หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 77

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 77
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 77
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 77
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 สิงหาคม 2558

มีความสุขกันทุกคน พี่น้องชาวไทยของเราก็ฝักใฝ่ในบุญ พากันมาทำบุญให้ทานกันทั่วประเทศ ไม่ว่าที่ไหน มีโอกาสก็พากันไปทำบุญให้ทาน อย่าไปทิ้ง ตื่นขึ้นมาก็ทำบุญให้กับตัวเราก่อน สำรวจใจของเราก่อน ใจของเราสงบ ใจของเราปกติ อะไรคือสติปัญญา อะไรคือใจ ต้องแยกให้ได้ ต้องให้รู้ก่อน ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ดูใจ สติปัญญารู้ใจนี่เขาเรียกว่าผู้รู้ ใจนั้นธาตุรู้ อะไรเขารู้หมด แต่เขาก็หลง หลงเกิด หลงยึดในสิ่งต่างๆ มาสร้างกายเนื้อปิดกั้นตัวเองเอาไว้หรือว่าสร้างขันธ์ห้า เราต้องเจริญผู้รู้ ธาตุรู้กับผู้รู้คนละอย่างนะ ธาตุรู้คือตัววิญญาณ แต่เขายังเกิด ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สร้างสมมติมาปกปิดตัวเอง ทั้งสร้างกายเนื้อมาปกปิดตัวเองยังไม่พอ ก็ขันธ์ห้า ความคิดอารมณ์ซึ่งเป็นนามธรรมมาปกปิดตัวเองอีก เยอะแยะมากมายทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาจะหาเรื่องมาปิดกั้นตัวเองหมด ตื่นขึ้นมาเขาก็ชวนมาทำบุญ เอาบุญมาปิดในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นสิ่งที่ดี เราก็ต้องพยายามแจง แยกแยะให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล

สมัยพระพุทธองค์ตามในพระไตรปิฎก ฤาษีชีไพรพากันไปบําเพ็ญได้รับความสงบ ได้รับความสงบ ได้ฌาน ได้อภิญญา ได้สมาบัติ แต่ก็ไม่สำเร็จ พอพระพุทธองค์อุบัติขึ้นเกิดขึ้น แล้วก็ค้นพบจําแนกแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร ท่านก็เลยไปชี้เหตุชี้ผล เห็นการเกิดของวิญญาณ เห็นการเกิดของขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม ดับความเกิดเข้าสู่นิพพานได้ขณะที่ฟัง พวกเรานี่มาตั้งนานฝึกมาตั้งนาน สติยังไม่ได้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งเลย มันก็เลยยากเอาสติไปใช้การใช้งานไม่ได้ เอาแต่บุญ เอาแต่บุญทำแต่บุญก็เลยได้แต่บุญ ระลึกนึกถึงเมื่อไรก็มีความสุขเนอะ ชอบบุญ หลวงพ่อก็ชอบเหมือนกัน แต่ไม่ยึด ยิ่งสนุก ยิ่งสนุกสร้างบุญ สร้างประโยชน์ให้มากมายแต่ไม่ยึดไม่หลง

บุญภายในต้องเต็มก่อน ต้องดับความเกิดให้ได้เสียก่อน คลายความหลง แยกรูปแยกนาม ตามดูการเกิดของวิญญาณ การเกิดวิญญาณในกายเนื้อของเรา เห็นการเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้าของเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน รู้ความจริงหมด วางกลับคืนสู่ธรรมชาติเขาหมด แม้แต่ใจก็ต้องวาง ดับความเกิดแล้วก็ต้องวาง กลับคืนสู่สภาพเขา ขณะที่ยังมีลมหายใจเราก็บริหารไปด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา

พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน บวชใหม่ บวชใหม่บวชเก่าต้องเป็นผู้ใหม่ ผู้ตื่น ดูดีๆ กายหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก ตากระทบรูป ตาเห็นอาหาร แต่ก่อนเคยทานวันละ วันละมื้อ 2 มื้อ 3 มื้อ พอมาบวชแล้วก็ลดลง กายก็หิวใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อยากนี้ก็อยาก อันนั้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย ยังมาไม่ถึง มันสั่งไปเอาก่อน เราต้องพยายามหยุดพยายามดับ พยายามข่มให้มันนิ่ง แล้วก็ค่อยวิเคราะห์พิจารณา อันนี้เพียงแค่ข่มใจ ข่มใจยังไม่ใช่ปัญญา อันนี้แต่ก็เป็นการข่มเพื่อให้อยู่ในความสงบ ถ้าแยกได้คลายได้เมื่อไรถึงจะเรียกว่าวิปัสสนา เพียงแค่เริ่มต้น ยังไม่ใช่ปัญญา ยังไม่ใช่ปัญญาที่เต็มเปี่ยม ต้องตามทำความเข้าใจอีก ให้รู้แจ้งเห็นจริงหมดทุกเรื่องอีก แล้วก็ละอีก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ สติพลั้งเผลอได้อย่างไร สติกลายเป็นมหาสติได้อย่างไร มหาสติกลายเป็นมหาปัญญาได้อย่างไร มหาปัญญากลายเป็นปัญญาได้อย่างไร จนจะเป็นปกติ เราก็ต้องดู

แต่คนทั่วไปได้สร้างมีความรู้ตัวได้สัก 3 นาที นี่ก็ทั้งยาก นาทีหนึ่งก็ทั้งยาก ก็เลยเอาไปประหัตประหาร ชี้เหตุชี้ผลกับกลไกของกิเลสไม่ทัน ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยตั้งแต่เก่าแต่ก่อนโน้น ภาระหน้าที่สมมติก็ไม่ได้บีบรัด ทุกคนมีการมีงานก็โล่งโปร่งอิสระ ยิ่งชาวไร่ชาวนาอยู่กับธรรมชาติไม่ได้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ทุกวันนี้ไปที่ไหนมีตั้งแต่ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเอารัดเอาเปรียบ ทุกอย่างก็เลยบีบรัดไปหมด มันก็เลยยาก นอกจากบุคคลที่มีบุญ มีบุญมีอานิสงส์ ฝักใฝ่ในบุญ จะตกอยู่ในกองเพลิงก็เข้าถึงจุดหมายได้ เพราะว่าทุกคนมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม

เราต้องทำความเข้าใจกับกรรมคือกาย กายก้อนเนื้อของเรา มาแยกรูปแยกนาม มาเดินปัญญา เหมือนกับมีเชือกอยู่เส้นหนึ่ง มันมีอยู่ 5 เกลียว เราต้องรู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน เกลียวไหนควรเอาออก เกลียวไหนควรละ เกลียวไหนซึ่งอยู่ในเส้นเดียวกัน เราต้องรู้ด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล กายของเราก็เหมือนกันหมด เหมือนกันหมด

กิเลสจะมากจะน้อยมันก็ขึ้นอยู่กับว่าการขัดเกลา บางคนก็เกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกในระดับของสมมติ มีการฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทาน มีความเสียสละ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีพรหมวิหารมาก่อน การฝึกหัดปฏิบัติใจก็เลยไปได้เร็ว บางคนเขาเกิดมาในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิด ไม่ยอมเข้าวัด ไม่ยอมทำบุญให้ทาน ก็เลยห่างไกลอีก มันก็เลยยาก เพราะว่าคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน เกิดมาเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน มีร่างกายอาการครบบริบูรณ์เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน จิตใจไม่เหมือนกัน

เราก็ต้องมาเจริญสติเจริญปัญญา ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร การเจริญสติ การเจริญพรหมวิหาร การสร้างบารมีสร้างอย่างไร การเจริญสติปัญญาไปต่อกรกับกิเลสได้อย่างไร ขนาบตัวเอง บอกตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่ใช่ไปตําหนิตั้งแต่คนโน้นตําหนิคนนี้ มาวัดก็มาตําหนิท่านเจ้าคุณ ไม่พาฝึกพาเดินพานั่ง จะให้เจ้าคุณไปหายใจแทนก็ไม่ได้หรอก กิเลสของตัวเรา ถ้าสอนตัวเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน

มีแต่คนโง่นะ มีแต่เป็นคนโง่ไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน หัดเป็นคนฉลาด รู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้ว ตื่นเช้าขึ้นมา ใจสะอาด ใจเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ใจเกิดส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เราดับได้ในระดับไหน ระดับตั้งแต่ตัวใจ ระดับมาถึงวาจา หรือไม่ให้เกิด รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้ไม่ให้เกิด ไม่ให้วิญญาณเกิด แล้วก็เอาปัญญาไปเกิดแทน คิดได้ ทำได้ แต่คิดคนละอย่าง ตัวใจนี่ไม่ให้คิดเลย ไม่ให้เกิดเลย

การได้ยิน ได้ฟัง ทุกคนก็คงจะรู้ว่าใจมันคิดมันเกิด แต่หลวงพ่อนี่ไม่ให้เกิดเลย ตามหลักของความเป็นจริงไม่ให้เกิด เอาปัญญาไปเกิดแทน สติปัญญา คิดเรื่องอดีต คิดเรื่องอนาคต เขาเรียกว่าปัญญารู้อยู่ปัจจุบัน แต่การเกิดของใจเราต้องละคลายความหลง ดับความเกิด ละกิเลสให้มันหมด อยู่ด้วยปัญญา เกิดด้วยปัญญาอยู่กับบุญ อยู่กับกองบุญ เราก็ต้องพยายาม ทุกคนมีโอกาสเหมือนกันหมด เดินถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกันหมด จะถึงช้าหรือถึงเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับการขัดเกลากิเลสปัญญาที่แหลมคม ไม่ถึงวันนี้ก็พรุ่งนี้ก็ต้องถึง ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้าปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ไปต่อภพหน้านะ

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราวางภาระหน้าที่การงานจากทางโลกเข้ามาในวัด วัดภายนอกวัดสมมติเราก็เข้ามาถึง ที่นี้เราก็ต้องน้อมหันหลังกลับไปดูภายในกายของเรา สร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ให้ต่อเนื่อง รู้จักลักษณะของการเจริญสติ การสร้างความรู้ตัว การหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ

เพียงแค่เรื่องการวิเคราะห์ การสร้างความรู้ตัวของการหายใจเข้าออก เราก็ขาดการทำความเข้าใจตรงนี้มากเลยทีเดียว จะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่บุญ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็มีศรัทธาอยู่ การเกิดของใจนั้นแหละคือเขาปิดกั้นตัวเอาไว้ ตราบใดที่ยังมีความเกิดอยู่ ก็คือ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาอยู่ในภพของมนุษย์มาสร้างกายเนื้อ มาปิดกั้นตัวเอง ทั้งมีส่วนรูปธรรม ทั้งมีส่วนนามธรรม ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลาย เข้าไปอบรม มันก็ยากที่จะเข้าใจ นอกจากบุคคลที่แยกได้ ตามดูได้ ดับความเกิดได้ ละกิเลสได้ ถึงจะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน

กิเลสมันตัวไหนยังเหลืออยู่ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีกันหมดทุกคน กิเลสละเอียดแม้แต่การเกิดเมื่อกี้ คือกิเลสตัวละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เราต้องมาเพียงแค่เรามาเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ยากลําบาก ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร แล้วก็เอาเจริญสติเอาไปใช้ แยกได้เมื่อไร ตามดูเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ ละหมด แม้แต่ดับความเกิดของใจ ใจก็ยังละอีกในขั้นสุดท้าย

ขณะนี้เราก็พยายามสร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ เจริญสติ ถ้าถึงเวลาแล้วก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าเราหมั่นพร่ำสอนตัวเราสักวันหนึ่งก็คงจะเห็น ประกาศด้วยตนเองไม่ต้องให้คนอื่นเขาประกาศให้ว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราสงบสะอาด สงบด้วยการข่มเอาไว้ หรือสงบด้วยการทำความเข้าใจ ด้วยการละกิเลสออกให้มันหมดจด ดับความเกิดให้มันสิ้นซากถอนรากถอนโคนให้มันถึงจุดหมาย ก็ต้องพยายามก่อนนะ

สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง