หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 081

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 081
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 081
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆนะพระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ ใจของเราปกติหรือว่าใจของเราปรุงแต่ง ใจของเราเกิดความอยากหรือว่ากายของเราเกิดความหิวก็ต้องพิจารณา ในหลักธรรมท่านว่าปฏิสังขาโยกลับไปกลับมาจนเป็นอัตโนมัติ ใจเกิดความคิดแม้แต่นิดเดียวก็ต้องหยุด คนทั่วไปสติก็ยังไม่ได้ได้เจริญยังไม่ได้สร้าง ใจก็เป็นบุญ เป็นมีศรัทธาน้อมไปในบุญ

เกิดอยู่ตลอดเวลา ความเกิดในชั้นแรกนั่นแหละคือความหลง เขาเกิดมาในกายสร้างภพของมนุษย์ขึ้นมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ทีหนึ่ง แล้วก็ส่วนนามธรรมก็ปิดกันเอาไว้ทีหนึ่ง ความคิดความก่อตัวความเกิดของใจนั่นแหละคือความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลายชั้น เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบเข้าไปรม เข้าไปแยกแยะพิจารณา ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันเล็กขันธ์น้อยขันใหญ่มันก็รวมกันไปทั้งก้อน ขาดการจําแนกแจกแจง ก็ได้บุญทั้งก้อน ใจไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้าคลายออกจากความคิด ไม่ได้คลายความหลง

ศรัทธามี การสร้างบารมี ก็ได้บุญอยู่ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ทำบุญก็ได้บุญ ทำแล้วมีความสุข บางทีทำบุญมีความทุกข์ก็มีนะ ทำบุญแล้วก็ทุกข์เพราะว่าคิดมาก ความกังวลมาก แทนที่จะได้มีความสุขกลับมีตั้งแต่ความกังวลความฟุ้งซ่าน เราก็พยายามดับพยายามละ พยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจ มีเพื่อนคุย มีเพื่อนคุยเรามาร้างเพื่อนใหม่ มาสร้างสติเข้าไปอบรมใจคุยกับใจ ชี้เหตุชี้ผลของใจ แต่ในเวลานี้ใจเขามีเพื่อนเก่า เขาสร้างเพื่อนเก่าคือสร้างขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจแล้วก็ไปด้วยกัน บางทีก็ใจก็ไปกับขันธ์ห้า บางทีก็ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจ รวมเพื่อนใหม่เข้าไปอีกคือสติปัญญาไปด้วยกันหมด ในหลักธรรมท่านให้แยกเสียก่อน ให้คลายใจออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน แล้วก็ตามดูให้เห็นกันเกิดการดับ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเราว่าเป็นเรื่องอะไร ก็ทำความเข้าใจกับโลกก็สมมติ ใจเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียวเราก็ต้องดับ ใจปรุงแต่งส่งไปภายนอกแม้แต่นิดเดียวเราก็ดับ

ความคิดเก่านี่แหละมันหลงมาตั้งนาน เรามาหนุนกําลังสติปัญญาไปคิดทำหน้าที่แทนใจ ให้ใจรับรู้ พยายามสังเกตวิเคราะห์ให้รู้ต้นสายปลายเหตุ แล้วก็ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่อง อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อะไรเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ทุกคนนั้นถ้าไม่เข้าใจนี้จะอยู่ด้วยความหลงทั้งนั้น ถ้าพูดตามความเป็นจริง หลงอยู่ในคุณงามความดีหลงอยู่ในบุญก็ไม่เที่ยง ในหลักธรรมท่านให้สร้างประโยชน์สร้างคุณงามความดีแต่ไม่หลงไม่ยึด ละอกุศลเจริญกุศล ยกใจให้อยู่ในระดับสูงขึ้นไป ยกใจให้เป็นประธาน โดยมากใจไม่ชอบเป็นประธาน ใจชอบเป็นผู้บริหารลุยอย่างเดียว ผู้เฒ่าผู้แก่เห็นลูกเห็นหลานเขาทำ ลุยสู่พ่อไม่ได้หรอกนะพ่อลุยเลย ให้ลุยด้วยสติลุยด้วยปัญญา ต้องแจง บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน

ทุกเรื่องแม้แต่ความอยากในอาหารการอยู่การกิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราจะแสวงหาอาหารมาด้วยวิธีไหน จนกระทั่งเวลาจะรับประทานข้าวปลาอาหาร กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ลองอดอาหารสักมื้อลองดูสิ เราจะเห็นความอยากได้ชัดเจน มื้อเดียวยังไม่พอ 2มื้อ 3 มื้อ เป็นวัน 2 วัน 3 วัน บอกให้อด ให้อดอาหารมาแล้วต้องร่วม 20 กว่าวันตามป่าตามเขา ถ้าอดไม่เป็นก็อดด้วยทิฐิมานะ ถ้าเราเข้าใจเราก็อดดู รู้กายของเราว่ากายของเราเป็นอย่างไร จิตใจของเราเกิดความอิ่ม เกิดปีติ เกิดสุข อิ่มทิพย์ แต่ส่วนมากก็แยกแยะก็ไม่ได้ ทำด้วยทิฏฐิทำด้วยมานะ มานะ ทำด้วยความหลง ความอยาก

มันพูดง่าย ทุกอย่างทุกสิ่งพูดง่าย แต่การลงมือการกระทำมันต้องอาศัยความเพียรเป็นเลิศ คําว่าลักษณะสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร สร้างอยู่แต่สร้างได้ทีละนิด ไม่รู้จักเอาไปใช้แล้วก็ไม่รู้จักทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการก่อตัว ใจนี้ปัญญามันแหลมคมอยู่แล้ว กิเลสที่เกิดจากขันธ์ห้าเกิดจากใจ คิดก็รู้ทำก็รู้ แต่กําลังสติกําลังปัญญาตัวใหม่นี่มันไม่ค่อยมี จะไปใช้การใช้งานได้อย่างไร ทุกอิริยาบถ ถ้าแยกแยะได้ตามดูได้จะมีความสุข ว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน มาปรับสภาพใจของตัวเราเอง ความอ่อนโยน มีความอ่อนน้อม มีความกตัญญู มีความเสียสละ ละความเกียจคร้าน มีความขยันหมั่นเพียรด้วยเหตุด้วยผล มีความสุข กาลเวลาเปิดแล้วอย่าไปคิดว่าไม่ อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง มีโอกาสก็ขอเชิญมานะมาร่วมกัน ใครทันก็ทัน ไม่ทันก็อนุโมทนาสาธุเอา

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกนั่นแหละภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ก็พยายามรู้กายของเราให้ต่อเนื่องแล้วก็ให้เชื่อมโยง ลึกลงไปเราก็จะได้รู้ลักษณะของใจซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนรูปกายของเราก็นั่งอยู่นี้ ความคิดที่เกิดจากใจหรือว่าอาการของใจนั้นมีอยู่สี่ส่วนรวมกับกลายเป็นห้าส่วน ท่านถึงเรียกว่าขันธ์ห้า

ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดก็มาผุดปรุงแต่งใจอยู่ตลอดเวลามานานหลายภพหลายชาติหลายกัปหลายกัลป์ จนกระทั่งมาถึงภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอาไว้ สร้างกายเนื้อปิดกั้นตัวเอาไว้ทีหนึ่ง ทีนี้ตัววิญญาณยังเกิดต่อ ปรุงแต่งต่ออีกนั่นแหละคือ ‘ความเกิด’ แล้วก็ไปรวมกับขันธ์ห้าอีกเป็นอัตตาตัวตน

คําว่าอัตตาอนัตตาของพระพุทธองค์เป็นอย่างไร ถ้าเราเจริญสติเข้าไปสังเกตจนกว่ารู้เท่าทัน ใจคลายออกจากความคิดเราถึงจะเข้าใจในความหมายของภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ‘สัจธรรม’ ความจริงมีอยู่กันทุกคน แต่เรามองเห็นเพียงแค่สัจจะในระดับของสมมติ แต่ในระดับของวิมุตติแล้วใจต้องคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน ถ้าคลายได้เมื่อไรเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ถ้ายังคลายไม่ได้ก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ

ต้องฝึกหัดปฏิบัติ หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีอยู่แต่มีไม่เพียงพอ มีเล็กๆ น้อยๆ บางทีก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีก็ใจก็ถูกควบคุมอยู่ในความสงบอยู่ในความปกติ เราพยายามถอนรากถอนโคน ดับความเกิดคลายความหลง ทำความเข้าใจกับโลกธรรม อยู่กับสมมติอย่างมีความสงบความสุขโดยที่ไม่หลงไม่ยึด จนกว่าธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ อยู่ด้วยปัญญาทำด้วยปัญญา แต่เราต้องแจงให้ออกบอกตัวเองให้ได้เสียก่อน แยกแยะให้ได้เสียก่อน

แนวทางนั้นมีมานาน คําสอนของพระพุทธองค์ก็เปิดเผยมานาน เราพยายามดำเนิน ใหม่ๆ เราอย่าเอาความคิดเก่าๆ มาโต้แย้งเด็ดขาด ถึงจะมีมากมายถึงขนาดไหนเราก็หยุดก็ดับเอาไว้เสียก่อน จนกว่าจะสังเกตแยกแยะได้ตามดูได้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน กําลังสติยังมีไม่เพียงพอเราก็พยายามอดทนอดกลั้นสร้างขึ้นมาให้ได้เสียก่อน

ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ถ้าแยกได้แล้วจิตใจของเราก็จะตกกระแสธรรม ตามดูเห็นเหตุเห็นผล อะไรควรละ อะไรควรดำเนิน กําลังสติของเราก็จะพุ่งแรง ตามดูทุกอิริยาบถ สติพลั้งเผลอได้อย่างไร ความเกียจคลานเข้าครอบงำได้อย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำได้อย่างไร ใจของเราฟุ้งซ่านอย่างไร ลังเลอะไรอยู่ เราต้องรีบแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ถ้าบอกตัวเราไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็น ปฏิบัติธรรมที่ไหนเราก็จะเข้าไม่ถึงธรรม การเจริญสติก็ไม่รู้จักลักษณะของสติเอาสติปัญญาไปใช้ เราก็จะไม่รู้จักธรรม

อะไรคือตัวใจ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่ ความเกิดนั่นแหละปิดกั้นตัวเขาเอาไว้อย่างสนิทเลย การเกิด การปรุง การแต่ง การเกิดการปรุงการแต่งยังไม่พอมีความคิดขันธ์ห้าเข้ามารวมผสมเข้าไปอีก แล้วก็รวมผสมกับปัญญาของโลกีย์ของโลกเข้าไปอีกมันก็ไปทั้งก้อนไปทั้งดุ้น ไปหมด นั่นแหละยังหลงอยู่ แต่ในทางสมมติเราก็ว่าเราถูกอยู่ ตราบใดที่เรามาเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงให้ได้เสียก่อน แล้วก็จะรู้ว่าแต่ก่อนนั้นเป็นแค่เพียงสติของสมมติเท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายาม หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่ ถ้าเราสอนเราไม่ได้ใครเขาจะสอนเราให้ล่ะ นอกจากตัวของเรา

แนวทางนั้นมีมาตั้งนานแล้ว แต่พวกเราพยายามเดินให้ถึงจุดหมายเท่านั้นเอง แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะถึงจุดหมาย เพราะว่าเหมือนกับขึ้นบันไดขึ้นตัวเรือน ขึ้นได้แค่สองสาม ขั้น สามสี่ขั้น จะก้าวถึงตัวเรือนก็ถอยลงมาก็ขึ้นใหม่ ถอยลงมาก็ขึ้นใหม่อย่างนั้น ไม่ยอมก้าวขึ้นถึงตัวเรือนคือกําลังสติมีไม่เพียงพอ กําลังสติมีเพียงพอแล้วตามดูตามรู้ตามเห็น ปรับสภาพใจของเราให้เห็นตามความเป็นจริง จนหมดความสงสัย หมดกิเลสที่จะไปละเข้าไปแก้เข้าไปไข จนอยู่ด้วยปัญญาทำหน้าที่ด้วยปัญญานั่นแหละเราก็จะอยู่กับบุญ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้อย่าเกิดในกองอกุศล ลองพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี หลวงพ่อขอเพียงแค่พูดให้พวกท่านฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำตามก็ยาก

การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากความคิดเป็นลักษณะอย่างนี้ มีความอ่อนโยน อ่อนโยนหนักแน่นเป็นลักษณะอย่างนี้ การละความกลัวเป็นลักษณะอย่างนี้ ละความอยากความโลภ ความโกรธ มีกันหมดทุกคนนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย นอกจากกําลังสติของเราเข้าไปค้นหา ยิ่งกําลังสติปัญญาของเราเข้มแข็งเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ เห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งแก้ไข ยิ่งค่อยขัดค่อยเกลาค่อยละจนไม่เหลือ จนเหลือตั้งแต่สติปัญญา

ใจเป็น ‘ธาตุรู้’ สติเป็น ‘ผู้รู้’ จะเป็นเพื่อนอบรมกัน ท่านถึงว่าสติเป็นที่พึ่งของใจ นั่นแหละตนเป็นที่พึ่งของตน ตรงนี้ก็ต้องพยายามนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี

พากันไหว้พระพร้อมๆทกัน ค่อยไปทำความเข้าใจกันต่อนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง