หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 27 วันที่ 31 ตุลาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 27 วันที่ 31 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 27
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบ
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งเวลาสัมผัสของลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง เป็นห้าครั้ง เป็นสิบ เป็นจนทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้ากําลังสติความรู้ตัวของเรามีมากขึ้นๆ เราก็จะรู้เห็นการเกิดของใจ การเกิดของอาการของใจซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ถ้ากําลังสติของเราแหลมคมเร็วไวขึ้นอีก จะก็เห็นใจคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เหมือนกับหงายของที่คว่ำ
ความรู้ตัวก็จะตามเห็นการเกิดการดับของความคิดที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นอาการของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลาจบลงแล้วก็มีตั้งแต่ความว่างเปล่า เห็นการเกิดการดับ ทําความเข้าใจ พิจารณาชี้เหตุชี้ผลอยู่ตลอดเวลา จนกําลังสติของเราเป็นมหาสติ ตามดู ตามค้นคว้า ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดําเนิน เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร คําว่า อัตตา อนัตตา ในหลักธรรมหมายความว่าอย่างไร ใจส่งไปภายนอกหมายความว่าอย่างไร เราก็จะมองเห็นหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอาไว้
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ยังเกิดมา แล้วก็มาสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีต่อ ความหลงนั่นแหละทําให้เกิด ใจของเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งถึงเวลามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเราเองเอาไว้
ตัวเราหมายถึงตัวใจ เรา จึงได้มาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ความรู้ตัว มาสร้างความรู้ตัวเอาไว้ ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ก็เพื่อที่จะให้กําลังสติมีมากขึ้นๆ เข้าไปอบรมใจของเรา ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ใจของเรา จนใจเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไรนั่นแหละ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ กําลังสติก็จะตามดู อยู่ในกายในใจของเรา
พยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์เถอะ มีกําลังแรงศรัทธา แต่ก็ให้ศรัทธาด้วยปัญญาไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย การเจริญสติก็ให้รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไปทําหน้าที่แทนใจ ปฏิบัติธรรมก็ให้รู้จักใจ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ถ้าใจไม่มีกิเลส ใจเขาก็บริสุทธิ์ ใจไม่เกิด เขาก็นิ่ง ใจคลายออกจากขันธ์ห้าเขาก็คลายความหลง ซึ่งอยู่ในกายของเรา
ทุกคนก็สร้างบารมีมากัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย แต่ก็มีโอกาสได้สร้างเหมือนกันหมด จะสร้างมากสร้างน้อย ทํามากทําน้อย ก็มาทําเอาขณะเรายังมีกําลัง ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ หมั่นวิเคราะห์บ่อยๆ หมั่นทําความเข้าใจบ่อยๆ ชี้เหตุชี้ผล ทําความจริงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ เป็นลักษณะอย่างไร เราอาจได้ยินตั้งแต่ชื่อ แต่เรายังเข้าไม่ถึงตัวใจ ถ้ากําลังสติของเรามีต่อเนื่องเร็วไว ชี้เหตุชี้ผล เห็นการเกิดการดับ รู้ลักษณะของใจ เราก็จะเข้าใจว่ากิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มลทินเป็นอย่างไร นิวรณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเราเป็นอย่างไร มีหมดอยู่ในกายของเรา
เรารู้จักวิธีการแล้วเรารู้จักแนวทางแล้ว ให้รีบทําความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมดความสงสัย หมดความลังเลในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร หมด รู้เห็น ทําให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล วิทยาศาสตร์เขาก็มีเหตุมีผล หลักธรรมก็มีเหตุมีผล แต่เป็นเหตุผลทั้งทางนามธรรมทั้งทางรูปธรรม เขามีเหตุมีผลหมดนั่นแหละ สมมติก็มีเหตุมีผล วิมุตติก็มีเหตุมีผล แต่จะรู้ด้วยจากการเจริญสติจากการเจริญปัญญารู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไปนึกก็เอาไปคิดเอา ปัญญาเก่าของเรามีทั้งร้อย เราก็พยายามคลายปัญญาเก่า เอาปัญญาใหม่ไปทําหน้าที่ ทําความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล จนมองทะลุปรุโปร่ง
ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาลมากมายเลยทีเดียว อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส หรือว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมดนั่นแหละ อาจจะสร้างบุญสร้างบารมีมาแตกต่างกัน บางคนสมมติก็ไม่ลําบาก บางคนสมมติก็ลําบาก ก็ต้องค่อยแก้ไขกันไปทีละเปลาะๆ ด้วยความขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เข้าพกเข้าห่อที่เรามาวิเคราะห์ มาทําความเข้าใจนี่แหละ จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา ไม่หลุดวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็หลุดพ้น ในปีหน้า ปีต่อๆ ไป ถ้าไม่หลุดพ้นจริงๆ อานิสงส์ผลบุญผลทานในสิ่งที่พวกเราทํานี้จะไปต่อเอาภพหน้า
ตราบใดที่ใจยังเกิด ใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องเกิด เราพยายามคลายความหลง ดับความเกิด ให้เกิดด้วยสติ เกิดด้วยปัญญา บริหารกาย บริหารใจของเราด้วยปัญญาอย่างมีความสงบ ความสุขจนกว่าจะหมดลมหายใจ ขณะนี้เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย เราพยายามมาสร้าง มาทําความเข้าใจ ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบ
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งเวลาสัมผัสของลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง เป็นห้าครั้ง เป็นสิบ เป็นจนทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้ากําลังสติความรู้ตัวของเรามีมากขึ้นๆ เราก็จะรู้เห็นการเกิดของใจ การเกิดของอาการของใจซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ถ้ากําลังสติของเราแหลมคมเร็วไวขึ้นอีก จะก็เห็นใจคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เหมือนกับหงายของที่คว่ำ
ความรู้ตัวก็จะตามเห็นการเกิดการดับของความคิดที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นอาการของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลาจบลงแล้วก็มีตั้งแต่ความว่างเปล่า เห็นการเกิดการดับ ทําความเข้าใจ พิจารณาชี้เหตุชี้ผลอยู่ตลอดเวลา จนกําลังสติของเราเป็นมหาสติ ตามดู ตามค้นคว้า ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดําเนิน เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร คําว่า อัตตา อนัตตา ในหลักธรรมหมายความว่าอย่างไร ใจส่งไปภายนอกหมายความว่าอย่างไร เราก็จะมองเห็นหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอาไว้
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ยังเกิดมา แล้วก็มาสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีต่อ ความหลงนั่นแหละทําให้เกิด ใจของเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งถึงเวลามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเราเองเอาไว้
ตัวเราหมายถึงตัวใจ เรา จึงได้มาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ความรู้ตัว มาสร้างความรู้ตัวเอาไว้ ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ก็เพื่อที่จะให้กําลังสติมีมากขึ้นๆ เข้าไปอบรมใจของเรา ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ใจของเรา จนใจเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไรนั่นแหละ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ กําลังสติก็จะตามดู อยู่ในกายในใจของเรา
พยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์เถอะ มีกําลังแรงศรัทธา แต่ก็ให้ศรัทธาด้วยปัญญาไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย การเจริญสติก็ให้รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไปทําหน้าที่แทนใจ ปฏิบัติธรรมก็ให้รู้จักใจ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ถ้าใจไม่มีกิเลส ใจเขาก็บริสุทธิ์ ใจไม่เกิด เขาก็นิ่ง ใจคลายออกจากขันธ์ห้าเขาก็คลายความหลง ซึ่งอยู่ในกายของเรา
ทุกคนก็สร้างบารมีมากัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย แต่ก็มีโอกาสได้สร้างเหมือนกันหมด จะสร้างมากสร้างน้อย ทํามากทําน้อย ก็มาทําเอาขณะเรายังมีกําลัง ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ หมั่นวิเคราะห์บ่อยๆ หมั่นทําความเข้าใจบ่อยๆ ชี้เหตุชี้ผล ทําความจริงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ เป็นลักษณะอย่างไร เราอาจได้ยินตั้งแต่ชื่อ แต่เรายังเข้าไม่ถึงตัวใจ ถ้ากําลังสติของเรามีต่อเนื่องเร็วไว ชี้เหตุชี้ผล เห็นการเกิดการดับ รู้ลักษณะของใจ เราก็จะเข้าใจว่ากิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มลทินเป็นอย่างไร นิวรณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเราเป็นอย่างไร มีหมดอยู่ในกายของเรา
เรารู้จักวิธีการแล้วเรารู้จักแนวทางแล้ว ให้รีบทําความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมดความสงสัย หมดความลังเลในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร หมด รู้เห็น ทําให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล วิทยาศาสตร์เขาก็มีเหตุมีผล หลักธรรมก็มีเหตุมีผล แต่เป็นเหตุผลทั้งทางนามธรรมทั้งทางรูปธรรม เขามีเหตุมีผลหมดนั่นแหละ สมมติก็มีเหตุมีผล วิมุตติก็มีเหตุมีผล แต่จะรู้ด้วยจากการเจริญสติจากการเจริญปัญญารู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไปนึกก็เอาไปคิดเอา ปัญญาเก่าของเรามีทั้งร้อย เราก็พยายามคลายปัญญาเก่า เอาปัญญาใหม่ไปทําหน้าที่ ทําความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล จนมองทะลุปรุโปร่ง
ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาลมากมายเลยทีเดียว อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส หรือว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมดนั่นแหละ อาจจะสร้างบุญสร้างบารมีมาแตกต่างกัน บางคนสมมติก็ไม่ลําบาก บางคนสมมติก็ลําบาก ก็ต้องค่อยแก้ไขกันไปทีละเปลาะๆ ด้วยความขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เข้าพกเข้าห่อที่เรามาวิเคราะห์ มาทําความเข้าใจนี่แหละ จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา ไม่หลุดวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็หลุดพ้น ในปีหน้า ปีต่อๆ ไป ถ้าไม่หลุดพ้นจริงๆ อานิสงส์ผลบุญผลทานในสิ่งที่พวกเราทํานี้จะไปต่อเอาภพหน้า
ตราบใดที่ใจยังเกิด ใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องเกิด เราพยายามคลายความหลง ดับความเกิด ให้เกิดด้วยสติ เกิดด้วยปัญญา บริหารกาย บริหารใจของเราด้วยปัญญาอย่างมีความสงบ ความสุขจนกว่าจะหมดลมหายใจ ขณะนี้เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย เราพยายามมาสร้าง มาทําความเข้าใจ ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจกันนะ