หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 82
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 82
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 82
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 กันยายน 2558
มีความสุขกันทุกคน อากาศแจ่ม ฝนฟ้าพายุคงจะไปกันหมดแล้วนะ สามวันที่ผ่านมาพายุเข้าทำอะไรก็ลําบากอยู่ วันนี้ก็คงจะผ่านพ้นไป เห็นว่าน้ำท่วมหลายที่ ตื่นเช้าขึ้นมาก็พิจารณาใจตัวเรา แก้ไขใจตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทำความเข้าใจจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการแก้ไขตัวเรา
พระชีเราก็เหมือนกัน ตื่นขึ้นมารู้ใจแก้ไขใจจนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ พิจารณาปฏิสังขาโยกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง กายของเราเกิดความหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยากหรือว่าใจปกติ อะไรคือปัญญา อะไรคือใจ ถ้าแยกแยะไม่ได้คลายขันธ์ห้าไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ เพียงแค่การเจริญสติก็ยังขาดลุ่มๆ ดอนๆ เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา
เห็นว่าวันนี้มีจากคณะทางกรุงเทพ มากันกี่คนมากัน 41 คน มาถึงเมื่อไร ตอนตีห้า คณะอะไรหมายเหตุ หอจดหมายเหตุจากกรุงเทพเคยมาไหม ไม่เคยมา เคยมาก็น่าจะอยู่นานๆ จนกระทั่งออกพรรษานะ เลี้ยงให้อ้วนเสียก่อนค่อยปล่อยกลับ มาเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ โตกันหมดทุกคนเรียนจบกันหมดทุกคน ไม่ได้บอกยากหรอกเพราะว่าฝึกหัดปฏิบัติมาดี
สอนตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น มาช่วยการช่วยงาน มาบําเพ็ญประโยชน์เขาเรียกว่าจิตอาสา มามีอะไรเราก็ช่วยกันยกวัดให้เลย อะไรขาดตกบกพร่องเราก็ช่วยกันได้เลย เพราะว่าอะไรๆ ก็พอที่จะรู้กันมาหมดแล้วล่ะ ทีนี้จะละกิเลสได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของแต่ละบุคคล กิเลสของเรา เราก็ไปให้คนอื่นเขาละให้ไม่ได้หรอกนอกจากเราจะละเอง มันเกิดเมื่อไรเราก็จัดการกับมันเมื่อนั้น
การเจริญสติก็เหมือนกัน ลักษณะของคําว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร แนวทางคําสอนของพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องไร ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละ สอนถึงต้นเหตุ ต้นเหตุทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม แต่เรามองไปทั้งก้อนเห็นเหตุทั้งก้อน เราไม่ได้จําแนกแจกแจงเพราะว่ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ถึงเราจําแนกแจกแจงแยกได้เราก็ตามดูรู้ให้ได้ทุกเรื่องให้ถึงต้นเหตุ แล้วก็ละต้นเหตุให้มันได้ ให้มันหมดจด
ก็เลยยังสร้างตบะสร้างบารมีกันอยู่ ทำที่โน่นที่นี่ วางเหตุให้ดี สร้างบุญสร้างอานิสงส์ สร้างประโยชน์เอาไว้ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องคอยดูแล ให้น้ำให้ปุ๋ยดูแลกันไป ถึงเวลากำหนดเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกเราก็ได้ เราไม่ได้จะได้ผลเราก็ได้
การปฏิบัติใจก็เหมือนกัน อาศัยการอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยแนวทางที่ถูกต้อง ถึงเวลาก็ถึงจุดหมายปลายทาง อยู่คนเดียวก็ต้องถึง ถ้าไม่ถึงเวลาจะปฏิบัติธรรมเก่งมากมายอย่างไรก็ไม่ถึง เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา เราจะไปเร่งก็ไม่ได้ เราก็ค่อยเป็นค่อยไป ศรัทธามีกันเต็มเปี่ยม ความเสียสละ การวิเคราะห์ การสังเกต การทำความเข้าใจ ดำเนินแนวทางให้ถูกต้อง ถึงเวลาอยู่คนเดียวก็ย่อมจะเข้าถึงคือ ความไม่เกิดคือนิพพานกัน พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องไร ก็สอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละท่านไม่ได้สอนเรื่องไรหรอก
ใจของคนเรามันหลงถึงเกิด เพียงแค่การเกิดการคิดคือหลงแล้ว หลงในชั้นแรก ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด มาหลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองอีก มีทั้งส่วนรูปธรรมมีทั้งสวนนามธรรมก็หลงเข้าไปอีก เป็นทาสของกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก มลทินต่างๆ หลงเข้าไปอีกหลายชั้นจริงๆ เราต้องมีความเพียร ค่อยขัดค่อยเกลาออกทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ความเป็นจริงแล้วก็อยู่กับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ค่อยดำเนินไปให้ถูกทาง ค่อยขัดค่อยเกลา มีอะไรท่านอาจารย์จิตร ท่านเจ้าคุณก็ปรึกษาท่านได้ ท่านจะพาทำกิจกรรมไรก็ช่วยกันทำ
พี่น้องเรา ญาติโยมทั้งใกล้ทั้งไกลก็มาร่วมมารวมกันสร้างบุญสร้างบารมี ศรัทธานั้นมีกันมาตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย การเดินปัญญาละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียดก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราแล้ว เราก็ต้องเอาการเอางานเป็นการปฏิบัติธรรม ทำการทำงานไปด้วย บางคนก็ยังไม่เข้าใจในธรรมก็หนีสมมติว่าสมมติมารบกวนเวลา มันไม่ใช่ เรานี่แหละไปหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่หลง
เพียงแค่การเกิด การปรุง การแต่งของหัวใจ แต่เวลานี่ทั้งใจทั้งขันธ์ห้ามันรวมกันไปหมด รวมกันไปหมด ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในวิญญาณในขันธ์ห้า เดินปัญญาแยกรูปแยกนามถึงจะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดไล่ลงไปจนดับความเกิด ใจไม่เกิด วางความเกิดให้เป็นอิสรภาพ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไขทุกเรื่อง ความอยากแม้แต่นิดเดียวอย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ
ความเกิด อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ พวกเรามีบุญมีอานิสงส์มาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เกิดในภพของมนุษย์ยังไม่พอตัววิญญาณยังเกิดต่ออีก แต่ละวันตั้งแต่เช้ามาเกิดไม่รู้สักกี่เที่ยวแล้ว มันเกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอกนั่นแหละเขาเรียกว่าหลักของอริยสัจ ถ้าเราเห็นการเกิดการดับ เพียงแค่ตัวใจเกิดยังไม่พอ ใจยังไปรวมกับขันธ์ห้าอีกนั่นแหละความหลงอีก หลายชั้นที่สองอีก แล้วก็ไปหลงกิเลสอีกเป็นทาสของกิเลสอีกหลายชั้นเข้าไปอีก แยกแยะได้ตามดูได้ถึงจะเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้ จนอุเบกขาวางเฉยรับรู้เข้าสู่นิพพาน ดับความเกิดได้นั่นแหละถึงจะไม่กลับมาเกิดกัน
การพูดนี่ง่ายอยู่แต่การลงมือจริงๆ นี้มันยาก ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ หมั่นสร้างตบะบารมีเป็นเลิศทุกอิริยาบถทุกลมหายใจเข้าออกจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ทำ จนไม่ได้สร้าง จนฝังเอาไว้ในใจของเรา อยู่ในกองบุญ การเกิดก็เป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เปลี่ยนจากความอยากของกิเลสเป็นความต้องการของสติปัญญาทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ยังประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติให้เรียบร้อยก่อนที่จะหมดลมหายใจ
พวกเรามีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ศรัทธาก็มี ความเสียสละก็มี การฝักใฝ่การสนใจดู รู้การเกิดการดับ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรเราพยายามปฏิบัติตามให้มีให้เกิด ท่านถึงบอกให้เชื่อ มีจริงหมดสัจธรรม ความจริงอันประเสริฐมีอยู่ ท่านสอนถึงเรื่องเหตุ มีเหตุมีผล ต้นเหตุอยู่ตรงไหนเรื่องอะไรทุกอย่างเกิดขึ้นที่เราหมดไม่ใช่เกิดขึ้นที่คนอื่น ทีนี้เราก็มาทำความเข้าใจ เรายังมีหมู่มีคณะ มีเพื่อนมีฝูง มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันที่ยังยุ่งเกี่ยวกันกับโลกธรรม เราก็ต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ตั้งแต่เรื่องตื่นขึ้นมาลมหายใจยังอยู่กับเราหรือไม่ หรือว่าเขาหนีไปเที่ยวเสียแล้ว ทุกวันนี้โลกมันวุ่นวาย ภายนอกก็วุ่นวายเพราะว่ากิเลสเยอะ การทำลายธรรมชาติก็เยอะ การฆ่าฟันตีกันก็เยอะ ไม่ฆ่ามันก็จะตายอยู่แล้วแทนที่จะฆ่ากิเลสตัวเอง มีโอกาสก็ร่วมกัน มาช่วยกันยังประโยชน์ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาภายนอกเราก็ทำความเข้าใจ เวลาภายในเราก็ทำความเข้าใจ ละนิวรณ์ความเกียจคร้าน มีความสุข
แต่ละวันเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราเอาชนะกิเลสได้ด้วยวิธีไหน เรามีความขยันหรือว่ามีความเกียจคร้าน เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือเปล่า สนุกดีมีความสุข ใจของเราเกิดอย่างไร มีความกลัวหรือใจของเรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่านหรือเปล่า ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร
เราจะได้ดู สํารวจตรวจตาดูอะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เพียงแค่ความระลึกรู้เราทำให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง เราเอาไปใช้เป็นแล้วหรือยัง คําว่าสมถะภาวนาไม่ใช่ไปนั่งหลับตา สมถะใจเกิดขณะนี้ก็ดับขณะนี้เลย ขันธ์ห้าเข้ามาผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เราสังเกตทันเขาก็จะแยกของเขาเอง ถ้าตามดูให้รู้ชัดเจนจะมีความสุขว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนทุกเรื่อง ตัวไหนเป็นตัวสั่งพากายไปใจรับรู้ แต่เวลานี้ไปทั้งก้อน ผิดถูกชั่วดีก็แก้ไขกันอยู่ในระดับของสมมติ ไม่ได้ยกใจคลายใจออกให้อยู่ดู รู้ มองเห็นความเป็นจริง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ญาติโยมแต่ละวันก็พากันมาเยอะ ก็ดูตัวเรา แก้ไขตัวเราเป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นเรื่องของเรา เราทำหน้าที่ของเราให้จบ ภายนอกก็เข้ามาหาเรา เราก็ช่วยกันแก้ไขอาศัยกันไป
สักวันหนึ่งก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์กฎของความเป็นจริง ความตายไม่เลือกกาลเลือกเวลาทั้งกลางวันกลางคืนเพราะว่าเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด หลวงพ่อก็ได้แจกโลงมอบโลงศพให้ เมื่อวานนี้ก็มา ไล่เรียงกันมาทุกวันๆ เมื่อวานก็มาตั้ง 2 ศพ 2 โลงอีก ไป 400 500 ไป 600 โลงแล้ว ที่ได้อนุเคราะห์ไป มอบทางโลงศพมอบทั้งทุนให้ไปช่วยกันฌาปนกิจ อนุเคราะห์ให้ทีละ 5,000 ๆ บางทีก็ 30,000 ถ้าเป็นพระ มารับกันทุกวัน ตอนนี้เหลืออยู่ 2 โลง จะมาทันหรือเปล่า วันนี้วันที่ 23 จะมาส่งอีก 50 โลง ตายให้เห็นทุกวัน เราก็จะตายเหมือนกัน แต่ให้ใจมันตายจากกิเลสก่อน กิเลสเข้ามาเมื่อไหร่ก็เคาะหัวมันเมื่อนั้นแหละ
เราจะใช้ตบะอย่างไรก็ใช้เอา มันเกียจคร้านเราก็เพิ่มความขยัน มันโลภเราก็ละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก มันยังหลงอยู่ เราต้องพยายามสังเกตจนกว่าใจจะคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ไหม ไม่ใช่ว่าไปอ่านไปท่องจำเฉยๆ ต้องรู้เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามดูได้ด้วย จากสติไม่มีก็สร้างให้มี จากไม่ต่อเนื่องเราก็ทำให้ต่อเนื่องจนเห็น เห็นได้แยกได้ ถ้าแยกได้ยังปล่อยทิ้งอีกมันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม ต้องตามค้นคว้าหาเหตุหาผลจนใจยอมรับความเป็นจริงชี้เหตุชี้ผลได้หมดนั่นแหละ ใจถึงจะปล่อยถึงจะวาง ตามดูแล้วก็รู้ความจริง แล้วก็ละออกให้มันหมดอีก จัดการให้มันได้ใช้ตัวเองให้มันเป็น
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่าไปหนี อย่าไปหนีสมมติ ตามีหน้าที่ดูก็ให้ดูไป เราจะไปห้ามตาอย่าไปดูนะ ไม่ได้ ตามีหน้าที่ดูเราก็ดู ใจของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ถ้าเราจะหลบหลีกก็หลบหลีกด้วยปัญญา บางคนเราก็บอกฉันไปปฏิบัติธรรม ฉันไปปฏิบัติธรรมอะไรก็จืดชืดหมด ลองไปกินเกลือลองดูสิมันจืดไหม เกลือมันก็เค็มอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ กายของเราเข้าไปร่วมสมมติ แต่ให้ใจรับรู้ ไม่ให้ใจให้เกิดความยินดียินร้าย เราคลายภายในซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกันเสียก่อน มันก็วางส่วนรูปโดยปริยาย จัดการต้นเหตุให้มันทุกข์ ก็ต้องพยายาม
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกก็ตบปลายจมูกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกัน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง เราหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เพียงแต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจในการวิเคราะห์ จะเอาตั้งแต่ปัญญาไปคิดไปพิจารณาไปหาอันนั้นแหละคือความหลงในชั้นละเอียดที่จะเกิดใจ ใจคิดค้นหา ใจเกิดอยู่ตลอดเวลาใจจะนิ่งได้อย่างไร เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจ ความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องเราก็พยายามสร้างขึ้นมา
การสร้างความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออก ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวเพราะพร้อม แต่เราไม่เคยสร้างให้ต่อเนื่องมันก็เลยรู้ไม่เท่าทันใจ เพียงแค่กำลังสติปัญญาของเรามีไม่เข้มแข็ง จะเอาไปอบรมใจได้อย่างไร จะเอาไปชี้เหตุชี้ผลให้ใจมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างไร
การเกิดของใจนั้นมีมานาน เขามาเกิดในภพของมนุษย์ เขามาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ในอีกชั้นหนึ่ง แล้วเขาก็ยังคิดปรุงแต่งต่อนั่นอีกหลายชั้น ลึกลงไปเขายังเป็นทาสของกิเลสอีก แต่เวลานี้เราก็มาเจริญสติเน้นลงที่กายเพื่อที่จะให้ลึกเข้าไปถึงตัวใจ อบรมใจของตัวเราแก้ไขใจของเราด้วยการสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมี ตามแนวทางของพระพุทธองค์ ใจของเรายังเกิดอยู่ท่านถึงบอกให้ใช้สมถะเข้าไปดับ อยู่ลมหายใจบ้างหรืออยู่บริกรรมบ้างแล้วแต่อุบายของเรา จนกว่ากำลังสติจะเข้าไปแยกเข้าไปคลายเข้าไปสังเกต ถ้าเห็นใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ถ้าเราเห็นต้นเหตุเขาจะแยกของเขาเอง
เราไม่จำเป็นต้องจับ ไปจับเขาแยก ยาก ถ้าแยกได้คลายได้เขาเรียกว่าพลิกหงาย หงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นเรื่องไรเราก็จะไล่เรียงลงไปอีก เป็นเรื่องกุศลหรือว่าอกุศล เป็นเรื่องอดีตหรือว่าเรื่องของอนาคต ทำไมใจของเราถึงไปรวมไปร่วมจนเกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฐิเกิดมานะ เกิดกิเลสสารพัดอย่าง
เพียงแค่คลายใจออกจากขันธ์ห้าให้ได้ เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร การขัดเกลากิเลส เราจะขัดเกลาวิธีไหนอีกทุกเรื่องอีก ความอยาก การเกิดแม้แต่นิดเดียวเรายังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ ใหม่ๆ ท่านอาจจะเป็นการทวนกระแสเป็นการฝืน เป็นการสวนกระแสของกิเลสก็อึดอัด จนถึงที่สิ้นสุดเขาถึงจะยอมคลาย คลายได้เขาถึงจะโล่งจะโปร่ง
เราก็ตามทำความเข้าใจได้ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน จากกำลังสติของเราที่สร้างขึ้นมาก็จะกลายเป็นมหาสติตามรู้ รู้ทุกเรื่อง ถ้าเราไม่ค้นคว้าทุกเรื่องกำลังสติของเราก็จะหดหายไป ถ้ากำลังสติของเราค้นทุกเรื่องดูทุกเรื่อง ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ จากสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญา เป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในการทำความเข้าใจ รอบรู้ในการละ ชี้เหตุชี้ผล
ใจเป็น ‘ธาตุรู้’ สติเป็น ‘ผู้รู้’ ใจกับธาตุรู้เขาก็จะรู้พร้อมกัน สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาไปทำหน้าที่ตามดูตามรู้ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผล ให้ใจมองเห็นความเป็นจริงจนยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ แม้แต่การเกิดเขาก็ไม่เกิด แต่เวลานี้ใจยังเกิดอยู่ตลอดเวลา อาจจะเกิดอยู่ในคุณงามความดี อาจจะเกิดอยู่ในความกองกุศล แต่เขาก็ยังหลงอยู่ ต้องยกระดับใจของเราให้มองเห็นความเป็นจริงทั้งผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาของเราไปแก้ไข ก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเป็นศาสนาที่มีปัญญาที่สุดในโลกมนุษย์ เป็นศาสนาที่สูงที่สุด ทำไมถึงว่าสูงที่สุดทันสมัยที่สุด เพราะว่าท่านสอนเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ศาสนาอื่นอยู่แค่พรหมวิหาร ไม่ใช่ว่าไม่ดี ดีหมดเป็นพื้นฐาน แต่ศาสนาพุทธท่านสอนถึงเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ให้อยู่ด้วยพรหมวิหาร มีศาสนาเดียวที่สอนถึงเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยวาง ไม่ต้องกลับมาเกิด ดับความเกิดไม่เหลือ ดับความเกิดของใจของเรานั่นแหละ แต่เวลานี้ในใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึดสารพัดอย่าง เราต้องมาแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกันก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกสัมผัสการหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกันตรงปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันนะ
พาไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 กันยายน 2558
มีความสุขกันทุกคน อากาศแจ่ม ฝนฟ้าพายุคงจะไปกันหมดแล้วนะ สามวันที่ผ่านมาพายุเข้าทำอะไรก็ลําบากอยู่ วันนี้ก็คงจะผ่านพ้นไป เห็นว่าน้ำท่วมหลายที่ ตื่นเช้าขึ้นมาก็พิจารณาใจตัวเรา แก้ไขใจตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทำความเข้าใจจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการแก้ไขตัวเรา
พระชีเราก็เหมือนกัน ตื่นขึ้นมารู้ใจแก้ไขใจจนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ พิจารณาปฏิสังขาโยกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง กายของเราเกิดความหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยากหรือว่าใจปกติ อะไรคือปัญญา อะไรคือใจ ถ้าแยกแยะไม่ได้คลายขันธ์ห้าไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ เพียงแค่การเจริญสติก็ยังขาดลุ่มๆ ดอนๆ เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา
เห็นว่าวันนี้มีจากคณะทางกรุงเทพ มากันกี่คนมากัน 41 คน มาถึงเมื่อไร ตอนตีห้า คณะอะไรหมายเหตุ หอจดหมายเหตุจากกรุงเทพเคยมาไหม ไม่เคยมา เคยมาก็น่าจะอยู่นานๆ จนกระทั่งออกพรรษานะ เลี้ยงให้อ้วนเสียก่อนค่อยปล่อยกลับ มาเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ โตกันหมดทุกคนเรียนจบกันหมดทุกคน ไม่ได้บอกยากหรอกเพราะว่าฝึกหัดปฏิบัติมาดี
สอนตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น มาช่วยการช่วยงาน มาบําเพ็ญประโยชน์เขาเรียกว่าจิตอาสา มามีอะไรเราก็ช่วยกันยกวัดให้เลย อะไรขาดตกบกพร่องเราก็ช่วยกันได้เลย เพราะว่าอะไรๆ ก็พอที่จะรู้กันมาหมดแล้วล่ะ ทีนี้จะละกิเลสได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของแต่ละบุคคล กิเลสของเรา เราก็ไปให้คนอื่นเขาละให้ไม่ได้หรอกนอกจากเราจะละเอง มันเกิดเมื่อไรเราก็จัดการกับมันเมื่อนั้น
การเจริญสติก็เหมือนกัน ลักษณะของคําว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร แนวทางคําสอนของพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องไร ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละ สอนถึงต้นเหตุ ต้นเหตุทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม แต่เรามองไปทั้งก้อนเห็นเหตุทั้งก้อน เราไม่ได้จําแนกแจกแจงเพราะว่ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ถึงเราจําแนกแจกแจงแยกได้เราก็ตามดูรู้ให้ได้ทุกเรื่องให้ถึงต้นเหตุ แล้วก็ละต้นเหตุให้มันได้ ให้มันหมดจด
ก็เลยยังสร้างตบะสร้างบารมีกันอยู่ ทำที่โน่นที่นี่ วางเหตุให้ดี สร้างบุญสร้างอานิสงส์ สร้างประโยชน์เอาไว้ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องคอยดูแล ให้น้ำให้ปุ๋ยดูแลกันไป ถึงเวลากำหนดเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกเราก็ได้ เราไม่ได้จะได้ผลเราก็ได้
การปฏิบัติใจก็เหมือนกัน อาศัยการอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยแนวทางที่ถูกต้อง ถึงเวลาก็ถึงจุดหมายปลายทาง อยู่คนเดียวก็ต้องถึง ถ้าไม่ถึงเวลาจะปฏิบัติธรรมเก่งมากมายอย่างไรก็ไม่ถึง เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา เราจะไปเร่งก็ไม่ได้ เราก็ค่อยเป็นค่อยไป ศรัทธามีกันเต็มเปี่ยม ความเสียสละ การวิเคราะห์ การสังเกต การทำความเข้าใจ ดำเนินแนวทางให้ถูกต้อง ถึงเวลาอยู่คนเดียวก็ย่อมจะเข้าถึงคือ ความไม่เกิดคือนิพพานกัน พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องไร ก็สอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละท่านไม่ได้สอนเรื่องไรหรอก
ใจของคนเรามันหลงถึงเกิด เพียงแค่การเกิดการคิดคือหลงแล้ว หลงในชั้นแรก ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด มาหลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองอีก มีทั้งส่วนรูปธรรมมีทั้งสวนนามธรรมก็หลงเข้าไปอีก เป็นทาสของกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก มลทินต่างๆ หลงเข้าไปอีกหลายชั้นจริงๆ เราต้องมีความเพียร ค่อยขัดค่อยเกลาออกทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ความเป็นจริงแล้วก็อยู่กับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ค่อยดำเนินไปให้ถูกทาง ค่อยขัดค่อยเกลา มีอะไรท่านอาจารย์จิตร ท่านเจ้าคุณก็ปรึกษาท่านได้ ท่านจะพาทำกิจกรรมไรก็ช่วยกันทำ
พี่น้องเรา ญาติโยมทั้งใกล้ทั้งไกลก็มาร่วมมารวมกันสร้างบุญสร้างบารมี ศรัทธานั้นมีกันมาตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย การเดินปัญญาละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียดก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราแล้ว เราก็ต้องเอาการเอางานเป็นการปฏิบัติธรรม ทำการทำงานไปด้วย บางคนก็ยังไม่เข้าใจในธรรมก็หนีสมมติว่าสมมติมารบกวนเวลา มันไม่ใช่ เรานี่แหละไปหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่หลง
เพียงแค่การเกิด การปรุง การแต่งของหัวใจ แต่เวลานี่ทั้งใจทั้งขันธ์ห้ามันรวมกันไปหมด รวมกันไปหมด ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในวิญญาณในขันธ์ห้า เดินปัญญาแยกรูปแยกนามถึงจะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดไล่ลงไปจนดับความเกิด ใจไม่เกิด วางความเกิดให้เป็นอิสรภาพ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไขทุกเรื่อง ความอยากแม้แต่นิดเดียวอย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ
ความเกิด อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ พวกเรามีบุญมีอานิสงส์มาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เกิดในภพของมนุษย์ยังไม่พอตัววิญญาณยังเกิดต่ออีก แต่ละวันตั้งแต่เช้ามาเกิดไม่รู้สักกี่เที่ยวแล้ว มันเกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอกนั่นแหละเขาเรียกว่าหลักของอริยสัจ ถ้าเราเห็นการเกิดการดับ เพียงแค่ตัวใจเกิดยังไม่พอ ใจยังไปรวมกับขันธ์ห้าอีกนั่นแหละความหลงอีก หลายชั้นที่สองอีก แล้วก็ไปหลงกิเลสอีกเป็นทาสของกิเลสอีกหลายชั้นเข้าไปอีก แยกแยะได้ตามดูได้ถึงจะเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้ จนอุเบกขาวางเฉยรับรู้เข้าสู่นิพพาน ดับความเกิดได้นั่นแหละถึงจะไม่กลับมาเกิดกัน
การพูดนี่ง่ายอยู่แต่การลงมือจริงๆ นี้มันยาก ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ หมั่นสร้างตบะบารมีเป็นเลิศทุกอิริยาบถทุกลมหายใจเข้าออกจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ทำ จนไม่ได้สร้าง จนฝังเอาไว้ในใจของเรา อยู่ในกองบุญ การเกิดก็เป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เปลี่ยนจากความอยากของกิเลสเป็นความต้องการของสติปัญญาทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ยังประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติให้เรียบร้อยก่อนที่จะหมดลมหายใจ
พวกเรามีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ศรัทธาก็มี ความเสียสละก็มี การฝักใฝ่การสนใจดู รู้การเกิดการดับ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรเราพยายามปฏิบัติตามให้มีให้เกิด ท่านถึงบอกให้เชื่อ มีจริงหมดสัจธรรม ความจริงอันประเสริฐมีอยู่ ท่านสอนถึงเรื่องเหตุ มีเหตุมีผล ต้นเหตุอยู่ตรงไหนเรื่องอะไรทุกอย่างเกิดขึ้นที่เราหมดไม่ใช่เกิดขึ้นที่คนอื่น ทีนี้เราก็มาทำความเข้าใจ เรายังมีหมู่มีคณะ มีเพื่อนมีฝูง มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันที่ยังยุ่งเกี่ยวกันกับโลกธรรม เราก็ต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ตั้งแต่เรื่องตื่นขึ้นมาลมหายใจยังอยู่กับเราหรือไม่ หรือว่าเขาหนีไปเที่ยวเสียแล้ว ทุกวันนี้โลกมันวุ่นวาย ภายนอกก็วุ่นวายเพราะว่ากิเลสเยอะ การทำลายธรรมชาติก็เยอะ การฆ่าฟันตีกันก็เยอะ ไม่ฆ่ามันก็จะตายอยู่แล้วแทนที่จะฆ่ากิเลสตัวเอง มีโอกาสก็ร่วมกัน มาช่วยกันยังประโยชน์ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาภายนอกเราก็ทำความเข้าใจ เวลาภายในเราก็ทำความเข้าใจ ละนิวรณ์ความเกียจคร้าน มีความสุข
แต่ละวันเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราเอาชนะกิเลสได้ด้วยวิธีไหน เรามีความขยันหรือว่ามีความเกียจคร้าน เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือเปล่า สนุกดีมีความสุข ใจของเราเกิดอย่างไร มีความกลัวหรือใจของเรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่านหรือเปล่า ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร
เราจะได้ดู สํารวจตรวจตาดูอะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เพียงแค่ความระลึกรู้เราทำให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง เราเอาไปใช้เป็นแล้วหรือยัง คําว่าสมถะภาวนาไม่ใช่ไปนั่งหลับตา สมถะใจเกิดขณะนี้ก็ดับขณะนี้เลย ขันธ์ห้าเข้ามาผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เราสังเกตทันเขาก็จะแยกของเขาเอง ถ้าตามดูให้รู้ชัดเจนจะมีความสุขว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนทุกเรื่อง ตัวไหนเป็นตัวสั่งพากายไปใจรับรู้ แต่เวลานี้ไปทั้งก้อน ผิดถูกชั่วดีก็แก้ไขกันอยู่ในระดับของสมมติ ไม่ได้ยกใจคลายใจออกให้อยู่ดู รู้ มองเห็นความเป็นจริง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ญาติโยมแต่ละวันก็พากันมาเยอะ ก็ดูตัวเรา แก้ไขตัวเราเป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นเรื่องของเรา เราทำหน้าที่ของเราให้จบ ภายนอกก็เข้ามาหาเรา เราก็ช่วยกันแก้ไขอาศัยกันไป
สักวันหนึ่งก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์กฎของความเป็นจริง ความตายไม่เลือกกาลเลือกเวลาทั้งกลางวันกลางคืนเพราะว่าเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด หลวงพ่อก็ได้แจกโลงมอบโลงศพให้ เมื่อวานนี้ก็มา ไล่เรียงกันมาทุกวันๆ เมื่อวานก็มาตั้ง 2 ศพ 2 โลงอีก ไป 400 500 ไป 600 โลงแล้ว ที่ได้อนุเคราะห์ไป มอบทางโลงศพมอบทั้งทุนให้ไปช่วยกันฌาปนกิจ อนุเคราะห์ให้ทีละ 5,000 ๆ บางทีก็ 30,000 ถ้าเป็นพระ มารับกันทุกวัน ตอนนี้เหลืออยู่ 2 โลง จะมาทันหรือเปล่า วันนี้วันที่ 23 จะมาส่งอีก 50 โลง ตายให้เห็นทุกวัน เราก็จะตายเหมือนกัน แต่ให้ใจมันตายจากกิเลสก่อน กิเลสเข้ามาเมื่อไหร่ก็เคาะหัวมันเมื่อนั้นแหละ
เราจะใช้ตบะอย่างไรก็ใช้เอา มันเกียจคร้านเราก็เพิ่มความขยัน มันโลภเราก็ละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก มันยังหลงอยู่ เราต้องพยายามสังเกตจนกว่าใจจะคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ไหม ไม่ใช่ว่าไปอ่านไปท่องจำเฉยๆ ต้องรู้เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามดูได้ด้วย จากสติไม่มีก็สร้างให้มี จากไม่ต่อเนื่องเราก็ทำให้ต่อเนื่องจนเห็น เห็นได้แยกได้ ถ้าแยกได้ยังปล่อยทิ้งอีกมันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม ต้องตามค้นคว้าหาเหตุหาผลจนใจยอมรับความเป็นจริงชี้เหตุชี้ผลได้หมดนั่นแหละ ใจถึงจะปล่อยถึงจะวาง ตามดูแล้วก็รู้ความจริง แล้วก็ละออกให้มันหมดอีก จัดการให้มันได้ใช้ตัวเองให้มันเป็น
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่าไปหนี อย่าไปหนีสมมติ ตามีหน้าที่ดูก็ให้ดูไป เราจะไปห้ามตาอย่าไปดูนะ ไม่ได้ ตามีหน้าที่ดูเราก็ดู ใจของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ถ้าเราจะหลบหลีกก็หลบหลีกด้วยปัญญา บางคนเราก็บอกฉันไปปฏิบัติธรรม ฉันไปปฏิบัติธรรมอะไรก็จืดชืดหมด ลองไปกินเกลือลองดูสิมันจืดไหม เกลือมันก็เค็มอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ กายของเราเข้าไปร่วมสมมติ แต่ให้ใจรับรู้ ไม่ให้ใจให้เกิดความยินดียินร้าย เราคลายภายในซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกันเสียก่อน มันก็วางส่วนรูปโดยปริยาย จัดการต้นเหตุให้มันทุกข์ ก็ต้องพยายาม
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกก็ตบปลายจมูกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกัน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง เราหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เพียงแต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจในการวิเคราะห์ จะเอาตั้งแต่ปัญญาไปคิดไปพิจารณาไปหาอันนั้นแหละคือความหลงในชั้นละเอียดที่จะเกิดใจ ใจคิดค้นหา ใจเกิดอยู่ตลอดเวลาใจจะนิ่งได้อย่างไร เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจ ความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องเราก็พยายามสร้างขึ้นมา
การสร้างความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออก ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวเพราะพร้อม แต่เราไม่เคยสร้างให้ต่อเนื่องมันก็เลยรู้ไม่เท่าทันใจ เพียงแค่กำลังสติปัญญาของเรามีไม่เข้มแข็ง จะเอาไปอบรมใจได้อย่างไร จะเอาไปชี้เหตุชี้ผลให้ใจมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างไร
การเกิดของใจนั้นมีมานาน เขามาเกิดในภพของมนุษย์ เขามาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ในอีกชั้นหนึ่ง แล้วเขาก็ยังคิดปรุงแต่งต่อนั่นอีกหลายชั้น ลึกลงไปเขายังเป็นทาสของกิเลสอีก แต่เวลานี้เราก็มาเจริญสติเน้นลงที่กายเพื่อที่จะให้ลึกเข้าไปถึงตัวใจ อบรมใจของตัวเราแก้ไขใจของเราด้วยการสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมี ตามแนวทางของพระพุทธองค์ ใจของเรายังเกิดอยู่ท่านถึงบอกให้ใช้สมถะเข้าไปดับ อยู่ลมหายใจบ้างหรืออยู่บริกรรมบ้างแล้วแต่อุบายของเรา จนกว่ากำลังสติจะเข้าไปแยกเข้าไปคลายเข้าไปสังเกต ถ้าเห็นใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ถ้าเราเห็นต้นเหตุเขาจะแยกของเขาเอง
เราไม่จำเป็นต้องจับ ไปจับเขาแยก ยาก ถ้าแยกได้คลายได้เขาเรียกว่าพลิกหงาย หงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นเรื่องไรเราก็จะไล่เรียงลงไปอีก เป็นเรื่องกุศลหรือว่าอกุศล เป็นเรื่องอดีตหรือว่าเรื่องของอนาคต ทำไมใจของเราถึงไปรวมไปร่วมจนเกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฐิเกิดมานะ เกิดกิเลสสารพัดอย่าง
เพียงแค่คลายใจออกจากขันธ์ห้าให้ได้ เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร การขัดเกลากิเลส เราจะขัดเกลาวิธีไหนอีกทุกเรื่องอีก ความอยาก การเกิดแม้แต่นิดเดียวเรายังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ ใหม่ๆ ท่านอาจจะเป็นการทวนกระแสเป็นการฝืน เป็นการสวนกระแสของกิเลสก็อึดอัด จนถึงที่สิ้นสุดเขาถึงจะยอมคลาย คลายได้เขาถึงจะโล่งจะโปร่ง
เราก็ตามทำความเข้าใจได้ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน จากกำลังสติของเราที่สร้างขึ้นมาก็จะกลายเป็นมหาสติตามรู้ รู้ทุกเรื่อง ถ้าเราไม่ค้นคว้าทุกเรื่องกำลังสติของเราก็จะหดหายไป ถ้ากำลังสติของเราค้นทุกเรื่องดูทุกเรื่อง ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ จากสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญา เป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในการทำความเข้าใจ รอบรู้ในการละ ชี้เหตุชี้ผล
ใจเป็น ‘ธาตุรู้’ สติเป็น ‘ผู้รู้’ ใจกับธาตุรู้เขาก็จะรู้พร้อมกัน สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาไปทำหน้าที่ตามดูตามรู้ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผล ให้ใจมองเห็นความเป็นจริงจนยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ แม้แต่การเกิดเขาก็ไม่เกิด แต่เวลานี้ใจยังเกิดอยู่ตลอดเวลา อาจจะเกิดอยู่ในคุณงามความดี อาจจะเกิดอยู่ในความกองกุศล แต่เขาก็ยังหลงอยู่ ต้องยกระดับใจของเราให้มองเห็นความเป็นจริงทั้งผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาของเราไปแก้ไข ก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเป็นศาสนาที่มีปัญญาที่สุดในโลกมนุษย์ เป็นศาสนาที่สูงที่สุด ทำไมถึงว่าสูงที่สุดทันสมัยที่สุด เพราะว่าท่านสอนเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ศาสนาอื่นอยู่แค่พรหมวิหาร ไม่ใช่ว่าไม่ดี ดีหมดเป็นพื้นฐาน แต่ศาสนาพุทธท่านสอนถึงเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ให้อยู่ด้วยพรหมวิหาร มีศาสนาเดียวที่สอนถึงเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยวาง ไม่ต้องกลับมาเกิด ดับความเกิดไม่เหลือ ดับความเกิดของใจของเรานั่นแหละ แต่เวลานี้ในใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึดสารพัดอย่าง เราต้องมาแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกันก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกสัมผัสการหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกันตรงปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันนะ
พาไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ