเลสนี้มันขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคล ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีคุณค่า มีประโยชน์มากมายมหาศาล เราต้องพยายามดูเอา
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเขาออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ