หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 79
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 79
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 79
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 สิงหาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วัดของเราก็ทำตลอดทำบุญตลอด ทำงานตลอดทำเอาการงานเป็นการปฏิบัติ ทำไปด้วยดูใจไปด้วย ได้เกิดประโยชน์ไปด้วย วันที่ 30 วันที่ 30 ก็จะได้ทำพิธีบูชาสถานที่ บูชาสถานที่บอกกล่าวก่อนที่จะขึ้นมหาเจดีย์ใหญ่ ก่อนที่จะลงเสาเข็ม ได้วัน วันที่ 30 วันที่ 29 ตรงกับวันพระ ได้นิมนต์หลวงพ่ออุปัชฌาย์มา ท่านก็คงจะติดธุระก็เลยเลื่อนเป็นวันที่ 30 ช่วงสามโมงเช้า สามโมงเช้าทำพิธีบูชาภพภูมิ บูชาสถานที่ แม่พระธรณี บอกกล่าวให้มาสร้างอานิสงส์บุญร่วมกัน ได้มาสร้างมหาเจดีย์เพื่อที่จะได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ทุกคนได้เป็นสิริมงคลได้กราบได้ไหว้ เป็นสมบัติของส่วนกลาง เป็นสมบัติของส่วนรวม มีโอกาสก็บอกกล่าวพี่น้องเรามาทำพิธี ใครมีผลหมากรากไม้ก็เอามาร่วม มารวมกันตั้งแต่วันที่ 29 นั่นแหละ 28 29 วันที่ 30 ก็จะได้ทำพิธีเป็นกิจจะลักษณะ ถ้าไม่บอกไม่กล่าวก็ดูกระไรอยู่ ดูไม่สมควร
เรามาอาศัยสมมติอยู่ มาอาศัยแผ่นดินอยู่ ทุกจุดทุกที่ก็มีภพภูมิ มีวิญญาณดูแลรักษาอยู่ แม่พระธรณี ภพภูมิวิญญาณ เราก็จะได้บอกกล่าว บอกกล่าวให้มายังประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้นร่วมกัน ทั้งเหล่ามนุษย์ทั้งเหล่าเทวดาไม่มองข้าม การประพฤติการปฏิบัติการดําเนินงานก็จะไปได้เร็วได้ไว หลายฝ่ายมาร่วมกัน ทั้งเทวดาที่มีกายเนื้อ เทวดาที่ไม่มีกายเนื้อ จากภพภูมิต่ำๆ จนกระทั่งถึงภพภูมิสูงๆ บอกกล่าวให้รับรู้รับทราบ วันที่ 30 ผู้เฒ่าผู้แก่มีกล้วย ผลหมากรากไม้ก็มาร่วมกัน เอามาร่วมกันเป็นอานิสงส์ของพวกเรา พวกเรามีโอกาสมากได้เป็นสะพาน เป็นทางผ่านพาทำบุญให้ทานกัน
การขัดเกลากิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนี้ การเจริญสติอบรมใจ แก้ไขใจของเรา งานภายนอกบุญภายนอกภายใน เราพยายามทำให้เต็มเปี่ยม ทำมากก็เป็นของเราทำน้อยก็เป็นของเรา ขณะยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีตั้งแต่เรื่องของวิบากของบุญของกรรมเท่านั้นเอง เราพยายามทำความเข้าใจเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ว่ากายของเราเป็นอย่างไร ใจในกายของเราเป็นอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ก็ให้รีบแก้ไขกันไป แก้ไขไม่ถึงจุดหมายก็ไปต่อเอาภพหน้า
เพราะว่าความจริงมีอยู่กันทุกคน วิญญาณในกายก็มีกันทุกคน ทุกคนก็มีใจ ทุกคนก็มีกาย เรามาปรับสภาพใจของเราให้ถูก ไม่ให้เกิด ไม่ให้หลง ไม่ให้เป็นทาสของกิเลส เพราะว่าตัวใจเดิมนั้นเป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ เขาหลงเท่านั้นเขาถึงเกิด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุของใจ แต่เวลานี้ใจนี่มาสร้างกายเนื้อ ปิดกั้นตัวเองเอาไว้ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เรายังไม่เข้าใจตรงนี้อยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลายชี้เหตุชี้ผล ตามดู รู้ละกิเลสออกให้หมด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เขาถึงจะเป็นธาตุรู้ ไม่เกิด การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ตั้งแต่เช้ามาเกิดสักกี่เรื่อง เกิดสักกี่เที่ยว กําลังสติของเราอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง
ตัวใจนั่นแหละเป็นทาสของกิเลสอยู่ ทาสของความเกิดอยู่ เขาก็หาเหตุหาผล หาสิ่งดีๆ นั่นแหละมาปิดมากั้น เพราะว่าเขาชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง สร้างขันธ์ห้ามาปรุงแต่งตัวเองปิดเอาไว้ แล้วก็นิวรณธรรมต่างๆ สารพัดอย่าง ทั้งความมีความไม่มี ความอยากความไม่อยาก ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง แต่คนเราปฏิบัติธรรมอยู่ในช่วงครึ่ง ช่วงกลาง ช่วงปลาย ก็ปฏิบัติฝึกอยู่ในระดับของสมมติ คุณงามความดีของสมมติ ไม่ได้ถอนรากถอนโคนดับความเกิดให้มันสิ้นซาก มองเห็นหนทางเดิน ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเวลาขบเวลาฉัน กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ บริหารด้วยปัญญาล้วนๆ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ตื่นขึ้นมาแล้วยังประโยชน์อะไร เราละความเกียจคร้านแล้วหรือยัง เรามีความรับผิดชอบต่อกายต่อใจของเราแล้วหรือยัง หรือว่าโยนขันธ์ห้าของตัวเราไปให้หนักที่โน่นหนักที่นี่ หนักตัวเองยังไม่พอ เพราะความไม่รู้นั่นแหละ เราจงมาสร้างผู้รู้หรือว่ามาเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจที่ปราศจาก ใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่มีกิเลส เป็นลักษณะอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ประโยชน์ภายนอกประโยชน์สมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม
วันนี้จะมีคณะญาติโยมทางกรุงเทพฯ จะมากันประมาณสัก 50 กว่าคน ทางโรงทานของเราก็ช่วยเตรียมอาหารไว้ด้วย จะมารับประทานข้าวปลาอาหารด้วย ประมาณ ถึงประมาณสักบ่ายโมง บ่ายโมงหรือบ่ายโมงกว่า หรืออาจจะเที่ยงกว่า ยังเอาแน่นอนไม่ได้ เห็นว่าจะมารับประทานข้าวปลาอาหารอยู่ที่วัดของเรา คณะทำบุญทั่วประเทศ ทำบุญที่โน่นบ้างทำบุญที่นี่บ้าง แวะพักตรงโน้นแวะพักตรงนี้ มีกําลังก็แสวงสร้างบุญสร้างบารมีกัน
ถ้าคนเข้าใจแล้วก็ดูอยู่ที่ใจให้ได้เสียก่อนว่าใจสงบ ใจสะอาด ใจปกติ จากภาษาธรรมภาษาโลก แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าธรรมจะอยู่ที่คนโน้นไปอยู่ที่คนนี้ ถ้าหลักของความเป็นจริงจับชายจีวรของพระพุทธองค์อยู่ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจก็เข้าไม่ถึงธรรม ท่านถึงบอกว่าใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเรา ใครเห็นเราคนนั้นเห็นธรรม เห็นธรรมก็เห็นใจนั่นแหละ สติปัญญานั่นแหละรู้เห็น ไม่ใช่ว่า ใจมันเป็นธาตุรู้ มันเกิดหลงอยู่
พูดง่าย เพียงแต่การกระทำการลงมือต้องอาศัยความเพียรเป็นเลิศ รู้จักวิธีการแนวทาง จัดระบบระเบียบของความคิดอารมณ์ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร คําว่าอัตตาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ท่านให้ทำความเข้าใจให้หมดทุกอย่างทั้งโลกทั้งธรรม โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน ทำความเข้าใจ รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดวาง มีอะไรสมมติเราก็ทำช่วยกันให้เกิดประโยชน์ เคยร่วมบุญกันมา เคยสร้างอานิสงส์กันมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ถ้าไม่เคยสร้างบุญร่วมกันมาก็คงจะไม่ได้มาอยู่ร่วมกัน อาจจะสร้างบุญร่วมกันมาหลายภพหลายชาติ อันนั้นอย่าไปพึ่งไปวิ่งหามัน หาอยู่ปัจจุบันนะลงที่ใจของเราว่าเป็นอย่างไร สมมติอะไรไม่ดีก็รีบแก้ไข ตรงไหนที่ลําบากอยู่เราก็ช่วยกันทำ ทำจนเต็มเปี่ยมจนล้น ทั้งวัตถุทานการให้ทานเราพยายามทำกัน อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเราเกียจคร้านแล้วหมดท่าเลย
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี้ถ้าใครมีความเกียจคร้านแล้วดูไม่เป็นท่าเลย ต้องเป็นคนขยัน มีความเป็นระเบียบ รู้จักวิเคราะห์ใจ แก้ไขใจ เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำให้ดี ไม่ให้ผูกมัดตัวเอง โลกธรรม ความเป็นอยู่ของสมมติก็ทำให้ดี มันก็จะส่งผลทางวิมุตติได้เร็วได้ไว พระเราชีเรามีอะไรก็ช่วยกันทำ ตอนนี้กําลังจะสวยงาม ทางลานมหาเจดีย์ใหญ่ก็คงใกล้จะเรียบร้อย จัดเก็บทำความสะอาดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เดือน 9 ก็จะได้เอาเมล็ดทานตะวันไปปลูกให้เต็มขอบบ่อขอบสระ เดือน 9 หมดเดือน 9 จะได้ออกดอกช่วงเริ่มองค์เจดีย์พอดี ให้อยู่ในดงสวนดอกไม้ สวนทานตะวัน ต้นดอกไม้ตะแบก ชมพูพันธุ์ทิพย์ ก็ปลูกไปประมาณร่วมสัก 300 กว่าต้น ดอกเป็นสวนดอกไม้ต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหางนกยูง
เจดีย์เสร็จภายใน 5-6 ปี ต้นไม้ออกดอกบานสะพรั่ง ฉลอง ได้อยู่ฉลองพร้อมพวกท่านหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง แต่ละวันๆ จะลุกจะเดินจะเหินนี่ก็ลําบากในเรื่องกายเนื้อ เพราะว่ามันก็ทรุดโทรมลงทุกวันทุกปี ปีนี้ก็น้ำหนักก็ลดลงร่วม 30กว่ากิโล แต่สภาพจิตใจก็ไม่ได้ทุกข์ไม่ได้เครียดอะไร ก็ยกให้เป็นกรรม อดทนอดกลั้น จะลุกจะนั่งก็ยากลําบาก จะนอนนี่ก็กระดูกทับเนื้อ ลําบากอยู่ อาศัยวาจาชวนพี่ชวนน้องมีกําลังพากันยังประโยชน์ให้ได้เต็มเปี่ยม ทำมาทุกอย่างเท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวย ตั้งแต่ 30 ปีก่อนโน้นแหละ จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้เวลานี้ ไม่ค่อยจะได้หยุดทุกวัน ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ดูใจไปด้วย ความสุขกับการทำงานกับงานไปด้วย พวกท่านมาก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปเกียจคร้าน กว่าจะได้มีแต่ละชิ้นแต่ละอัน ให้ได้อยู่ได้อาศัยกันนี่ต้องอาศัยอานิสงส์ของทุกคนหลายฝ่ายรวมกันยังประโยชน์ เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำให้ดี
พวกเรามีโอกาสมากเท่านั้น ถึงได้มีโอกาสได้ทำ อย่าพากันเกียจคร้าน อันโน้นก็ไม่ใช่หน้าที่ อันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ เอาแต่งอมืองอเท้า อย่างนั้นใช้การไม่ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ อยู่คนเดียวก็ไม่เจริญ อยู่หลายคนก็ไม่เจริญ เราก็ต้องพยายาม ละความเห็นแก่ตัวออกให้มันหมด ยังประโยชน์ให้กับส่วนรวมให้กับมหาชน เพราะว่าอีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ ขณะที่ยังไม่ได้พลัดพรากจากกันนี่แหละ พยายามทำหน้าที่ให้ดี
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก เสียงก็สักแต่ว่าเสียง พอเพียงแค่พูดแค่สื่อความหมาย แค่บอกแค่ชี้แค่แนะวิธีการแนวทางเท่านั้นเอง พวกท่านจะเจริญสติเข้าไปอบรมใจของพวกท่านได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของพวกท่านเอง สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
การสูดลมหายใจ พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ หลักธรรมท่านว่านั่นแหละ ‘สติรู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้า เวลาลมหายใจออกถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม อันนี้เพียงแค่การเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้น พวกเราก็ทำกันยาก อาจจะมีได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้
ทั้งที่ใจนั้นก็ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม ปรารถนาอยากจะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เพียงแค่ปรารถนา เพียงแค่ความอยากที่เกิดจากใจนั้น เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้แล้ว เพราะว่าการเกิด การเกิด การปรุงการแต่ง ใจก็ไม่นิ่ง ใจก็ไม่เที่ยง เพียงแค่ตัวใจ เพียงแค่คิด เพียงแค่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาเขาถึงได้มาสร้างกายเนื้อ เฉพาะภพของมนุษย์ แต่ก่อนเขาหลงมานาน ไม่รู้ว่าหลงไปเป็นอะไรบ้าง อันนั้นเราอย่าเพิ่งไปอันนั้นถึงเขาเลย เรามาดู รู้ พยายามอบรมใจของเราอยู่ในกายของเรานี้ให้ทัน
สร้างสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ควบคุม ใหม่ๆ ก็ควบคุม ท่านถึงว่าเจริญสติใช้สมถะ เราจะเอาคําบริกรรมก็ได้ หรือว่าจะสร้างความรู้ตัวก็ได้ แล้วแต่จริตของเราจะชอบอย่างไร จุดมุ่งหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจจนกว่าจะควบคุมใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ห้าของตัวเรา ส่วนใจก็จะว่างกายก็จะเบา เห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นขันธ์ห้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ทำไมใจถึงเข้าไปหลงเข้าไปรวม ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส
ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งดับความเกิดของใจได้เข้าสู่ความบริสุทธิ์ ทำความเข้าใจกับโลกธรรม ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในดวงใจ รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็รู้จักจุดปล่อยรู้จักจุดวาง มองเห็นชัดเจนทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเป็นศาสนาที่งมงาย เป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุด แม้จะผ่านพ้นมาหลายร้อยหลายพันปี ทำไมถึงว่าทันสมัยที่สุด เป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ ท้าให้พิสูจน์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างนี้ ให้ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ที่ท่านได้วางทางเอาไว้
การเดินทางความถูกต้องตั้งแต่ต้นเหตุ คือการแยกรูปแยกนาม ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ก็จะเข้าในอริยมรรคในองค์แปดในหนทางเดิน ทีนี้เราจะละได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา เราจะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้หรือไม่ เราจะดับความเกิดได้หรือไม่ รู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางกายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ อยู่คนเดียวเป็นอย่างนี้ อยู่หลายคนเป็นอย่างนี้ วิญญาณในกายเป็นอย่างนี้ มีหมดที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราจะรู้ เราจะเห็นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกต้อง ก็ต้องพยายาม
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนผ่านกันมาหมด แต่การลงมือการกระทำนี่ต้องมีความเพียรที่เป็นเลิศ ทุกอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย ก็ต้องพยายามกันนะ บุญสมมติเราก็ทำ การขัดเกลากิเลสเราก็ทำ กิเลสไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาหรอก มันเกิดเมื่อไรเราก็จัดการกับมันเมื่อนั้น จนกว่าจะหมดจดนั่นแหละ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ถ้าไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำให้เขาจะไปต่อภพหน้าโน่น เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 สิงหาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วัดของเราก็ทำตลอดทำบุญตลอด ทำงานตลอดทำเอาการงานเป็นการปฏิบัติ ทำไปด้วยดูใจไปด้วย ได้เกิดประโยชน์ไปด้วย วันที่ 30 วันที่ 30 ก็จะได้ทำพิธีบูชาสถานที่ บูชาสถานที่บอกกล่าวก่อนที่จะขึ้นมหาเจดีย์ใหญ่ ก่อนที่จะลงเสาเข็ม ได้วัน วันที่ 30 วันที่ 29 ตรงกับวันพระ ได้นิมนต์หลวงพ่ออุปัชฌาย์มา ท่านก็คงจะติดธุระก็เลยเลื่อนเป็นวันที่ 30 ช่วงสามโมงเช้า สามโมงเช้าทำพิธีบูชาภพภูมิ บูชาสถานที่ แม่พระธรณี บอกกล่าวให้มาสร้างอานิสงส์บุญร่วมกัน ได้มาสร้างมหาเจดีย์เพื่อที่จะได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ทุกคนได้เป็นสิริมงคลได้กราบได้ไหว้ เป็นสมบัติของส่วนกลาง เป็นสมบัติของส่วนรวม มีโอกาสก็บอกกล่าวพี่น้องเรามาทำพิธี ใครมีผลหมากรากไม้ก็เอามาร่วม มารวมกันตั้งแต่วันที่ 29 นั่นแหละ 28 29 วันที่ 30 ก็จะได้ทำพิธีเป็นกิจจะลักษณะ ถ้าไม่บอกไม่กล่าวก็ดูกระไรอยู่ ดูไม่สมควร
เรามาอาศัยสมมติอยู่ มาอาศัยแผ่นดินอยู่ ทุกจุดทุกที่ก็มีภพภูมิ มีวิญญาณดูแลรักษาอยู่ แม่พระธรณี ภพภูมิวิญญาณ เราก็จะได้บอกกล่าว บอกกล่าวให้มายังประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้นร่วมกัน ทั้งเหล่ามนุษย์ทั้งเหล่าเทวดาไม่มองข้าม การประพฤติการปฏิบัติการดําเนินงานก็จะไปได้เร็วได้ไว หลายฝ่ายมาร่วมกัน ทั้งเทวดาที่มีกายเนื้อ เทวดาที่ไม่มีกายเนื้อ จากภพภูมิต่ำๆ จนกระทั่งถึงภพภูมิสูงๆ บอกกล่าวให้รับรู้รับทราบ วันที่ 30 ผู้เฒ่าผู้แก่มีกล้วย ผลหมากรากไม้ก็มาร่วมกัน เอามาร่วมกันเป็นอานิสงส์ของพวกเรา พวกเรามีโอกาสมากได้เป็นสะพาน เป็นทางผ่านพาทำบุญให้ทานกัน
การขัดเกลากิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนี้ การเจริญสติอบรมใจ แก้ไขใจของเรา งานภายนอกบุญภายนอกภายใน เราพยายามทำให้เต็มเปี่ยม ทำมากก็เป็นของเราทำน้อยก็เป็นของเรา ขณะยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีตั้งแต่เรื่องของวิบากของบุญของกรรมเท่านั้นเอง เราพยายามทำความเข้าใจเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ว่ากายของเราเป็นอย่างไร ใจในกายของเราเป็นอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ก็ให้รีบแก้ไขกันไป แก้ไขไม่ถึงจุดหมายก็ไปต่อเอาภพหน้า
เพราะว่าความจริงมีอยู่กันทุกคน วิญญาณในกายก็มีกันทุกคน ทุกคนก็มีใจ ทุกคนก็มีกาย เรามาปรับสภาพใจของเราให้ถูก ไม่ให้เกิด ไม่ให้หลง ไม่ให้เป็นทาสของกิเลส เพราะว่าตัวใจเดิมนั้นเป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ เขาหลงเท่านั้นเขาถึงเกิด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุของใจ แต่เวลานี้ใจนี่มาสร้างกายเนื้อ ปิดกั้นตัวเองเอาไว้ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เรายังไม่เข้าใจตรงนี้อยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลายชี้เหตุชี้ผล ตามดู รู้ละกิเลสออกให้หมด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เขาถึงจะเป็นธาตุรู้ ไม่เกิด การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ตั้งแต่เช้ามาเกิดสักกี่เรื่อง เกิดสักกี่เที่ยว กําลังสติของเราอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง
ตัวใจนั่นแหละเป็นทาสของกิเลสอยู่ ทาสของความเกิดอยู่ เขาก็หาเหตุหาผล หาสิ่งดีๆ นั่นแหละมาปิดมากั้น เพราะว่าเขาชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง สร้างขันธ์ห้ามาปรุงแต่งตัวเองปิดเอาไว้ แล้วก็นิวรณธรรมต่างๆ สารพัดอย่าง ทั้งความมีความไม่มี ความอยากความไม่อยาก ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง แต่คนเราปฏิบัติธรรมอยู่ในช่วงครึ่ง ช่วงกลาง ช่วงปลาย ก็ปฏิบัติฝึกอยู่ในระดับของสมมติ คุณงามความดีของสมมติ ไม่ได้ถอนรากถอนโคนดับความเกิดให้มันสิ้นซาก มองเห็นหนทางเดิน ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเวลาขบเวลาฉัน กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ บริหารด้วยปัญญาล้วนๆ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ตื่นขึ้นมาแล้วยังประโยชน์อะไร เราละความเกียจคร้านแล้วหรือยัง เรามีความรับผิดชอบต่อกายต่อใจของเราแล้วหรือยัง หรือว่าโยนขันธ์ห้าของตัวเราไปให้หนักที่โน่นหนักที่นี่ หนักตัวเองยังไม่พอ เพราะความไม่รู้นั่นแหละ เราจงมาสร้างผู้รู้หรือว่ามาเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจที่ปราศจาก ใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่มีกิเลส เป็นลักษณะอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ประโยชน์ภายนอกประโยชน์สมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม
วันนี้จะมีคณะญาติโยมทางกรุงเทพฯ จะมากันประมาณสัก 50 กว่าคน ทางโรงทานของเราก็ช่วยเตรียมอาหารไว้ด้วย จะมารับประทานข้าวปลาอาหารด้วย ประมาณ ถึงประมาณสักบ่ายโมง บ่ายโมงหรือบ่ายโมงกว่า หรืออาจจะเที่ยงกว่า ยังเอาแน่นอนไม่ได้ เห็นว่าจะมารับประทานข้าวปลาอาหารอยู่ที่วัดของเรา คณะทำบุญทั่วประเทศ ทำบุญที่โน่นบ้างทำบุญที่นี่บ้าง แวะพักตรงโน้นแวะพักตรงนี้ มีกําลังก็แสวงสร้างบุญสร้างบารมีกัน
ถ้าคนเข้าใจแล้วก็ดูอยู่ที่ใจให้ได้เสียก่อนว่าใจสงบ ใจสะอาด ใจปกติ จากภาษาธรรมภาษาโลก แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าธรรมจะอยู่ที่คนโน้นไปอยู่ที่คนนี้ ถ้าหลักของความเป็นจริงจับชายจีวรของพระพุทธองค์อยู่ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจก็เข้าไม่ถึงธรรม ท่านถึงบอกว่าใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเรา ใครเห็นเราคนนั้นเห็นธรรม เห็นธรรมก็เห็นใจนั่นแหละ สติปัญญานั่นแหละรู้เห็น ไม่ใช่ว่า ใจมันเป็นธาตุรู้ มันเกิดหลงอยู่
พูดง่าย เพียงแต่การกระทำการลงมือต้องอาศัยความเพียรเป็นเลิศ รู้จักวิธีการแนวทาง จัดระบบระเบียบของความคิดอารมณ์ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร คําว่าอัตตาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ท่านให้ทำความเข้าใจให้หมดทุกอย่างทั้งโลกทั้งธรรม โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน ทำความเข้าใจ รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดวาง มีอะไรสมมติเราก็ทำช่วยกันให้เกิดประโยชน์ เคยร่วมบุญกันมา เคยสร้างอานิสงส์กันมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ถ้าไม่เคยสร้างบุญร่วมกันมาก็คงจะไม่ได้มาอยู่ร่วมกัน อาจจะสร้างบุญร่วมกันมาหลายภพหลายชาติ อันนั้นอย่าไปพึ่งไปวิ่งหามัน หาอยู่ปัจจุบันนะลงที่ใจของเราว่าเป็นอย่างไร สมมติอะไรไม่ดีก็รีบแก้ไข ตรงไหนที่ลําบากอยู่เราก็ช่วยกันทำ ทำจนเต็มเปี่ยมจนล้น ทั้งวัตถุทานการให้ทานเราพยายามทำกัน อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเราเกียจคร้านแล้วหมดท่าเลย
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี้ถ้าใครมีความเกียจคร้านแล้วดูไม่เป็นท่าเลย ต้องเป็นคนขยัน มีความเป็นระเบียบ รู้จักวิเคราะห์ใจ แก้ไขใจ เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำให้ดี ไม่ให้ผูกมัดตัวเอง โลกธรรม ความเป็นอยู่ของสมมติก็ทำให้ดี มันก็จะส่งผลทางวิมุตติได้เร็วได้ไว พระเราชีเรามีอะไรก็ช่วยกันทำ ตอนนี้กําลังจะสวยงาม ทางลานมหาเจดีย์ใหญ่ก็คงใกล้จะเรียบร้อย จัดเก็บทำความสะอาดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เดือน 9 ก็จะได้เอาเมล็ดทานตะวันไปปลูกให้เต็มขอบบ่อขอบสระ เดือน 9 หมดเดือน 9 จะได้ออกดอกช่วงเริ่มองค์เจดีย์พอดี ให้อยู่ในดงสวนดอกไม้ สวนทานตะวัน ต้นดอกไม้ตะแบก ชมพูพันธุ์ทิพย์ ก็ปลูกไปประมาณร่วมสัก 300 กว่าต้น ดอกเป็นสวนดอกไม้ต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหางนกยูง
เจดีย์เสร็จภายใน 5-6 ปี ต้นไม้ออกดอกบานสะพรั่ง ฉลอง ได้อยู่ฉลองพร้อมพวกท่านหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง แต่ละวันๆ จะลุกจะเดินจะเหินนี่ก็ลําบากในเรื่องกายเนื้อ เพราะว่ามันก็ทรุดโทรมลงทุกวันทุกปี ปีนี้ก็น้ำหนักก็ลดลงร่วม 30กว่ากิโล แต่สภาพจิตใจก็ไม่ได้ทุกข์ไม่ได้เครียดอะไร ก็ยกให้เป็นกรรม อดทนอดกลั้น จะลุกจะนั่งก็ยากลําบาก จะนอนนี่ก็กระดูกทับเนื้อ ลําบากอยู่ อาศัยวาจาชวนพี่ชวนน้องมีกําลังพากันยังประโยชน์ให้ได้เต็มเปี่ยม ทำมาทุกอย่างเท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวย ตั้งแต่ 30 ปีก่อนโน้นแหละ จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้เวลานี้ ไม่ค่อยจะได้หยุดทุกวัน ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ดูใจไปด้วย ความสุขกับการทำงานกับงานไปด้วย พวกท่านมาก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปเกียจคร้าน กว่าจะได้มีแต่ละชิ้นแต่ละอัน ให้ได้อยู่ได้อาศัยกันนี่ต้องอาศัยอานิสงส์ของทุกคนหลายฝ่ายรวมกันยังประโยชน์ เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำให้ดี
พวกเรามีโอกาสมากเท่านั้น ถึงได้มีโอกาสได้ทำ อย่าพากันเกียจคร้าน อันโน้นก็ไม่ใช่หน้าที่ อันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ เอาแต่งอมืองอเท้า อย่างนั้นใช้การไม่ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ อยู่คนเดียวก็ไม่เจริญ อยู่หลายคนก็ไม่เจริญ เราก็ต้องพยายาม ละความเห็นแก่ตัวออกให้มันหมด ยังประโยชน์ให้กับส่วนรวมให้กับมหาชน เพราะว่าอีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ ขณะที่ยังไม่ได้พลัดพรากจากกันนี่แหละ พยายามทำหน้าที่ให้ดี
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก เสียงก็สักแต่ว่าเสียง พอเพียงแค่พูดแค่สื่อความหมาย แค่บอกแค่ชี้แค่แนะวิธีการแนวทางเท่านั้นเอง พวกท่านจะเจริญสติเข้าไปอบรมใจของพวกท่านได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของพวกท่านเอง สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
การสูดลมหายใจ พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ หลักธรรมท่านว่านั่นแหละ ‘สติรู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้า เวลาลมหายใจออกถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม อันนี้เพียงแค่การเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้น พวกเราก็ทำกันยาก อาจจะมีได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้
ทั้งที่ใจนั้นก็ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม ปรารถนาอยากจะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เพียงแค่ปรารถนา เพียงแค่ความอยากที่เกิดจากใจนั้น เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้แล้ว เพราะว่าการเกิด การเกิด การปรุงการแต่ง ใจก็ไม่นิ่ง ใจก็ไม่เที่ยง เพียงแค่ตัวใจ เพียงแค่คิด เพียงแค่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาเขาถึงได้มาสร้างกายเนื้อ เฉพาะภพของมนุษย์ แต่ก่อนเขาหลงมานาน ไม่รู้ว่าหลงไปเป็นอะไรบ้าง อันนั้นเราอย่าเพิ่งไปอันนั้นถึงเขาเลย เรามาดู รู้ พยายามอบรมใจของเราอยู่ในกายของเรานี้ให้ทัน
สร้างสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ควบคุม ใหม่ๆ ก็ควบคุม ท่านถึงว่าเจริญสติใช้สมถะ เราจะเอาคําบริกรรมก็ได้ หรือว่าจะสร้างความรู้ตัวก็ได้ แล้วแต่จริตของเราจะชอบอย่างไร จุดมุ่งหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจจนกว่าจะควบคุมใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ห้าของตัวเรา ส่วนใจก็จะว่างกายก็จะเบา เห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นขันธ์ห้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ทำไมใจถึงเข้าไปหลงเข้าไปรวม ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส
ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งดับความเกิดของใจได้เข้าสู่ความบริสุทธิ์ ทำความเข้าใจกับโลกธรรม ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในดวงใจ รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็รู้จักจุดปล่อยรู้จักจุดวาง มองเห็นชัดเจนทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเป็นศาสนาที่งมงาย เป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุด แม้จะผ่านพ้นมาหลายร้อยหลายพันปี ทำไมถึงว่าทันสมัยที่สุด เป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ ท้าให้พิสูจน์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างนี้ ให้ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ที่ท่านได้วางทางเอาไว้
การเดินทางความถูกต้องตั้งแต่ต้นเหตุ คือการแยกรูปแยกนาม ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ก็จะเข้าในอริยมรรคในองค์แปดในหนทางเดิน ทีนี้เราจะละได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา เราจะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้หรือไม่ เราจะดับความเกิดได้หรือไม่ รู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางกายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ อยู่คนเดียวเป็นอย่างนี้ อยู่หลายคนเป็นอย่างนี้ วิญญาณในกายเป็นอย่างนี้ มีหมดที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราจะรู้ เราจะเห็นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกต้อง ก็ต้องพยายาม
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนผ่านกันมาหมด แต่การลงมือการกระทำนี่ต้องมีความเพียรที่เป็นเลิศ ทุกอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย ก็ต้องพยายามกันนะ บุญสมมติเราก็ทำ การขัดเกลากิเลสเราก็ทำ กิเลสไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาหรอก มันเกิดเมื่อไรเราก็จัดการกับมันเมื่อนั้น จนกว่าจะหมดจดนั่นแหละ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ถ้าไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำให้เขาจะไปต่อภพหน้าโน่น เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ