หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 42

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 42
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 42
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 42
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 เมษายน 2558

พากันดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา สามเณร พิจารณาปฏิสังขาโย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ ว่ากายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ถ้าใจเกิดความอยาก ก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักระงับยับยั้ง ให้พิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา เพียงแค่เรื่องการขบ การฉัน การรับประทาน คนเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว จะเอาตั้งแต่ธรรม มันจะไปได้อย่างไร ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ความอยากมันมีอยู่ ความเกิดมันมีอยู่ตลอดเวลา แสวงหาธรรมก็แสวงหาด้วยความยาก ในหลักธรรมความอยากแม้แต่นิดเดียว ที่เกิดจากใจท่านยังไม่ให้มีเลย ให้เป็นความต้องการของสติของของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน

ฝึกที่นั่น ฝึกที่นี่ ถ้าเราไม่ฝึกใจเรา แล้วใครเขาจะฝึกให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง กิเลสก็ของเรา ความอยากก็ของเรา ความโลภก็ของเรา ใจมันหลงมาหลงมานานถึงได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิดในภพของมนุษย์ ในภพของมนุษย์นี่มีวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม ความคิดอารมณ์ต่างๆ ทั้งตัวใจก็หลงไปด้วยกันหมด มาสร้างกายเนื้อปิดกั้นตัวเอง แล้วก็เป็นทาสของความอยากอีก ของความทะเยอทะยานอยากอีก ปิดกั้นหลายชั้น เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ไปแยกไปคลาย ไปทำความเข้าใจ

คนทั่วไปมีตั้งแต่สร้างเหตุมาทับถมดวงใจของตัวเอง กายเนื้อก็ไม่รู้จักแยกแยะ อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ไม่ค่อยจะสนใจ เอาตั้งแต่คุยกันอย่างเดียว ถ้าเข้ารวมกลุ่มกันแล้วมันก็นกกระจอก นกเอี้ยงเสียงดังเปี๊ยวอยู่อย่างนั้น แทนที่จะดูใจของตัวเอง แก้ไขใจของตัวเอง มีความสุข รู้จักวิธี รู้จักแนวทาง

แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบและออกมาเปิดเผย แต่พวกเราดำเนินให้ถึงจุดหมายหรือเปล่าเท่านั้นเอง อะไรคือสติปัญญาที่จะได้ไปหมั่นพร่ำสอนใจตัวเรา เราสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงแล้วหรือยัง จะเอาตั้งแต่ปัญญาของกิเลสเข้ามาบงการ ก็เป็นทาสของกิเลสอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ใจมันก็หลอกตัวเอง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด หลายชั้นหลายขั้นหลายตอน

เราต้องมาแก้ไข มาปรับปรุง มาวิเคราะห์ มาพิจารณา อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ค่อยเป็นค่อยไป ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ คนมีบุญฟังนิดเดียวไปถึงฝั่งเลย ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ตื่นขึ้นมาเราก็ได้สอนใจเรา สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละไปพร่ำสอนใจของเรา เป็นครูบาอาจารย์สอนตัวเอง อย่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน ไม่มีประโยชน์ ถ้าสอนตัวเองไม่ได้ สอนตัวเราไม่ได้ คนอื่นเขาจะสอนได้อย่างไร เราต้องเจริญสติไปหมั่น หมั่นพร่ำสอนใจของเรา แก้ไขตัวเราทั้งสมมติทั้งวิมุตติ

ความอยากที่เกิดจากวิญญาณ ความเกิดที่จากวิญญาณ ถ้าไม่หลงไม่เกิด เขาหลงมาเกิดในภพมนุษย์ มาเอาร่างกายขันธ์ห้าปิดกั้นเอาไว้หมด เราต้องมาเจริญสติลงที่กายของเรา ไปให้ใจของเราคลายออกจากความหลงอีก ละกิเลสอีก ภารกิจภายในก็ให้จบ ข้างในไม่จบ ข้างนอกก็สร้างปัญหาเพิ่ม เสริมเติมเสียแน่นหนาจนคลายไม่ออก เราก็ต้องพยายาม ไม่ได้หาไกลหรอก หาธรรมะหาที่ใจนะ แล้วก็บริหารกายด้วยปัญญา

ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในดวงวิญญาณในขันธ์ห้าของตัวเรา อะไรล่ะที่จะไปรอบรู้ สติก็ไม่ได้ฝึก ความต่อเนื่องความสุข เรื่องของสติก็ยังไม่มี มีแต่ความคิดของกิเลส มันก็ปิดกั้นเอาไว้หมด เพียงอยากจะรู้ธรรมมันก็ปิดเอาไว้แล้ว บารมีส่วนอื่นสร้างกันมาดี การทำบุญให้ทาน พรหมวิหาร ความเมตตา ความเสียสละ แต่ทำไม่ต่อเนื่อง รู้ไหม เห็นรู้ฐานใจไม่ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ ขณะนั่งฟังอยู่นี่มันยังหนีไปเที่ยวนะ เที่ยวคิด วิ่งไปที่โน่นวิ่งไปที่นี่ สารพัดอย่าง

ก่อนจะมาวัดได้ก็ไปอยู่อย่างไร ไปกินอย่างไร ไปนอนอย่างไร มาเล่นงานหมด จะต้องพยายามก่อนนะ พยายามกันเอา ล้มลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ นี่ ทำความเข้าใจใหม่ ชีวิตของเรา เราเลือกเอา เลือกทางเดินเอา มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้เกิดทางวิญญาณเขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อก็เล่าของเก่ามาเป็น 30 ปีแล้ว แต่พวกท่านยังไม่เข้าใจ เพราะว่าไม่ไปสร้างไปทำให้มีให้เกิดขึ้น มีตั้งแต่จะไปคิดไปอ่าน ไปดิ้นรนแสวงหา ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด ไม่ให้อาจ แต่ให้คิดด้วยสติด้วยปัญญา อ่านด้วยสติ อ่านด้วยปัญญา แต่ใจนั้นต้องคลาย รับรู้อยู่ในความบริสุทธิ์ ยกระดับใจให้อยู่เหนือสมมติ คลายใจออกจากขันธ์ห้าให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ถึงจะไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติพลั้งเผลอเป็นอย่างไร ความรู้ตัวเป็นอย่างไร กาย ตา กระทบรูปเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงเป็นอย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร หมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา ใจของเราเกิดกิเลส เราดับตั้งแต่ต้นเหตุได้ กลางเหตุ ปลายเหตุ ตามดูรู้เห็นความเป็นจริงได้ มันก็หมดความสงสัยเท่านั้นเอง

เราบวชเพื่ออะไร ความหมาย เราปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักว่าลักษณะของสติเป็นอย่างไร เราตั้งแต่พูดแต่คุยกัน มันจะเกิดประโยชน์อะไร รู้ด้วยเห็นด้วย ใจคลายออกได้ด้วยนะ ตามดู รู้ทุกเรื่อง จนเป็นมหาสติจนเป็นมหาปัญญา อ่านหนังสือเล่มไหนก็จะเข้าใจ ใครพูดอย่างไรก็เข้าใจ เพราะเราเห็นใจของตัวเราเอง หมดความสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์ มีตั้งแต่จะเดินปัญญาละกิเลสให้หมดจดเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าธรรมจะอยู่ที่โน่น ธรรมจะอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าธรรมจะอยู่กับท่านเจ้าคุณ ไม่ใช่ว่าธรรมจะอยู่ที่วัดป่า ไม่ใช่สักอย่าง ธรรมอยู่ที่ใจของเรา

ไปที่ไหนก็แบกกายก็ทุกข์ ไปที่โน่นก็หลวงพ่อองค์นั้นเป็นอย่างนั้น หลวงพ่อองค์นี้เป็นอย่างนี้ ตัวมลทินมันเกิด ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งมลทินก็ยิ่งเยอะ น่าสงสาร แทนที่จะได้บุญกลับได้บาป อคติคนโน้น อคติคนนี้ ไม่เคยแก้ไขตัวเอง มันก็เลยยาก มาวัดป่าไม่เห็นเจ้าคุณพาปฏิบัติธรรม พาเดินพานั่งเลย เราต้องดูเราถึงจะตื่นขึ้นมาทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก รู้แล้ว รู้จักวิธีแนวทางแล้ว ก็จัดการตัวเรา

กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ เวลาขบ เวลาฉันเราก็รู้จักกะประมาณในการขบฉันหรือไม่ เราก็ต้องดู เราแสวงหามาด้วยวิธีไหน สมมติอะไรเราขาดตกบกพร่อง เพียงแค่ขั้นพื้นฐานก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยังให้แบกตัวเองก็ทุ่ม ที่พักเป็นอย่างไร ที่อาศัยเป็นอย่างไร ที่หลับที่นอน ปัจจัยสี่เป็นอย่างไร บางทีเอาไปแล้วก็ไม่รู้จักเก็บ ไม่รู้จักรักษา ปล่อยปละละเลยเสีย ทิ้ง จะเอาตั้งแต่ธรรม มันจะไปได้อย่างไร

ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนสังเกต เป็นคนวิเคราะห์ เป็นคนขัดเกลา กิเลสจากข้างในหรือข้างนอก จิตใจของเรามีความอ่อนน้อม หรือว่ามีความแข็งกระด้าง เราต้องรีบแก้ไข จัดการ จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา แล้วก็ของใจของเราให้มันได้ อย่าไปเที่ยวหาที่โน่น เที่ยวหาที่นี่ได้ ตัวอยากไปนั่นแหละ มันหลงไป มันหลอกตัวเองหมด จะมีมากมีน้อย ทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องปัญญา

ดูดีๆ นะสามเณร อยาก ห้ามเอา ประมาณในการขบฉัน แต่เวลาสึกนี่ต้องน้ำหนักต้องเพิ่ม 2 กิโล กฎของท่านเจ้าคนตั้งเอาไว้ ถ้าอยากแล้วห้ามเอา ให้ผ่านเลยไปมันยังเสียดายหรือเปล่า อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม บอกว่าเยอะๆ กิเลสมันสั่งงาน เอาเยอะๆ แล้วเวลาทานได้นิดเดียวเอาไปทิ้ง ก็ต้องมองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา อาหารแต่ละชิ้น อาหารแต่ละส่วน จะตกถึงคนข้างล่างหรือไม่ ตกถึงคนต่อไปหรือไม่ เรากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา เขาเรียกว่าปฏิสังขาโย

ตาเห็นโลกอันนั้นก็อยาก อันนี้ก็อยาก ใจมันก็ปรุงแต่งได้เร็วได้ไวนะ กายยิ่งหิวๆ มันก็ กิเลสมันก็เล่นงานเอาโดยไม่รู้ตัว ก็ต้องพยายาม ต้องหัดขัดเกลาตัวเรา กะประมาณในการขบฉัน เราไม่เข้าใจวันนี้ วันพรุ่งนี้เราต้องเข้าใจ ตราบใดที่เราฝักใฝ่ ตราบใดที่เราสนใจ มันไม่ถึง ไม่เข้าใจจริงๆ ไม่หมดจดจริงๆ อยากไปต่อภพหน้าโน้น เพราะว่าวิญญาณมันยังเกิด ยังไปต่ออยู่

ถ้าเราเข้าใจ เราดับความเกิด ในขณะยังมีลมหายใจ กายก็ยังอยู่ บริหารเขาไปจนกว่าเขาจะหมดสภาพ หมดสภาวะ ตาย คนเราเกิดมาเท่าไรตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว แม้แต่องค์หลวงพ่อพูดอยู่นี้ก็จะต้องไป ไม่ไปช้าก็ไปเร็ว รู้สึกว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานหรอก พอสภาพร่างกายอ่อนแอแล้ว จะลุกจะเดินจะเหินไปไหนก็ลําบาก เพราะว่าฉีดยามานาน ตั้งร่วม 20 กว่าปีแล้ว ก็หยุด หยุดฉีดยา หยุดทานยา โรคภัยไข้เจ็บก็ยกให้เป็นวิบากของกรรม เวลาไหนไป ถึงเวลาได้ไปก็ไป ไม่ถึงเวลาอยากจะไปก็ไม่ได้ไป

วันพรุ่งนี้ก็มาร่วมกันบวชนะ 30 กว่า คงจะทั้งวัน ตั้งแต่เช้าน้อมกายเข้ามาบวช ทีนี้ใจของเราเราบวชแล้วหรือยัง ใจของเราละขัดเกลากิเลสแล้วหรือยัง ตรงนี้สำคัญถ้าเราเข้าใจ ถึงเป็นฆราวาสใจก็เป็นพระได้ ใจของเราสะอาด ใจของเราสงบ ใจของเราบริสุทธิ์ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับสมมติ วิมุตติ ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรา ชีวิตของเรามีอะไร อะไรที่จะเข้าไปดู เข้าไปรู้ สติที่เราสร้างขึ้นมานี่สร้างได้ต่อเนื่อง เอาไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง มีตั้งแต่ดิ้นรนแสวงหา ที่เกิดจากตัวใจมันปิดกั้นตัวเองตลอด

ถ้าบุคคลมีบุญรู้นิดเดียว ทำความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สอนใจตัวเองอย่างมีความสุข เราละกิเลสได้มากได้น้อย กิเลสเหตุจากภายนอกทำให้ใจเกิด เกิดจากข้างใน ท่านว่าอะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ คําว่าอัตตา อนัตตาของพระพุทธองค์เป็นอย่างไร เราต้องรู้ให้แจ้ง ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรม ไม่รู้ธรรม เจริญสติก็ไม่รู้จักลักษณะของสติ นี่ก็ปฏิบัติหลง หลงงมงาย ศรัทธาเราก็ต้องให้มีปัญญาที่แท้จริงด้วย แล้วก็เดินให้ถึงจุดหมายด้วย มัวไปเมาเล่น ปล่อย พยายามมาเรียบเรียงความคิด อารมณ์ การเกิดการดับ อะไรคือนาม อะไรคือรูป สติปัญญาของเราไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง ก็ต้องดู เอาทุกอย่าง

บุญเราก็สร้าง บุญภายนอกเราก็สร้าง บุญสมมติเราก็สร้าง สร้างบุญกันมาดีแล้ว ยังจะมาทำให้ใจตัวเองทุกข์อีก บุญสมมติ หลวงพ่อก็พาสร้างพาทำให้ทุกอย่าง ตายก็มอบโลงศพให้ ให้เงินไปทำฌาปนกิจศพอีก ทำมา 2 ปีกว่า มอบโลงศพไป 315-316 โลง ให้กับคน 7-8 ตำบล ให้ศพละ 5,000 ไปช่วยทำงานศพอีก ที่พักที่กราบที่ไหว้ ความเป็นสิริมงคล เข้ามาก็ได้ไหว้พระ องค์แทนพระพุทธเจ้าองค์แทนพระพุทธองค์ อยากดับทุกข์ได้ก็ปฏิบัติตามคําสอนของท่าน แต่เราก็ปฏิบัติอยู่ แต่เราทำความเข้าใจไม่ละเอียดว่ากายของเรานี้มีอะไรบ้าง

พระพุทธองค์ท่านก็สอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละ ไม่ได้สอนเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ไม่สนใจกัน ลมหายใจเข้า หายใจออกความสืบต่อความต่อเนื่องเป็นอย่างไร ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้าเขาปิดกั้นตัวเองเขาหลงมานาน ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ใจคลายออกถึงจะตกกระแสธรรมได้ ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป

มันไม่ได้ ท่านเจ้าคุณก็จะพาสร้างเจดีย์ใหญ่ ไม่นาน ได้ที่เมื่อไร ก็จะได้ลงมือทันที ประมาณสัก 15 ไร่นี้ก็เจดีย์ใหญ่อยู่นะ บรรจุกิเลสคุณได้เยอะอยู่ กิเลสตัวเป็นตัวอย่างไร รู้จักหรือเปล่ากิเลส ตัวกิเลส เขาเรียกว่าก้อนกิเลส บางคนเขาเรียกว่าก้อนบุญ บางคนเขาเรียกว่าก้อนกรรม ตัววิญญาณอยู่ในก้อนนี้แหละ หาให้มันเจอ

วิธีหานะ นอกจากปัญญาของพุทธองค์ เจริญสติเข้าไปให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงก็จะเห็น ลองอดพูดอดคิด สังเกตดูความคิดนะ สังเกตไม่ทันก็หยุดเอาไว้ มันจะอึดอัดเต็มที่ทีเดียว มันก็จะระเบิด พอเล่นงาน พอฝึกนิดๆ หน่อยๆ พอเจริญสติได้นิดๆ หน่อยๆ กิเลสทำไมมันมีเยอะ ยิ่งมีเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ รู้ความจริงแล้วค่อยละออกให้มันหมด แม้แต่ตัวใจก็ต้องดับความเกิดแล้วก็วางใจให้เป็นอิสรภาพอีก แล้วก็บริหารกายอยู่กับสมมติจนกว่าเขาจะแตกจะดับ

สมัยก่อนไม่เป็นอย่างนี้ 5-6 ปี ตะลอนๆ อยู่ตามหลุมศพ ป่าก็รก ไม่น่าอยู่ อันนี้เป็นป่าปลูกขึ้นมาจนกลมกลืนกับธรรมชาติหมด เพราะว่าร่วมกันช่วยกันปลูกมาแต่ละปี ตั้ง 30 ปี น้ำไม่มีก็หาแหล่งน้ำขุดบ่อใหญ่ ถนนไม่มีก็ตัดถนนหนทาง ทำให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ พวกท่านมาเจอนี้มาเจอแต่ปลายเหตุ ยิ่งปฏิบัติยิ่งฝึกไปได้เร็วได้ไว เพราะไม่ได้ลําบากกับสมมติ เพราะทำไปให้หมดแล้ว เพียงแค่เราจะมีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ดำเนินได้ถูกที่ถูกทางหรือไม่เท่านั้นเอง บารมีนั้นสร้างกันมาดี ถ้าเราเข้าใจแล้วก็จะได้เข้าวัดตลอดเวลา ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ มีสติไปเยี่ยมพระบ่อยๆ

ดูดีๆ นะ สามเณร ทั้งแม่ชี เอาเยอะๆ เดี๋ยวเขาจะว่าหลวงพ่อเลี้ยงไม่อุดมสมบูรณ์ แต่อยาก ห้ามเอา ให้นั่งดู เราต้องพึ่งตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หลวงพ่อก็ให้ปลูกผักๆ คอนโดผักไร้ดินเอาไว้ทานกัน แม่ชีก็ช่วยกัน ผักก็ไร้สารพิษ ทางฝั่งตะวันตกก็ปลูกเห็ด ทางฝั่งตะวันออกก็ปลูกผัก อีกสักหน่อยก็เห็นลูกฟักเต็มสวนไปหมด เอาไว้มาทำซุปก๋วยเตี๋ยวแจกทานต่อ ใครเข้ามาก็จะได้มีความสุข กายก็อนุเคราะห์ให้ หิวมาก็ให้ได้อิ่ม

ทางด้านจิตใจก็แก้ไขเอากิเลสของเราอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ ใช้การไม่ได้ เราต้องสร้างความขยันหมั่นเพียร จะไปที่โน่นที่นี่ แต่เรายังมีความเกียจคร้านอยู่ ใช้การไม่ได้ ความรับผิดชอบไม่มี ความเสียสละไม่มี ไปที่ไหนก็หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเรา อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข สนุกสร้างบุญ สนุกอยู่กับบุญ เราก็ได้บุญ พ่อแม่ก็ได้บุญ อานิสงส์ผลบุญก็มาจากพ่อจากแม่ จากพี่จากน้อง ทีนี้เราก็มาเดินปัญญา แยกแยะ จิตวิญญาณในกายของตัวเรา

ขณะนั่งฟังอยู่ ในใจมันหนีไปสักกี่เที่ยวก็ไม่รู้นะ แล้วก็วิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่ แล้วก็กลับไปบ้าน เขยเป็นอย่างนั้น ลูกสะใภ้เป็นอย่างนี้ งานอันโน้นก็ยังติดยังขัดอยู่ สารพัดอย่าง มันรุมเล่นงานเอา ใจก็ของเรา กายก็ของเรา แต่ทำไมพระพุทธองค์ว่าไม่ใช่ของเราสักอย่าง ต้องปฏิบัติตามคําสอนของท่านถึงจะรู้ แล้วก็บริหารด้วยปัญญา อาศัยเขาไปจนกว่าจะถึงจุดหมายเท่านั้นเอง

อย่างน้อยๆ ก็อย่าไปทิ้งบุญ คิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมอีกถึงจะเกิดประโยชน์ ทำปุ๊บ ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ว่าจะได้เลย การขัดเกลากิเลส บางคนก็กิเลสเบาบางมาก่อน บางคนก็ไม่รู้เรื่อง มันก็เลยยาก ถ้าเราจับจุดได้นิดเดียว การเจริญสติที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ควบคุมใจควบคุมอารมณ์ เมื่อรู้ด้วยเห็นด้วย แยกได้คลายได้นั่นแหละ ท่านถึงบอกให้เชื่อ

ตั้งใจรับพร

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง