หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 25
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 25
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 25
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศครึ้มๆ โปรยลงมาตั้งแต่ตีสองตีสามว่าอย่างนั้น นอนหลับไม่รู้เรื่องว่าฝนตก หลับปุ๋ยเข้าฌานลึก ฌานปุ๋ย ฝนตกลงมาโปรยๆ ผ้าห่มคลุมต่อว่าอย่างนั้น สงสัยจะเปลี่ยนฤดูแล้ว จากฤดูหนาวกลายเป็นฤดูฝน ฤดูใบไม้ผลิ อีกสักหน่อยก็สวย ได้ชมสวนมะลิวัลย์ เดือนมีนา เมษา นี่แหละ จะออกเต็มสวนเลยปีนี้ เต็มสวนไปหมด ปีกลายนี้ยังต้นไม่แข็งแรง ปีนี้ต้นแข็งแรง ต้นใหญ่ พอเราใส่ปุ๋ย ปุ๋ยขี้ม้า ปุ๋ยขี้วัวเอามาใส่ โยมก็เอามาส่ง ทานวัวไปเราก็ได้ปุ๋ยกลับมาเยอะ ได้มาใส่ นั่นแหละอานิสงส์ของการทำบุญให้ทาน
ทานวัวเราก็ได้ปุ๋ย โยมก็ได้วัวไปเลี้ยง ยังไม่มีใครเอาแมวไปเลี้ยง แมวเยอะกับกระต่ายก็เยอะ กระต่ายกลายเป็นร้อยกว่าตัวแล้ว ญาติโยมท่านใดอยากจะเอาไปเลี้ยงก็ไปเอาได้เรื่อยๆ นะ คนละคู่ 2 คู่ คนละ 4-5 ตัว หลวงพ่อให้หมด กระต่ายทีแรกเอามาทิ้ง 10 ตัว โยมเอามาทิ้ง หมาไล่กัดตายไป 5 ตัว เหลือ 5 ตัว ก็เลยตัดสินใจทำคอกให้เอามาล้อม ทำคอกดีๆ พอมีคอกมีที่อยู่เท่านั้นแหละ ไม่รู้มาจากไหนบ้าง ขนกันมา มา เอามาปล่อย ที่เลี้ยงก็อยากจะเลี้ยง มันนั่นแล้วก็อยากจะปล่อย ไม่เห็นใจกันบ้างเลย บางทีไปยืนดู ไปยืนดูอยู่ มาคุยกันอยู่ใกล้ๆ อันนั้นกระต่ายของเรา อันนี้กระต่ายของเรา อ้อพวกนี้เองเอามาปล่อย ก็เลี้ยงดูกันไปจนกว่าจะตาย
ส่วนงูของท่านเจ้าคุณนั้นก็ตัวโตเบ้อเริ่ม ถ้าท่านเจ้าคุณไม่เอาไว้ ตอนนี้ตายแล้วมั้ง เขาตีจนหัวแบะ ตาบอด จนกระอักเลือด เอาไปไหนเขาก็มีแต่จะเอาไปทิ้ง เขาก็เลยเอามาไว้วัด มาทิ้งวัด ทำยังไงได้ เจ้าคุณก็รีบโทรหาสัตวแพทย์ มาสํารวจ มาฉีดยา ฉีดยาวันแรกเลือดกระอักออกมาเป็นลิ่มๆ ให้น้ำเกลือ เดี๋ยวนี้ฟื้นแล้วๆ เดี๋ยวนี้ฟื้นแล้วตัวโตแล้ว ตาบอดไปข้างหนึ่ง หากินไม่ได้แล้ว ปล่อยไปก็ตาย ก็เลยทำบ้านให้ สงสัยเขาจะมีบุญอยู่ เขาถึงได้เอามาทิ้งวัด เอาไปให้สวนสัตว์เขาก็ไม่เอา เอามาทิ้งวัด ก็ได้เลี้ยงเอาไว้ ให้เด็กๆ ได้ดู พากันมาดู
เด็กดีใจใหญ่ ไปเจอกระต่าย ไปเจองู ไปเจอหนู เด็กมาเยอะ เด็กชอบหรือผู้ใหญ่ก็ชอบเหมือนกัน ชอบดู มีโอกาสก็อย่าเอาไม้ไปแหย่ บอกลูกบอกหลานอย่าเอาไม้ไปแหย่เขา เขาก็มีชีวิตเหมือนกัน มีจิตมีวิญญาณเหมือนกัน มีช่วงหนึ่งเขาเอาเครื่องอะไรมาฉายให้ดู ที่ประเทศไหนเขาดักจับๆ หนูได้ หนูดิ้นจะตายนี่แหละ พอหมดลมหายใจ วิญญาณพวยพุ่งออกจากทางปาก เป็นลักษณะของเมฆสีขาวพวยพุ่งออกจากปากไปเลย ญาณปรากฏให้เห็น
มีหลายปีเหมือนกันเขาเอาศพมาเผาในป่าช้า สมัยนั้นหลวงพ่ออยู่องค์เดียวๆ ถนนหนทางก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไร มีตั้งแต่ทางเดินเล็กๆ ไปเผากลางป่า กลางคืนหลวงพ่อก็ไปนั่งเขี่ยอยู่อย่างนั้น พอตกตอนเช้ามา ตีห้า ใกล้จะสว่างแล้วแหละ หลวงพ่อก็เลยเดินไปดูอีก ได้ยินเสียงคนไอ คนไอโคกๆๆ นึกว่าคนก็เลยเดินไปดู เลยไปเจอหนูตัวเบ้อเริ่มเลย อยู่บนตอไม้ ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนที่ตายนั่นแหละ ญาณออกจากร่าง คงจะกลับเข้าไปในร่างหนู เห็นเขาช่วงเป็นฆราวาสอยู่เขาจับหนูเก่ง ไล่หนูเก่ง ยิงหนูเก่ง ตายไปแล้วก็สงสัยวิญญาณคงจะเข้าไปสวมในร่างของหนู ไอโคกๆๆ หลวงพ่อเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ไปจับหางด้วย จับหางกระตุกด้วย หลวงพ่อเลยว่า ไป รีบไป เดี๋ยวคนอื่นเขามาเจอ เขาเอาไปฆ่านะ วิญญาณเข้าไปในร่างหนูเลย
ชีวิตจิตวิญญาณของแต่ละดวงนี้วนเวียนว่ายตายเกิด ขณะที่ได้มาเกิดอยู่ในกายเนื้อ แล้วก็กายเนื้อแตกดับ เขาก็ไปหาที่เกิดใหม่ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ เราพยายามปรับสภาพจิตใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ การทำบุญ การให้ทาน การให้อภัย การอโหสิกรรม ถ้าบุคคลที่มีกําลังสติ มีปัญญา กําลังอานิสงส์เพียงพอ ก็วิเคราะห์ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่สะอาดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร หรือว่าวิญญาณในขันธ์ห้าของเรานั่นแหละ ดูให้ดีๆ กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร
พระพุทธองค์ท่านค้นพบเอามาเปิดเผย ก็เอามาสอนสัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละ ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละ ไม่ได้สอนเรื่องอะไรหรอก สอนเรื่องชีวิตของเรา หลายสิ่งหลายอย่าง กายนี้คือก้อนกรรม วิญญาณเข้ามาหลง มายึด มายึดมั่นถือมั่นในกาย แล้วก็ยังหลอกตัวเองไปต่อ ยังเกิดต่อ หาวิธีการเกิดต่อ สารพัดอย่าง สร้างอาการ สร้างวิญญาณ มาปรุงแต่งรวมไปด้วยกัน ถ้ากําลังสติของเราจากใจอบรมใจของเราได้เห็นใจชัดเจน ตั้งแต่การก่อตัว เราก็จะมองเห็นวิบากของกรรม การหมุนเวียนเป็นวงกลม เรามาตัดวงกลมออก ทำความเข้าใจ แล้วก็ละ มาคลายขันธ์ห้านั่นแหละ แล้วก็มาดับความเกิดของวิญญาณ มาดับความเกิดของใจ ซึ่งอยู่ในกายของเรา
อะไรคือปัญญา อะไรคือใจ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีหมดอยู่ในกายของเรา กิเลสมันเป็นตัวอย่างไร ก็นั่งโค่โม่โค่เม่อยู่นี่แหละ ตัวดำ ตัวขาว อันนี้เขาเรียกว่าก้อนกิเลส ก้อนกรรม ตัวใจนั่นแหละตัวจะแผลงฤทธิ์ต่อ เราก็ต้องพยายามอบรมใจ แก้ไขใจของเรา ด้วยการสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างอานิสงส์ ใจเกิดความอยาก ก็ละความอยาก ไม่ใช่ว่าอยากในอาหารอย่างเดียว ความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง เรารู้จักฐานของใจให้ได้ รู้จักลักษณะของการเจริญสติให้ได้ เอาสติไปใช้ให้เป็น จัดการกับใจของเรา ใจไม่เกิด สติปัญญาไปเกิดแทน ทำหน้าที่แทน ทุกอิริยาบถ
กายของเรานี่แหละ สนามรบอย่างดีเลย รบกับกิเลสไม่รบกับอะไรหรอก ทำไมถึงเกิดอัตตาตัวตน พระพุทธองค์ท่านสอนว่ามีแต่ความว่างเปล่า แต่เราทำไมมองเห็นเป็นตัวเป็นตน เราต้องไปปฏิบัติตามคําสอนของท่านให้รู้แจ้งภายในใจของเรา ถ้าใจของเราวาง ว่าง คลายจากขันธ์ห้า ละกิเลส ดับความเกิดได้ก็มองเห็นความว่าง ในโลกนี้มีแต่ความว่างแหละที่ท่านว่า แต่สมมติก็มีอยู่ สมมติบัญญัติมีอยู่ วิมุตติ สมมติ แต่ใจมายึดสมมติก็เลยเกิดอัตตาตัวตน เราไม่อยากจะยึดหรอก แต่มันยึด เพราะความหลง นอกจากบุคคลที่มาสังเกตวิเคราะห์ใจ แยกใจ คลาย ตามดูรู้เห็น ชี้เหตุชี้ผลได้ ใจถึงจะยอมวางได้
มีโอกาสมาฝึก มาศึกษา ในโลกมนุษย์เราก็พยายามทำความเข้าใจเสีย อะไรคือโลก อะไรคือธรรม อะไรคือสมมติ วิมุตติ อะไรคืออัตตา อนัตตา เราก็จะได้มีความสุขขณะยังมีลมหายใจอยู่ กิเลสมันไม่ได้เลือกพระ เลือกชี เลือกโยมนะ มันเกิดเมื่อไร มันเกิดได้ตลอดเวลา ความอยาก ความยินดียินร้าย ความอคติเพ่งโทษ ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ต้องทำความเข้าใจๆ รู้ความจริงแล้วค่อยละ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัวเลย ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเราก็หายใจตั้งแต่เกิด เราไปมองข้าม มีตั้งแต่ไปไขว่คว้าหาตั้งแต่ภายนอกกัน เราเลยลืมการเจริญสติเข้าไปน้อมดูรู้ว่าในใจของเราเป็นอย่างไร ในกายของเราเป็นอย่างไร หาวิธีการแก้ไข การดับทุกข์ หาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เราก็ต้องพยายาม
สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย ดังบุคคลที่มีศรัทธา แล้วก็แสวงหาวิธีการ แสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีมานาน อุบายการทำความเข้าใจก็มีตั้งเยอะแยะ ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ ศรัทธานั้นมีกันมานานแล้วแหละ ตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พาฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา สติปัญญาหรือว่าจิตวิญญาณของเราก็ผ่านการพัฒนามาเรื่อยๆ รู้จักอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ดำเนินชีวิตของตัวเรา ประคับประคองทั้งทางสมมติ ทางโลกธรรม เราก็ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุขทางด้านจิตวิญญาณของเราก็ให้รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก เราก็ควรที่จะแก้ไขตัวเรา นอกจากตัวเราแล้วไม่มีใครแก้ไขให้เราได้เลย
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้วแหละ พวกเราพยายาม อย่าเอาทิฏฐิ เอาความคิดแบบโลกๆ มาตัดสิน จงพยายามเชื่อในสิ่งที่พุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา จนหมดความสงสัย ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ สิ่งนี้จะปรากฏ เราละกิเลสได้ เราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ ใจของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน
ทำไมท่านถึงว่าความจริงอันประเสริฐ อริยสัจสี่เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ เราจะดำเนินได้อย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด จนละออกได้หมดจด แม้แต่ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณก็ต้องวาง วางไว้กับโลก เขาก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเขาไม่เกิด เขาก็ไม่เกิด
แต่เวลานี้นาทีหนึ่งสองนาทีไม่รู้เขาเกิดสักกี่เรื่อง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็อยู่ด้วยกันมานาน จะให้เขาแพ้ ได้แค่วันสองวันเป็นไปไม่ได้ เราต้องศึกษาให้ละเอียด ทำความเข้าใจให้ละเอียด แล้วก็เจริญตบะบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ความอดทนอดกลั้น การสังเกต การวิเคราะห์ การให้ การเอาออก การคลาย มองโลกในทางที่ดี คิดดี
คำว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร ฐานของใจเวลาเขาก่อตัว เขาเกิด เป็นอย่างไร ทำไมใจกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร กําลังสติของเราสังเกตทันหรือไม่ รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ เอาใหม่ เริ่มใหม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจแล้ว จิตคลายออก คลายความหลงได้แล้ว แยกรูปแยกนามได้แล้ว มองเห็นความเป็นจริง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิเริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้ถูก ทำความเข้าใจ มันก็จะถูกไปตลอด แต่เราเข้าไม่ถึงฐานของใจเท่านั้น มีแต่ไปนึกเอาคิดเอา หาเรื่องมาปกปิดใจของตัวเองตลอดเวลาทุกเรื่อง ทั้งโลกธรรมก็เอามาปกปิด ทั้งความคิด อารมณ์ นามธรรมต่างๆ ก็มาปกปิด วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวรวมตัวร่วม แล้วก็หลงไปด้วยกัน
เราต้องมาศึกษาให้ละเอียด ขณะที่เรายังมีกําลังยังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียว ก็พยายามกันนะ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ คอยสะสมกําลังบุญ กําลังสติปัญญาของเราไป อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม การคิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ สํารวจตรวจตรากายใจของเราตลอดเวลา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ไม่มีใครเอาอะไรไปได้หรอก เรามาอาศัยแผ่นดินอยู่ มาอาศัยสมมติอยู่ ถึงเวลาเราก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม คือดิน น้ำ ลม ไฟ เหลือแต่วิญญาณ ไปกับบุญ ไปกับอานิสงส์ที่เราสร้างเอาไว้ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศครึ้มๆ โปรยลงมาตั้งแต่ตีสองตีสามว่าอย่างนั้น นอนหลับไม่รู้เรื่องว่าฝนตก หลับปุ๋ยเข้าฌานลึก ฌานปุ๋ย ฝนตกลงมาโปรยๆ ผ้าห่มคลุมต่อว่าอย่างนั้น สงสัยจะเปลี่ยนฤดูแล้ว จากฤดูหนาวกลายเป็นฤดูฝน ฤดูใบไม้ผลิ อีกสักหน่อยก็สวย ได้ชมสวนมะลิวัลย์ เดือนมีนา เมษา นี่แหละ จะออกเต็มสวนเลยปีนี้ เต็มสวนไปหมด ปีกลายนี้ยังต้นไม่แข็งแรง ปีนี้ต้นแข็งแรง ต้นใหญ่ พอเราใส่ปุ๋ย ปุ๋ยขี้ม้า ปุ๋ยขี้วัวเอามาใส่ โยมก็เอามาส่ง ทานวัวไปเราก็ได้ปุ๋ยกลับมาเยอะ ได้มาใส่ นั่นแหละอานิสงส์ของการทำบุญให้ทาน
ทานวัวเราก็ได้ปุ๋ย โยมก็ได้วัวไปเลี้ยง ยังไม่มีใครเอาแมวไปเลี้ยง แมวเยอะกับกระต่ายก็เยอะ กระต่ายกลายเป็นร้อยกว่าตัวแล้ว ญาติโยมท่านใดอยากจะเอาไปเลี้ยงก็ไปเอาได้เรื่อยๆ นะ คนละคู่ 2 คู่ คนละ 4-5 ตัว หลวงพ่อให้หมด กระต่ายทีแรกเอามาทิ้ง 10 ตัว โยมเอามาทิ้ง หมาไล่กัดตายไป 5 ตัว เหลือ 5 ตัว ก็เลยตัดสินใจทำคอกให้เอามาล้อม ทำคอกดีๆ พอมีคอกมีที่อยู่เท่านั้นแหละ ไม่รู้มาจากไหนบ้าง ขนกันมา มา เอามาปล่อย ที่เลี้ยงก็อยากจะเลี้ยง มันนั่นแล้วก็อยากจะปล่อย ไม่เห็นใจกันบ้างเลย บางทีไปยืนดู ไปยืนดูอยู่ มาคุยกันอยู่ใกล้ๆ อันนั้นกระต่ายของเรา อันนี้กระต่ายของเรา อ้อพวกนี้เองเอามาปล่อย ก็เลี้ยงดูกันไปจนกว่าจะตาย
ส่วนงูของท่านเจ้าคุณนั้นก็ตัวโตเบ้อเริ่ม ถ้าท่านเจ้าคุณไม่เอาไว้ ตอนนี้ตายแล้วมั้ง เขาตีจนหัวแบะ ตาบอด จนกระอักเลือด เอาไปไหนเขาก็มีแต่จะเอาไปทิ้ง เขาก็เลยเอามาไว้วัด มาทิ้งวัด ทำยังไงได้ เจ้าคุณก็รีบโทรหาสัตวแพทย์ มาสํารวจ มาฉีดยา ฉีดยาวันแรกเลือดกระอักออกมาเป็นลิ่มๆ ให้น้ำเกลือ เดี๋ยวนี้ฟื้นแล้วๆ เดี๋ยวนี้ฟื้นแล้วตัวโตแล้ว ตาบอดไปข้างหนึ่ง หากินไม่ได้แล้ว ปล่อยไปก็ตาย ก็เลยทำบ้านให้ สงสัยเขาจะมีบุญอยู่ เขาถึงได้เอามาทิ้งวัด เอาไปให้สวนสัตว์เขาก็ไม่เอา เอามาทิ้งวัด ก็ได้เลี้ยงเอาไว้ ให้เด็กๆ ได้ดู พากันมาดู
เด็กดีใจใหญ่ ไปเจอกระต่าย ไปเจองู ไปเจอหนู เด็กมาเยอะ เด็กชอบหรือผู้ใหญ่ก็ชอบเหมือนกัน ชอบดู มีโอกาสก็อย่าเอาไม้ไปแหย่ บอกลูกบอกหลานอย่าเอาไม้ไปแหย่เขา เขาก็มีชีวิตเหมือนกัน มีจิตมีวิญญาณเหมือนกัน มีช่วงหนึ่งเขาเอาเครื่องอะไรมาฉายให้ดู ที่ประเทศไหนเขาดักจับๆ หนูได้ หนูดิ้นจะตายนี่แหละ พอหมดลมหายใจ วิญญาณพวยพุ่งออกจากทางปาก เป็นลักษณะของเมฆสีขาวพวยพุ่งออกจากปากไปเลย ญาณปรากฏให้เห็น
มีหลายปีเหมือนกันเขาเอาศพมาเผาในป่าช้า สมัยนั้นหลวงพ่ออยู่องค์เดียวๆ ถนนหนทางก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไร มีตั้งแต่ทางเดินเล็กๆ ไปเผากลางป่า กลางคืนหลวงพ่อก็ไปนั่งเขี่ยอยู่อย่างนั้น พอตกตอนเช้ามา ตีห้า ใกล้จะสว่างแล้วแหละ หลวงพ่อก็เลยเดินไปดูอีก ได้ยินเสียงคนไอ คนไอโคกๆๆ นึกว่าคนก็เลยเดินไปดู เลยไปเจอหนูตัวเบ้อเริ่มเลย อยู่บนตอไม้ ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนที่ตายนั่นแหละ ญาณออกจากร่าง คงจะกลับเข้าไปในร่างหนู เห็นเขาช่วงเป็นฆราวาสอยู่เขาจับหนูเก่ง ไล่หนูเก่ง ยิงหนูเก่ง ตายไปแล้วก็สงสัยวิญญาณคงจะเข้าไปสวมในร่างของหนู ไอโคกๆๆ หลวงพ่อเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ไปจับหางด้วย จับหางกระตุกด้วย หลวงพ่อเลยว่า ไป รีบไป เดี๋ยวคนอื่นเขามาเจอ เขาเอาไปฆ่านะ วิญญาณเข้าไปในร่างหนูเลย
ชีวิตจิตวิญญาณของแต่ละดวงนี้วนเวียนว่ายตายเกิด ขณะที่ได้มาเกิดอยู่ในกายเนื้อ แล้วก็กายเนื้อแตกดับ เขาก็ไปหาที่เกิดใหม่ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ เราพยายามปรับสภาพจิตใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ การทำบุญ การให้ทาน การให้อภัย การอโหสิกรรม ถ้าบุคคลที่มีกําลังสติ มีปัญญา กําลังอานิสงส์เพียงพอ ก็วิเคราะห์ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่สะอาดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร หรือว่าวิญญาณในขันธ์ห้าของเรานั่นแหละ ดูให้ดีๆ กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร
พระพุทธองค์ท่านค้นพบเอามาเปิดเผย ก็เอามาสอนสัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละ ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละ ไม่ได้สอนเรื่องอะไรหรอก สอนเรื่องชีวิตของเรา หลายสิ่งหลายอย่าง กายนี้คือก้อนกรรม วิญญาณเข้ามาหลง มายึด มายึดมั่นถือมั่นในกาย แล้วก็ยังหลอกตัวเองไปต่อ ยังเกิดต่อ หาวิธีการเกิดต่อ สารพัดอย่าง สร้างอาการ สร้างวิญญาณ มาปรุงแต่งรวมไปด้วยกัน ถ้ากําลังสติของเราจากใจอบรมใจของเราได้เห็นใจชัดเจน ตั้งแต่การก่อตัว เราก็จะมองเห็นวิบากของกรรม การหมุนเวียนเป็นวงกลม เรามาตัดวงกลมออก ทำความเข้าใจ แล้วก็ละ มาคลายขันธ์ห้านั่นแหละ แล้วก็มาดับความเกิดของวิญญาณ มาดับความเกิดของใจ ซึ่งอยู่ในกายของเรา
อะไรคือปัญญา อะไรคือใจ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีหมดอยู่ในกายของเรา กิเลสมันเป็นตัวอย่างไร ก็นั่งโค่โม่โค่เม่อยู่นี่แหละ ตัวดำ ตัวขาว อันนี้เขาเรียกว่าก้อนกิเลส ก้อนกรรม ตัวใจนั่นแหละตัวจะแผลงฤทธิ์ต่อ เราก็ต้องพยายามอบรมใจ แก้ไขใจของเรา ด้วยการสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างอานิสงส์ ใจเกิดความอยาก ก็ละความอยาก ไม่ใช่ว่าอยากในอาหารอย่างเดียว ความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง เรารู้จักฐานของใจให้ได้ รู้จักลักษณะของการเจริญสติให้ได้ เอาสติไปใช้ให้เป็น จัดการกับใจของเรา ใจไม่เกิด สติปัญญาไปเกิดแทน ทำหน้าที่แทน ทุกอิริยาบถ
กายของเรานี่แหละ สนามรบอย่างดีเลย รบกับกิเลสไม่รบกับอะไรหรอก ทำไมถึงเกิดอัตตาตัวตน พระพุทธองค์ท่านสอนว่ามีแต่ความว่างเปล่า แต่เราทำไมมองเห็นเป็นตัวเป็นตน เราต้องไปปฏิบัติตามคําสอนของท่านให้รู้แจ้งภายในใจของเรา ถ้าใจของเราวาง ว่าง คลายจากขันธ์ห้า ละกิเลส ดับความเกิดได้ก็มองเห็นความว่าง ในโลกนี้มีแต่ความว่างแหละที่ท่านว่า แต่สมมติก็มีอยู่ สมมติบัญญัติมีอยู่ วิมุตติ สมมติ แต่ใจมายึดสมมติก็เลยเกิดอัตตาตัวตน เราไม่อยากจะยึดหรอก แต่มันยึด เพราะความหลง นอกจากบุคคลที่มาสังเกตวิเคราะห์ใจ แยกใจ คลาย ตามดูรู้เห็น ชี้เหตุชี้ผลได้ ใจถึงจะยอมวางได้
มีโอกาสมาฝึก มาศึกษา ในโลกมนุษย์เราก็พยายามทำความเข้าใจเสีย อะไรคือโลก อะไรคือธรรม อะไรคือสมมติ วิมุตติ อะไรคืออัตตา อนัตตา เราก็จะได้มีความสุขขณะยังมีลมหายใจอยู่ กิเลสมันไม่ได้เลือกพระ เลือกชี เลือกโยมนะ มันเกิดเมื่อไร มันเกิดได้ตลอดเวลา ความอยาก ความยินดียินร้าย ความอคติเพ่งโทษ ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ต้องทำความเข้าใจๆ รู้ความจริงแล้วค่อยละ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัวเลย ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเราก็หายใจตั้งแต่เกิด เราไปมองข้าม มีตั้งแต่ไปไขว่คว้าหาตั้งแต่ภายนอกกัน เราเลยลืมการเจริญสติเข้าไปน้อมดูรู้ว่าในใจของเราเป็นอย่างไร ในกายของเราเป็นอย่างไร หาวิธีการแก้ไข การดับทุกข์ หาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เราก็ต้องพยายาม
สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย ดังบุคคลที่มีศรัทธา แล้วก็แสวงหาวิธีการ แสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีมานาน อุบายการทำความเข้าใจก็มีตั้งเยอะแยะ ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ ศรัทธานั้นมีกันมานานแล้วแหละ ตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พาฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา สติปัญญาหรือว่าจิตวิญญาณของเราก็ผ่านการพัฒนามาเรื่อยๆ รู้จักอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ดำเนินชีวิตของตัวเรา ประคับประคองทั้งทางสมมติ ทางโลกธรรม เราก็ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุขทางด้านจิตวิญญาณของเราก็ให้รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก เราก็ควรที่จะแก้ไขตัวเรา นอกจากตัวเราแล้วไม่มีใครแก้ไขให้เราได้เลย
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้วแหละ พวกเราพยายาม อย่าเอาทิฏฐิ เอาความคิดแบบโลกๆ มาตัดสิน จงพยายามเชื่อในสิ่งที่พุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา จนหมดความสงสัย ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ สิ่งนี้จะปรากฏ เราละกิเลสได้ เราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ ใจของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน
ทำไมท่านถึงว่าความจริงอันประเสริฐ อริยสัจสี่เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ เราจะดำเนินได้อย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด จนละออกได้หมดจด แม้แต่ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณก็ต้องวาง วางไว้กับโลก เขาก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเขาไม่เกิด เขาก็ไม่เกิด
แต่เวลานี้นาทีหนึ่งสองนาทีไม่รู้เขาเกิดสักกี่เรื่อง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็อยู่ด้วยกันมานาน จะให้เขาแพ้ ได้แค่วันสองวันเป็นไปไม่ได้ เราต้องศึกษาให้ละเอียด ทำความเข้าใจให้ละเอียด แล้วก็เจริญตบะบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ความอดทนอดกลั้น การสังเกต การวิเคราะห์ การให้ การเอาออก การคลาย มองโลกในทางที่ดี คิดดี
คำว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร ฐานของใจเวลาเขาก่อตัว เขาเกิด เป็นอย่างไร ทำไมใจกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร กําลังสติของเราสังเกตทันหรือไม่ รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ เอาใหม่ เริ่มใหม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจแล้ว จิตคลายออก คลายความหลงได้แล้ว แยกรูปแยกนามได้แล้ว มองเห็นความเป็นจริง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิเริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้ถูก ทำความเข้าใจ มันก็จะถูกไปตลอด แต่เราเข้าไม่ถึงฐานของใจเท่านั้น มีแต่ไปนึกเอาคิดเอา หาเรื่องมาปกปิดใจของตัวเองตลอดเวลาทุกเรื่อง ทั้งโลกธรรมก็เอามาปกปิด ทั้งความคิด อารมณ์ นามธรรมต่างๆ ก็มาปกปิด วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวรวมตัวร่วม แล้วก็หลงไปด้วยกัน
เราต้องมาศึกษาให้ละเอียด ขณะที่เรายังมีกําลังยังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียว ก็พยายามกันนะ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ คอยสะสมกําลังบุญ กําลังสติปัญญาของเราไป อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม การคิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ สํารวจตรวจตรากายใจของเราตลอดเวลา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ไม่มีใครเอาอะไรไปได้หรอก เรามาอาศัยแผ่นดินอยู่ มาอาศัยสมมติอยู่ ถึงเวลาเราก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม คือดิน น้ำ ลม ไฟ เหลือแต่วิญญาณ ไปกับบุญ ไปกับอานิสงส์ที่เราสร้างเอาไว้ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ